หลังจากพลังงานทางจิตวิญญาณสลายไป นักเดินทางจื่อเวยก็หายไปด้วย คาดว่าเขาคงกำลังพักผ่อนโดยใช้วิชาลับๆ สักอย่างและกำลังรอคอยที่จะถูกปลุกให้ตื่นขึ้นในอีกสองร้อยปีโดยพวกเขาหรือบางทีอาจจะโดยคนอื่นๆ ที่บุกเข้ามาในถ้ำเซียนของเขา
ทันทีหลังจากที่พลังงานทางจิตวิญญาณสลายไปจนหมด สิ่งของหลากหลายอย่างตกลงมาจากกลางอากาศ ของบางอย่างตกลงสู่มือพวกเขา
โม่เทียนเกอได้รับหยกบันทึกและหินสุริยัน หลังจากใส่จิตสัมผัสของนางเข้าไปในหยกบันทึก คำสี่คำ “หนังสือม่านพลังเสวียนจี” เข้ามาฝังอยู่ในจิตใจของนางทันที เมื่อนางมองที่นักพรตฟางเจิ้ง เขากำลังเปิดขวดหยกเพื่อตรวจดูของข้างใน ไม่นานหลังจากนั้น สีหน้าดีใจสุดขีดปรากฏขึ้นบนใบหน้าเขา เห็นได้ชัดว่ามันคือยาอายุวัฒนะที่นักเดินทางจื่อเวยสัญญากับเขาไว้
ถึงแม้พวกเขาจะเดินออกมาจากสถานที่แห่งนี้พร้อมกับของแค่ไม่กี่อย่าง แต่พวกเขาก็ถือว่าโชคหล่นทับแล้ว มูลค่าของยาอายุวัฒนะนั้นไม่ต้องสงสัยเลย หากนักพรตฟางเจิ้งไม่ใช้กับตัวเอง เขาก็สามารถเอามันไปขายได้และศิลาวิญญาณที่เขาจะได้รับคงจะเพียงพอที่จะเอาไปแลกเปลี่ยนเป็นยาไร้ธุลีได้แน่นอน นางสงสัยว่านักพรตฟางเจิ้งจะตัดสินใจอย่างไร…
สำหรับตัวโม่เทียนเกอเอง มูลค่าของหินสุริยันนั้นนักพรตฟางเจิ้งได้อธิบายไว้แล้วตอนก่อนหน้านี้ ถึงแม้พวกมันจะไม่เลอค่าเท่ากับยาอายุวัฒนะ แต่นางก็ยังมีหนังสือม่านพลังเสวียนจีอีก มูลค่าของสองสิ่งนี้เห็นได้ชัดว่าสูงเกินกว่ายาอายุวัฒนะ อีกอย่างนางยังได้รับหุ่นเชิดระดับการสร้างฐานแห่งพลังงานขั้นสุดท้ายมาอีกด้วย
รอยยิ้มจางๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าโม่เทียนเกอขณะที่นางคิดถึงเรื่องนั้น นางมองที่หุ่นเชิดทั้งสองตัวต่อหน้านางและวิชาที่ใช้ในการควบคุมพวกมันก็ล่องลอยอยู่ในจิตใจของนางทันที ไม่นานหลังจากนั้น นางทำท่ามุทราด้วยมือทั้งสองข้างแล้วจึงชี้ไปที่พื้นที่ตรงหว่างคิ้ว ดึงเอาจิตสัมผัสของนางออกมาช้าๆ จากนั้นสอดมันเข้าไปในตัวหุ่นเชิดผ่านทางหูของพวกมัน
สำหรับการทำให้หุ่นเชิดพวกนี้รู้จักใครสักคนในฐานะเจ้าของของมัน จำเป็นต้องใช้แค่เศษเสี้ยวจิตสัมผัสของคนผู้นั้นเท่านั้น และมีเพียงคนที่ดินแดนการฝึกตนสูงกว่าตัวเจ้าของมากเท่านั้นจึงจะสามารถลบจิตสัมผัสของตัวเจ้าของได้โดยใช้กำลัง หรือพูดอีกอย่างก็คือ หลังจากนางทำให้หุ่นเชิดทั้งสองตัวนี้รู้ว่านางเป็นเจ้าของของมัน