ตอนที่ 1010 - เดินทางไปด้วยกัน

The Divine Nine Dragon Cauldron

ซือหยูแตะปลายเท้ากับพื้นหลบไปที่ด้านข้างเขาเพิ่งจะหลบการจู่โจมได้หวุดหวิด ดวงตาอันลึกล้ำของเขาเยือกเย็นลง
  ชายร่างสูงเกือบเจ็ดศอกก้าวเข้ามาในถ้ำร่างกายกำยำของเขาดูแกร่งกล้า ทุกฝีเก้าทำให้พื้นสั่นเล็กน้อย ฝั่นควันกระจุยกระจายไปตามทางที่เขาเดินผ่าน
  ซือหยูและคนอื่นในถ้ำหัวใจเต้นแรงอย่างหยุดไม่อยู่เมื่อคนผู้นั้นเข้ามาใกล้
  ร่างกายแข็งแกร่งมาก!ซือหยูแววตาหม่นหมอง
  เขาเคยเผชิญหน้ากับอสูรเนรมิตรมาก่อนคนตรงหน้าทำให้ความรู้สึกนั้นกลับมา ชายร่างใหญ่ตรงหน้าให้ความรู้สึกที่เหมือนกับว่าจะกำราบซือหยูได้ ไม่มีจ้าวเทวะคนใดเทียบด้านพลังกายกับเขาได้
  “ศิษย์พี่ยู่กลับมาแล้วรึ?”   คนข้างในถ้ำสีหน้าดีใจ
  แม้แต่ศิษย์พี่ใหญ่เองก็ชักสีหน้าเขาหัวเราะ
  “ศิษย์น้องยู่เจ้ากลับมาทันเวลาพอดี”
  หน้าใหม่ที่เข้ามาคือศิษย์อันดับสองแห่งสำนักช่างสวรรค์ยู่เหลียง ผู้มีร่างกายกำยำ ในด้านพลังกาย เขาคือคนที่ยอดเยี่ยมที่สุด ศิษย์พี่ใหญ่ได้อันดับหนึ่งมาได้ก็เพราะใช้พลังทั้งหมดรวมกัน
  ยู่เหลียงเหลือบมองซือหยูและสาวเท้ายาวๆ ก้าวไป
  “ศิษย์พี่ใหญ่ทุกคนปลอดภัยดีหรือไม่?”
  หลายคนยิ้มและพยักหน้าบรรยากาศเริ่มผ่อนคลายขึ้น
  หลังจากพูดคุยกันเล็กน้อยยู่เหลียงหันไปมองซือหยูด้วยดวงตาราวพยัคฆ์
  “เจ้านี่น่ะรึที่คิดจะฉวยโอกาสยามที่เราเคราะห์ร้ายเข้ามาขอหุ่นเชิดของสำนักช่างสวรรค์ของเรา?”   ซือหยูยิ้มเล็กๆ
  “ใช่แล้วแล้วเจ้าจะทำไม?”
  ซือหยูมองศิษย์พี่ใหญ่
  “ข้าคงมาขัดจังหวะการได้รวมตัวกันใหม่ของพวกเจ้าข้าจะไปแล้ว ส่งหุ่นเชิดของข้ามาซะ”
  “น่าขัน!สำนักอสูรสวรรค์ของเจ้าอาจเป็นสำนักใหญ่โตในแดนเหนือ แต่เจ้ามันก็แค่แมลงในเขตกลาง! ถ้ายังมีสติดีอยู่ก็จงไสหัวไปซะ!”
  ยู่เหลียงจ้องมองอย่างเกรี้ยวกราด
  ศิษย์พี่ใหญ่ลูบวิหคไม้ครู่หนึ่งหลังจากนั้นเขาก็หยุดยู่เหลียง
  “ศิษย์น้องอย่าเพิ่งผลีผลาม!”
  “ศิษย์น้องซือช่วยเหลือข้าในยามอันตรายสำนักเราติดหนี้บุญคุณเขา วิหคไม้คือสิ่งที่ข้าสัญญาจะมอบให้”
  เขาโยนวิหคไม้ไปทางซือหยู  ซือหยูรับมันมาตรวจดูและประสานหมัดลา
  “ลาก่อน!”
  ยู่เหลียงแววตาดุร้ายเขากำลังจะไล่ตามซือหยูแต่ก็ถูกศิษย์พี่ใหญ่หยุดเอาไว้
  “ช้าก่อน!ศิษย์น้องซือ เจ้าก็ด้วย”
  ซือหยูตาลุกวาวเขาหยุดเดินและหันไป
  “มีเรื่องอันใดกัน?”
