[ส่วนที่ 7 น้ำนิ่งคลื่นน้อย] ตอนที่ 10 ข้าก็ขอเอี่ยวด้วย

เจาะเวลาสู่ต้าถัง

เมือฉางอันราวกับมีกระแสคลื่นใต้น้ำที่กำลังปั่นป่วน เหล่าขุนนางฝ่ายบุ๋นผนึกกำลังกันไม่หยุดหย่อนเตรียมการโจมตีระลอกใหม่ ไม่ว่ากระดิกตัวอะไรล้วนใช้เป็นคำกล่าวอ้างได้ กระแสข่าวลือก็ใช้เป็นฎีกาได้ ตระกูลอวิ๋นไม่ทำธุรกิจใดๆในกวนจง แต่นอกด่านแล้วพวกเขารับหมดทุกอย่าง ได้ยินว่าแม้แต่ขนแกะก็ยังรับกลับมา จะเอาขยะเหล่านี้มาทำอะไรกัน ทุบเป็นสักหลาดหรือ ไม่หรอก นี่เป็นการให้ทุนศัตรูอย่างเปิดเผย ไม่เช่นนั้นใครจะยอมเอาเสบียงอาหาร เครื่องกระเบื้องภาชนะเหล็กไปแลกกับของไร้ค่าพวกนั้น ต้องมีเลศนัยอยู่ภายในแน่นอน จะต้องตรวจสอบออกมาให้ได้ ดังนั้น กองคาราวานของตระกูลอวิ๋นกับเหอจึงโดนตรวจสอบไม่หยุดหย่อน ต่อหน้าดูราวกับเกรงใจอยู่บ้างแต่ความจริงแล้วตรวจสอบอย่างละเอียดถี่ถ้วนมาก

 

 

“เหล่าเกา ระยะนี้พวกเจ้าหน้าที่เมืองระหว่างทางเสียสติกันแล้วหรือ กองคาราวานพวกเราโดนตรวจไปสี่รอบแล้ว พวกเขาอยากทำอะไรกันแน่” หัวหน้าผู้คุ้มกันกองคาราวานถามผู้ดูแลงาน

 

 

“จะมีอะไร นอกจากอิจฉาตาร้อนเห็นพวกเราทำกำไรได้ แต่ละคนล้วนอยากเข้ามาเอี่ยวด้วย สุดท้ายแล้วโหวเหยียโมโหสั่งเลิกทำธุรกิจทั้งหมดจนไม่เหลือแม้แต่แห่งเดียว พวกเดียรฉานเห็นไม่มีโอกาสได้รับประโยชน์จากกวนจงก็เลยคิดอยากขัดคอเรา ข้าคิดว่า หากไม่มีฮูหยินรองอยู่ที่ทุ่งหญ้าไม่แน่ว่าแม้แต่ธุรกิจในทุ่งหญ้าก็อาจถูกโหวเหยียสั่งให้เลิกไปด้วย”

 

 

“ฮูหยินรองอะไรกัน เหล่าเกาอย่าได้พูดชุ่ยๆ เรื่องไม่จริงทั้งนั้น ถึงแม้จะเกล้าผมทรงหญิงแต่งงานแล้ว แต่พอเห็นก็รู้ทันทีว่ายังเป็นสาวบริสุทธิ์แท้ๆ คำพูดนี้หากฮูหยินเล็กได้ยินจะถลกหนังแกแน่นอน”

 

 

“เจ้าอย่าพูดเลย เรื่องนี้อยู่ที่ช้าหรือเร็วเท่านั้น คนที่ทุ่งหญ้าไม่ได้สวยงามเหมือนฮูหยินเล็กก็จริง แต่ว่าไปแล้ว เวลานี้ฮูหยินเล็กมีครรภ์ การออกดอกออกผลเจริญมั่งคั่งของตระกูลเราเป็นเรื่องช้าเร็วเท่านั้น ถึงเวลานั้นแล้วทรัพย์สินมหึมาที่ทุ่งหญ้าจะไปยอมยกให้คนอื่นได้อย่างไร ฮูหยินรองแม้ความงามจะด้อยไปสักนิดแต่เพื่อทรัพย์สินของตระกูลแล้วโหวเหยียคงไม่มีทางเลือกมากนัก”

 

 