มีเพียงผู้ฝึกตนในดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลังและดินแดนสูงกว่าเท่านั้นที่สามารถลบจิตสัมผัสของนางออกจากพวกมันได้ อย่างไรก็ตาม ถ้าพวกเขาต้องการให้หุ่นเชิดรู้จักพวกเขาในฐานะเจ้าของ พวกเขาจำเป็นต้องใช้วิธีการอื่น หากไม่รู้วิธีการนั้น หุ่นเชิดสองตัวนี้ก็ไม่ได้เป็นอะไรนอกไปจากขยะเท่านั้น
เมื่อนักเดินทางจื่อเวยซ่อมหุ่นเชิด เขาถอนจิตสัมผัสของเขาออกจากตัวพวกมัน ดังนั้นตอนนี้โม่เทียนเกอก็แค่ต้องทำตามขั้นตอนเพื่อทำให้พวกมันจำนางได้ในฐานะเจ้าของ
หลังจากจิตสัมผัสของนางเข้าสู่หูของหุ่นเชิดทั้งสองตัวที่ยืนอยู่ข้างนาง เสียง แก๊ก! ดังขึ้นสองครั้งและหุ่นเชิดทั้งสองตัวก็เริ่มขยับและเหวี่ยงกระบี่หินของพวกมันเบาๆ
โม่เทียนเกอรู้สึกดีใจ ตอนนี้นางสามารถควบคุมมันได้แล้ว
อย่างไรก็ตาม จิตสัมผัสของนางยังไม่แข็งแกร่งมากพอ ดังนั้นผลลัพธ์ที่ออกมาจึงไม่เหมือนกับวิธีที่หุ่นเชิดปฏิบัติตัวภายใต้การควบคุมของนักเดินทางจื่อเวย แม้แต่ตอนที่เขาหลับ หุ่นเชิดของเขาก็สามารถทำอะไรด้วยตัวเองได้และเพียงแค่ต้องถูกควบคุมด้วยความนึกคิดเล็กน้อยเท่านั้น
“สหาย… นักพรตเยี่ย” นักพรตฟางเจิ้งผู้ที่ดูอยู่ด้านข้างมาโดยตลอดในที่สุดก็เรียกออกมาหลังจากลังเลมาครู่หนึ่ง เขาได้ยินนางบอกนักเดินทางจื่อเวยเกี่ยวกับท่านอาจารย์และฝ่ายของนาง เพราะฉะนั้นเขาจึงรู้ว่าชื่อ “เยี่ยเสี่ยวเทียน” นี้เป็นชื่อปลอม ยิ่งไปกว่านั้นนางยังเป็นศิษย์ของโรงเรียนเสวียนชิง กลุ่มการฝึกตนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอันดับสองในขั้วท้องฟ้า เขาเป็นผู้ฝึกตนเดี่ยวที่เอ้อระเหยอยู่ในโลกมนุษย์มาหลายร้อยปี ดังนั้นเขาจึงเคยเห็นศิษย์ที่หยิ่งยโสจากกลุ่มการฝึกตนมามากมาย บัดนี้เมื่อเขาล่วงรู้ถึงพื้นเพของโม่เทียนเกอ เขาจึงรักษาระยะห่างระหว่างกันตามสัญชาตญาณ
โม่เทียนเกอไม่รู้ว่าเขาคิดอย่างไร แต่ต่อให้นางรู้ นางก็คงไม่สนใจแน่นอน นางเพิ่งพบกับนักพรตฟางเจิ้งโดยบังเอิญ ถึงแม้เขาจะค่อนข้างคล้ายกับท่านอาที่สองของนาง แต่เขาก็ยังไม่ได้เป็นอะไรนอกไปจากคนแปลกหน้า หลังจากพวกเขาออกจากสถานที่แห่งนี้ พวกเขาก็จะต้องแยกกันไปตามทางของตัวเองซึ่งอาจจะไม่ได้เจอกันอีกเลยก็ได้