  เขาถาม
  ศิษย์พี่ใหญ่ตอบ
  “ข้าติดหนี้บุญคุณเจ้าข้าจึงมีข่าวที่จะต้องแบ่งปันกับเจ้า ศิษย์น้องซือ”
  “ว่ามา”
  ซือหยูพยายามจะเดินออกไปเพราะไม่มีสิ่งใดที่ไร้ราคา นี่คือกฎของโลกที่มีมาตั้งแต่โบราณกาล
  “เจ้าจะต้องรู้อยู่แล้วว่าภัยพิบัติที่สวนบุพผากำลังจะมาถึงและพวกเราก็อยู่ในใจกลางสวนบุพผาแห่งนี้ ถ้าพวกเราออกไปจากที่นี่ไม่ทัน พวกเราจะต้องถูกกำจัดเป็นแน่”
  ศิษย์พี่ใหญ่กล่าว
  ภัยพิบัติที่สวนบุพผานั้นมีความรุนแรงที่สุดถ้าเขาผ่านช่วงเวลานี้ไปได้ เขาจะมีโอกาสได้รับรางวัล ถ้าหากถูกกำจัด เขาจะต้องตาย
  ซือหยูพยักหน้าช้าๆ
  “ข่าวอะไรล่ะ?”
  ศิษย์พี่ใหญ่ยิ้ม
  “เราได้ข้อมูลบางอย่างมาว่าที่กลางสวนบุพผามีจุดเคลื่อนย้ายที่เชื่อมต่อกับอีกสี่สวนที่เหลือถ้าหากเราใช้มันได้ เราอาจจะออกจากสวนบุพผาได้ในเวลาที่สั้นที่สุด ศิษย์น้องซือสนใจจะร่วมมือกับพวกเราหรือไม่?” ไอลีนโนเวล
  มีจุดเคลื่อนย้ายที่กลางสวนบุพผารึ?ซือหยูไตร่ตรองเงียบ ๆ ม่อเทียนฉวนไม่เคยพูดเรื่องนี้มาก่อนเลย
  “นี่คือข้อมูลที่เชื่อถือได้มาจากตระกูลบูรพาที่เป็นตระกูลโบราณ ไม่มีใครคุ้นเคยต่อแดนมณีเท่ากับตระกูลบูรพาอีกแล้ว”
  ศิษย์พี่ใหญ่กล่าว
  ตระกูลบูรพารึ?ซือหยูใจเต้นเมื่อมีคนพูดถึง ชื่อเสียงของตระกูลบูรพานั้นกระฉ่อนไปทั่วจิวโจว ซือหยูจะไม่รู้ได้อย่างไร?
  ถ้าหากข้อมูลมาจากตระกูลนี้บางทีมันก็อาจจะมีความน่าเชื่อถืออยู่บ้าง ซือหยูไม่รู้ทางลัดในการหนีจากสวนบุพผาเช่นกัน ใยจะไม่ลองดูเล่า? อย่างไรก็ไม่เสียหาย!
  “ต้องใช้เวลาอีกกี่วันกว่าจะถึงกลางสวนบุพผา?”
  ซือหยูถาม
  ศิษย์พี่ใหญ่หัวเราะเสียงดัง
  “ไม่นานหรอก…แค่ห้าวันเท่านั้นหากเผื่อเวลาก็จะใช้เวลาหกวัน แล้วก็ยังเหลืออีกเจ็ดวันกว่าที่ภับพิบัติแรกจะมาถึง เรามีเวลาเหลือเฟือ”
  ถ้าเช่นนั้นก็คุ้มค่าที่จะลอง  “ย่อมได้”
  ซือหยูพยักหน้า
  ซือหยูรู้ดีว่าคนเหล่านี้ไม่ได้ยอมรับเขาเพราะพลังพลังของยู่เหลียงนั้นไม่ได้อ่อนแอไปกว่าพลังที่ซือหยูเคยแสดงออกมาเลย ดังนั้นจึงไม่จำเป็นที่จะพาเขาไปด้วย เหตุผลเดียวที่พวกเขาให้ซือหยูไปด้วยก็คือตัวตนในฐานะศิษย์สำนักอสูรสวรรค์ของซือหยู
  และไม่ใช่ว่าพวกเขาจะคาดหวังให้ซือหยูใช้พลังจัดการกับคนสำนักอื่นที่อาจจะพบเจอในระหว่างเดินทางแม้ว่าคนสำนักช่างสวรรค์จะบาดเจ็บอยู่มาก ศิษย์พี่ใหญ่ก็เป็นอิสระจากผลึกหญ้าแล้ว พวกเขาต้องใช้เวลาอีกแค่ไม่กี่วันก่อนที่ทุกคนจะกลับมาแข็งแรงดี