“โอ้ สหายนักพรตฟางเจิ้ง” เมื่อได้ยินเสียงของนักพรตฟางเจิ้ง สิ่งแรกที่โม่เทียนเกอทำคือเก็บหุ่นเชิดเข้ากระเป๋าเอกภพของนาง นางรู้ว่าในโลกแห่งการฝึกตน ผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังงานขั้นกลางที่มีหุ่นเชิดการสร้างฐานแห่งพลังงานขั้นสุดท้ายสองตัวอยู่ในครอบครองจะทำให้คนมากมายอิจฉา ดังนั้นนางจึงคิดว่านางจะไม่เอาพวกมันออกมานอกเสียจากว่าจำเป็นเท่านั้น
นักพรตฟางเจิ้งอิจฉาไปเรียบร้อยแล้ว แต่เมื่อนักเดินทางจื่อเวยห้ามพวกเขาไม่ให้ทำร้ายกันเอง เขาจึงต้องปล่อยความตั้งใจอะไรก็ตามที่เขามีเกี่ยวกับหุ่นเชิดพวกนั้นไป เขากำลังชี้ไปที่โต๊ะหินขณะที่เขาพูดกับโม่เทียนเกออย่างสุภาพว่า “ในเมื่อเรื่องนี้จบลงแล้ว เราควรจะแบ่งของพวกนี้กันเสียเลยตอนนี้”
นักเดินทางจื่อเวยพูดแล้วว่าพวกเขาสามารถแบ่งของบนโต๊ะกันได้ โม่เทียนเกอจึงตกลงด้วย “เอาสิ”
แต่ถึงอย่างนั้นนักพรตฟางเจิ้งก็ไม่ขยับและแค่จ้องมองมาที่โม่เทียนเกออย่างประหม่าเล็กน้อย “สหายนักพรตเยี่ย เจ้าสัญญากับข้าไว้ก่อนหน้านี้ว่าถ้าเราเจออะไรอย่างอื่น เจ้าจะปล่อยให้ข้าเป็นฝ่ายเลือกก่อน คำสัญญานั้นยังมีผลอยู่หรือไม่” ถึงแม้โม่เทียนเกอจะมีวิชาที่เหนือกว่าพวกผู้ฝึกตนในดินแดนเดียวกันกับนาง แต่นักพรตฟางเจิ้งรู้สึกว่าเขาไม่ได้ด้อยกว่านางมากนักในการต่อสู้ด้วยพลังเวท อย่างไรก็ตาม นางเพิ่งได้รับหุ่นเชิดระดับการสร้างฐานแห่งพลังงานขั้นสุดท้ายสองตัว ถ้านางถอนคำสัญญาของนาง นักพรตฟางเจิ้งคิดว่าเขาคงไม่สามารถเอาชนะนางได้แน่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เมื่อถึงจุดนั้นเขาทำได้แค่ต้องยอมรับการตัดสินใจของนางเท่านั้น
โม่เทียนเกอหัวเราะ “แน่นอนสิมันยังมีผลอยู่ สหายนักพรตเชิญเลือกก่อนได้ มี… ของห้าอย่างที่นี่ ถ้าอย่างนั้นเจ้าเอาไปสามและข้าเอาไปสองดีไหมล่ะ”
นักพรตฟางเจิ้งดีใจสุดขีด หลังจากเขาประสานมือแสดงความขอบคุณให้โม่เทียนเกอ เขาก้าวยาวๆ ไปทางโต๊ะหินแล้วจึงเริ่มครุ่นคิดถึงสมบัติที่เขาต้องการอย่างช้าๆ
โม่เทียนเกอเพียงแค่ส่ายหน้าจากนั้นจึงย้ายไปด้านข้าง ค่อยๆ ศึกษาหนังสือม่านพลังเสวียนจี
นางไม่ได้เกิดมาเป็นผู้ฝึกตนจากคุนอู๋ ดังนั้นนางจึงไม่เคยแสดงนิสัยทรยศหักหลังเพียงเพื่อให้ได้รับผลประโยชน์ ท่านแม่ของนางก็เป็นมนุษย์ผู้หญิงธรรมดาที่ซื่อสัตย์และมีจิตใจดีเช่นกัน ดังนั้นโม่เทียนเกอจึงถูกสอนมาเกี่ยวกับความภักดี ความกตัญญู และความเมตตาตั้งแต่นางยังเด็ก เมื่อนางมาถึงที่คุนอู๋และติดสอยห้อยตามท่านอาที่สองไป นางเรียนรู้ที่จะมีชีวิตรอดอยู่ในโลกแห่งการฝึกตนและเรียนรู้ว่าจะวางแผนเพื่อตัวเองอย่างไร แต่กระนั้นนางก็ไม่เคยเปลี่ยนไปเป็นคนประเภทที่ท่านแม่ของนางไม่ชอบ