  มีอยู่ไม่กี่คนเท่านั้นที่จะเป็นภัยต่อพวกเขาสิ่งที่พวกเขากังวลที่สุดก็คือการได้เจอกับกลุ่มกองกำลังที่แข็งแกร่งที่สุดอย่างสำนักอสูรสวรรค์ในระหว่างทาง
  และเมื่อศิษย์จากสำนักอสูรสวรรค์อย่างซือหยูอยู่ที่นี่คนจากสำนักเดียวกับเขาก็น่าจะอยู่ในพื้นที่นี้เช่นเดียวกัน หากได้เจอจากยอดฝีมือวิถีอสูรเหล่านั้นพวกเขาก็คงจะพูดอะไรไม่ได้ การมีซือหยูที่เป็นศิษย์ร่วมสำนักอสูรสวรรค์อยู่ด้วยจึงเป็นความคิดที่ยอดเยี่ยม ในระหว่างที่พวกเขาเดินทางไปยังจุดเคลื่อนย้าย พวกเขาจะใช้ซือหยูเป็นตัวเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างสองฝ่าย
  แม้ว่าศิษย์พี่ใหญ่จะเป็นคนตรงไปตรงมาแท้จริงเขาก็นับเป็นคนเจ้าอุบายคนหนึ่ง
  “ศิษย์พี่นี่มันไม่มากไปหน่อยรึ?”
  ยู่เหลียงไม่พอใจเขาจะถูกสำนักลงโทษแน่นอนหากให้วิหคไม้กับคนนอก
  แน่นอนว่าแผนนี้เป็นแผนที่ดีต่อตัวศิษย์พี่ใหญ่เพราะเขาเป็นอิสระจากบาดแผลได้ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับยู่เหลียงที่ไม่ได้อะไรตอบแทน เขาจึงไม่พอใจนัก
  “ศิษย์น้องการเดินทางเต็มไปด้วยอันตราย ทุกคนกำลังบาดเจ็บ จะดีกว่าหากเราได้ผูกมิตรกับศัตรูอื่น”   ศิษย์พี่ใหญ่กล่าวด้วยรอยยิ้ม
  ยู่เหลียงชักสีหน้าเขามิอาจปฏิเสธได้
  ซือหยูเห็นอะไรบางอย่างเขาสังเกตว่าเมื่อศิษย์พี่ใหญ่พูด เขาแอบส่งข้อความทางจิตไป ยู่เหลียงจึงยอมรับเขา
  “ฮ่าๆ ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็ไปกันเถอะ”
  ศิษย์พี่ใหญ่กล่าว
  หลังจากเตรียมตัวเรียบร้อยซือหยูออกจากถ้ำเนินเขากับพวกคนสำนักช่างสวรรค์ พวกเขามุ่งหน้าไปยังสวนบุพผาส่วนกลาง
  ชาหยินบินตามซือหยูมา
  “ศิษย์น้องซืออย่าถือสาศิษย์พี่ยู่เลย เขาเป็นเช่นนั้นเสมอ พวกเราทำอะไรไม่ได้ หวังว่าเจ้าจะเข้าใจ”
  นางพูดเบาๆ
  ซือหยูพยักหน้าราวกับไม่สนใจ
  ผู้หญิงคนนี้ดูใจดีในเบื้องหน้าแต่แท้จริงนางไม่ได้ไร้เสียงดาอย่างที่แสร้งเป็น ซือหยูสังเกตได้ตั้งแต่ที่นางใช้เขานำทางมาหาคนของนางแล้ว
  ชาหยินไม่ได้ว่าอะไรนางยิ้มเบา ๆ และพูดคุยกับซือหยูไปตลอดทาง
  “ศิษย์พี่ใหญ่ชาหยินเป็นผู้หญิงของพี่ ไม่กลัวว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นถ้าให้นางอยู่กับไอ้เด็กสำนักอสูรสวรรค์รึ?”
  ยู่เหลียงเหลือบมองซือหยูและพูดกับศิษย์พี่ใหญ่ผ่านกระแสจิต
  ศิษย์พี่ใหญ่หรี่ตาหลังจากการพักฟื้นมาหลายวัน บาดแผลของเขาฟื้นคืนกลับมาดีแล้ว เขาพูดอย่างใจเย็น
  “ก็แค่ผู้หญิงคนเดียวไม่ใช่เรื่องใหญ่หากจะมีอะไรเกิดขึ้น ข้าแค่เป็นห่วงว่าเจ้าเด็กนั่นจะสังเกตบางอย่างและทิ้งพวกเราไป นั่นล่ะปัญหาของจริง…”
  …