อีกอย่างนางก็ไม่ใช่พวกผู้ฝึกตนที่ไม่มองการณ์ไกล ไม่ว่าจะเป็นระหว่างการก่อขุมพลังหรือการสร้างจิตวิญญาณใหม่ของนาง นางก็จะต้องเผชิญกับมารภายในจิตใจ ดังนั้นการทำตัวชั่วร้ายโดยไม่ยั้งคิดจะยิ่งเป็นภาระต่อตัวนางเองในภายหลัง เมื่อถึงจุดนั้น ถ้านางถูกมารภายในจิตใจรังควานและไม่สามารถบรรลุผ่านดินแดนได้ มันคงจะสายเกินไปที่จะร้องไห้เสียใจเป็นแน่
“สหายนักพรตเยี่ย ข้าเลือกได้แล้ว ดูสิ” นักพรตฟางเจิ้งพูดอย่างมีความสุข
โม่เทียนเกอถอนจิตสัมผัสของนางออกและเดินไปทางโต๊ะ
มีของหลากหลายอย่างอยู่บนโต๊ะ กระดิ่งเล็กๆ รองเท้าหุ้มข้อคู่หนึ่ง ยาวิเศษขวดหนึ่ง สินแร่ที่ไม่รู้จักก้อนหนึ่ง และพืชวิญญาณซึ่งอยู่ในกล่องหยกใบเล็ก
กระดิ่งเล็กและรองเท้าหุ้มข้อล้วนเป็นอาวุธเวททั้งคู่ ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขามองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าพวกนั้นไม่ใช่สินค้าธรรมดาทั่วไปเพราะมันควรค่าแก่การเป็นของสะสมของผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ขั้นสุดท้าย อย่างไรก็ตาม รองเท้าหุ้มข้อสั้นมากและมีลายดอกกล้วยไม้วาดไว้อยู่ด้านข้าง เห็นได้ชัดว่ามันเป็นรองเท้าหุ้มข้อของผู้หญิง นอกจากนี้ นางยังรู้จักพืชวิญญาณชนิดนั้น มันคือหญ้าฟื้นคืนชีพ เมื่อท่านอาที่สองของนางบาดเจ็บระหว่างหนีจากเขาอวิ๋นอู้ นางเห็นว่าฉินซีหยิบมันออกมาเพื่อใช้ทำให้อาการของท่านอาที่สองทรงตัวชั่วคราว ว่ากันว่ายาวิเศษที่ปรุงมาจากพืชวิญญาณชนิดนี้มีฤทธิ์ในการฟื้นฟูที่มหัศจรรย์มาก อีกอย่างพวกมันยังมีฤทธิ์ในการรักษาที่ยอดเยี่ยมถึงแม้จะไม่ได้เอาไปทำเป็นยาวิเศษก็ตาม นางไม่รู้จักสินแร่ก้อนนั้นและไม่ได้เปิดขวดยาวิเศษเช่นกัน แต่ถึงอย่างนั้น ในเมื่อมันอยู่ท่ามกลางของตรงนั้น มันก็คงเป็นสมบัติเหมือนกันหมด
นักพรตฟางเจิ้งเลือกของสามอย่างคือกระดิ่งเล็ก พืชวิญญาณ และขวดยาวิเศษ พอตอนนี้ที่เขาเห็นสีหน้าของโม่เทียนเกอเขาก็พูดว่า “สหายนักพรตเยี่ย เราคุยกันได้ถ้ามีอะไรที่เจ้าต้องการ”
โม่เทียนเกอไม่ได้พูดอะไรและแค่ส่ายหน้า
เมื่อเห็นว่าโม่เทียนเกอเอารองเท้าหุ้มข้อและสินแร่ไปโดยไม่บ่น นักพรตฟางเจิ้งจึงแอบถอนหายใจโล่งอกอย่างลับๆ จากของทั้งสามชิ้นที่เขาเลือก กระดิ่งเล็กเป็นอาวุธเวทที่ใช้รุกขณะที่รองเท้าหุ้มข้อเป็นอาวุธเวทที่ใช้ตั้งรับ อาวุธเวทเชิงรุกมีค่ามากกว่าเชิงรับเล็กน้อย แต่รองเท้าหุ้มข้อเป็นรองเท้าผู้หญิงดังนั้นเขาจึงไม่มีทางเลือกอื่น ส่วนพืชวิญญาณและยาวิเศษนั้นทั้งคู่มีค่ามากกว่าสินแร่ เพราะเหตุนั้นเขาจึงค่อนข้างกังวลว่าเขาจะโลภเกินไปหรือเปล่าที่เอาของดีๆ บนโต๊ะนั้นมาหมด
ที่จริงแล้วผลที่ออกมาก็เหมาะกับโม่เทียนเกอ นางไม่ได้ขาดทั้งพืชวิญญาณหรือยาวิเศษ ถึงแม้ว่าจะไม่มีหญ้าฟื้นคืนชีพอยู่ในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนของนาง แต่นางก็มีพืชวิญญาณที่ดีกว่านี้และก็ล้วนเก่าแก่กว่าพืชวิญญาณชนิดนี้ทั้งสิ้น ในเมื่อนางมีพืชวิญญาณแล้ว นางจึงไม่ขาดแคลนยาวิเศษเป็นธรรมดา โดยสรุปแล้วคงจะโง่มากถ้านางเลือกของสองอย่างนั้น ส่วนสำหรับอาวุธเวทและของอื่นๆ กระสวยอัปสราของนางเป็นเครื่องมือเวทชั้นยอดซึ่งนางคิดว่าใช้งานได้อย่างสะดวกสบาย ดังนั้นนางจึงไม่มีความจำเป็นต้องเปลี่ยนมันสำหรับตอนนี้ เมื่อนางก่อขุมพลังได้ นางคงต้องเริ่มขัดเกลาอาวุธเวทโดยกำเนิดของนาง เพราะฉะนั้นสำหรับนางแล้ว อาวุธเวทเชิงรุกจึงไม่ได้มีประโยชน์มากในตอนนี้
ยิ่งไปกว่านั้น รองเท้าหุ้มข้อคู่หนึ่งก็ไม่เลวเหมือนกัน มันดูเหมือนจะเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังงานทางจิตวิญญาณและนักเดินทางจื่อเวยรวมมันอยู่ในทรัพย์สินของเขา ดังนั้นมันคงจะต้องเป็นอาวุธเวทระดับสูงแน่ หลังจากนางหยิบข้าวของขึ้นมาและตรวจดู นางก็พบว่าคำว่า “รองเท้าย่ำเมฆา” ถูกปักไว้ที่ส้นรองเท้า ย่ำเมฆา… บางทีมันอาจจะเพิ่มความเร็วในการบินของนางได้
“สหายนักพรตเยี่ย ยังมีสิ่งนี้อีก” นักพรตฟางเจิ้งก้มลงและหยิบหยกบันทึกสองแผ่นออกมาจากตู้ลับใต้โต๊ะจากนั้นจึงโยนแผ่นหนึ่งมาให้นาง
โม่เทียนเกอชำเลืองมองที่ตู้และพบว่ามีหยกบันทึกที่เหมือนกันอยู่อีกหลายแผ่นข้างใน คาดว่าของพวกนี้คงเตรียมการไว้โดยนักเดินทางจื่อเวยก่อนเขาตายแต่เขาไม่รู้ว่าจำเป็นต้องใช้จำนวนมากแค่ไหน
ไม่นานหลังจากนั้น ทั้งสองคนเก็บของๆ ตัวเองแล้วจึงเริ่มศึกษาแผ่นหยกบันทึกเพื่อมองหาทางออก
ตามคำแนะนำที่อยู่ในหยกบันทึก มีม่านพลังเคลื่อนย้ายอยู่ในห้องหินนี้ที่สามารถส่งพวกเขาออกไปได้โดยตรง
เมื่อนึกได้ว่าซางหรูหว่านยังคงอยู่บนแท่นหินของม่านพลังมายาด้านนอก โม่เทียนเกอลังเลว่านางควรจะพานางออกไปข้างนอกหรือไม่ แต่หลังจากนางอ่านหยกบันทึกจนจบ นางก็พบว่าไม่มีทางที่จะเปิดประตูหินจากด้านในได้โดยตรง ท้ายที่สุดแล้วนางรู้สึกอับจนหนทางและต้องยอมล้มเลิก ถึงแม้นางจะมีความประทับใจที่ดีกับซางหรูหว่าน แต่การบุกเข้าไปในถ้ำอีกครั้งเพื่อนางนั้นไม่คุ้มค่ากัน นางทำได้แค่หวังว่าซางหรูหว่านจะโชคดีและสามารถฟื้นขึ้นมาได้ด้วยตัวเอง ด้วยสภาวะอารมณ์ของซางหรูหว่าน นางน่าจะสามารถผ่านการทดสอบและหนีอุปสรรคทั้งหมดนี้ไปได้อย่างแน่นอน
เมื่อพวกเขาจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว โม่เทียนเกอและนักพรตฟางเจิ้งเริ่มเปิดม่านพลังเคลื่อนย้ายและฝังศิลาวิญญาณลงไปในม่านพลังตามคำสั่งภายในหยกบันทึก ทันทีหลังจากนั้น แสงสว่างจ้าจนแสบตาก็ระเบิดออกจากม่านพลังและภาพทิวทัศน์รอบๆ ตัวพวกเขาก็เปลี่ยนไป
แสงค่อยๆ จางลงทีละนิด โม่เทียนเกอลืมตาแล้วจึงมองไปรอบๆ รู้สึกงงงวยเป็นที่สุด
ลมหนาวดังหวีดหวิวอยู่ในหูของนาง เบื้องหน้านางคือธารน้ำแข็งสูงตระหง่านและเหนือหัวนางคือเกล็ดหิมะพัดหมุนอย่างหนักหน่วง
พวกเขากำลังยืนอยู่บนเขตธารน้ำแข็งที่กว้างใหญ่ พวกเขาไม่รู้เลยว่าตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ไหน!
ข้างๆ นาง นักพรตฟางเจิ้งอุทานออกมาด้วยความตกใจ “โอ๊ะ!”
โม่เทียนเกอรีบถามทันที “สหายนักพรตฟางเจิ้ง เจ้ารู้จักสถานที่นี้หรือ”
นักพรตฟางเจิ้งพยักหน้า เขาพูดพร้อมกับจ้องนาง “ที่นี่คือเขตธารน้ำแข็งทางทิศเหนือสุด! ”
เขตธารน้ำแข็งทางทิศเหนือสุด! โม่เทียนเกอประหลาดใจที่ได้ยินเช่นนี้ ในขั้วท้องฟ้า ในทิศตะวันออกและตะวันออกเฉียงใต้คือแนวเทือกเขาคุนอู๋ที่สูงตระหง่าน ทิศตะวันออกเฉียงเหนือซึ่งแค่แยกออกมาจากสำนักเทียนเต้าด้วยภูเขาหนึ่งลูกเท่านั้นคือที่ซึ่งฝ่ายอธรรมเติบโต ในทิศตะวันตกคือทะเลทรายรกร้างไร้ผู้อยู่อาศัย และทางทิศเหนือสุดคือเขตธารน้ำแข็ง
ถ้ำเซียนของนักเดินทางจื่อเวยตั้งอยู่ในหุบเขามรสุมในภูเขาเก้าวิญญาณแห่งแคว้นจิ้นตรงใจกลางของขั้วท้องฟ้าพอดี นี่มันกี่พันลี้จากตรงนั้นกัน ม่านพลังเคลื่อนย้ายนั้นสามารถเคลื่อนย้ายพวกเขามายังสถานที่ห่างไกลขนาดนี้ได้จริงๆ!
โม่เทียนเกอค้นหาในหยกบันทึกแต่นางก็พบว่าจุดหมายปลายทางของม่านพลังเคลื่อนย้ายไม่ได้เขียนเอาไว้ข้างใน เป็นไปได้หรือไม่ว่าจุดหมายนั้นเป็นการสุ่มเอา อย่างไรก็ตาม พวกเขาจะได้รับคำตอบก็ต่อเมื่อหลังจากพวกเขาทำภารกิจที่นักเดินทางจื่อเวยฝากฝังเอาไว้ได้สำเร็จและกลับไปยังหุบเขามรสุม