ทั้งคู่นำกองคาราวานคุยพลางเดินทางพลางจนมาถึงท่าเรือโดยไม่รู้ตัว ทุกท่าเรือล้วนมีด่านเก็บภาษีของราชการ หากอยากข้ามแม่น้ำจะต้องชำระภาษีก่อน ภาษีของตระกูลอวิ๋นแต่ไหนแต่ไรมาล้วนไปคิดบัญชีที่ฉางอันทีเดียว ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นขุนนางประจำด่านวันนี้ต้องการให้ตระกูลอวิ๋นชำระภาษี ทำให้ผู้ดูแลเกาตกใจอย่างยิ่งที่เป็นเรื่องเป็นราวหนักหนามาก หมายความว่าพวกนั้นไม่สนใจหน้าตาอะไรกันอีกแล้ว

 

 

ชำระภาษีไม่ได้ หากชำระแล้วชื่อเสียงตระกูลอวิ๋นจะเสียหายหนัก ผู้ดูแลเกาจึงต้องสั่งให้กองคาราวานถอยออกจากท่าเรือแล้วส่งคนไปฉางอันกลางดึก รอการตัดสินใจจากโหวเหยีย

 

 

เวลานี้เอง ภายในฝ่ายตรวจการก็เถียงกันไม่จบ ไม่ใช่เพราะใดอื่นแต่เพราะธุรกิจที่แปลกประหลาดของตระกูลอวิ๋น บางส่วนเห็นว่าต้องใช้ไม้แข็งตัดขาดเส้นทางธุรกิจของตระกูลอวิ๋น ผู้ตรวจการหัวรุนแรงที่สุดคือหวงโย่ว มีความเชื่อมั่นอย่างเด็ดขาดว่าถึงแม้ทุ่งหญ้าได้ถูกปราบปรามราบคาบแล้ว แต่พื้นที่นั้นมักจะยอมแพ้แล้วก็กลับคืนเป็นกบฏอีกเป็นประจำไม่เคยมีสัจวาจาที่เชื่อถือได้แม้แต่นิด ต้องใช้แต่พระเดชเท่านั้นจึงสยบได้จะใช้พระคุณไม่ได้ วิธีการของตระกูลอวิ๋นยิ่งจะต้องโดนเล่นงานให้เด็ดขาด

 

 

เมื่อมีคนเริ่มต้นแล้วย่อมติดเบรกไม่อยู่ ฝ่ายตรวจการแต่ไหนแต่ไรมาเป็นแหล่งที่กล้าคิดกล้าพูดอยู่แล้ว แม้จะมีร่องรอยให้สงสัยบ้างเพียงเล็กน้อยพวกเขาก็ไม่ลังเลที่จะขยายให้เป็นภัยอย่างมหันต์

 

 

เว่ยเจิงนั่งอยู่หลังโต๊ะพิจารณาอย่างเงียบๆ หลับตาราวกับวิญญาณออกไปท่องโลกข้างนอก รอจนกระทั่งเหล่าผู้ตรวจการเห็นพ้องต้องกันแล้ว จึงลืมตาดูฎีกาที่เหล่าลูกน้องตัวเองวางอยู่ที่โต๊ะนับดูแล้วมียี่สิบฉบับ

 

 

“ทั้งหมดนี้คือฎีกาที่พวกเจ้าฟ้องร้องอวิ๋นเยี่ย”

 

 

“ถูกต้อง เว่ยกง พวกเราได้รวบรวมข้อหาอวิ๋นเยี่ยเป็นคดีโทษหนักหกคดี คดีโทษกลางเจ็ดคดี คดีโทษเบาสิบสามคดี”

 

 

“ความผิดทั้งหมดนี้พวกเจ้าต่างมีหลักฐานชัดเจนผูกมัดได้แน่นหนาไหม”

 

 

“พวกเราเป็นผู้ตรวจการ การทำฎีกาเรื่องราวที่ยังไม่มีหลักฐานถือเป็นหน้าที่ ไม่กล้ารอช้าให้เสียหาย”

 

 

“หวงโย่ว คิดให้ดีๆ เจ้ากับข้าต่างรู้ดีกันว่าความน่าเชื่อถือของคดีเหล่านี้มีมากน้อยแค่ไหน หากอวิ๋นเยี่ยตีโต้กลับมา ข้าเชื่อว่าสิ่งที่ข้าให้เจ้าได้คือความแหลกลาญเท่านั้น ตระกูลโต้วใหญ่โตมโหฬารขนาดไหนยังสามารถล่มสลายได้ในวันเดียว อย่าให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยได้เชียว”

 

 

เงยหน้ามองหวงโย่วที่เหงื่อหยดติ๋งๆแล้ว เว่ยเจิงพูดต่อว่า “ความจริงทั้งหมดนี้ล้วนเกิดจากผลประโยชน์ เดิมทีเห็นว่าร้านค้าใกล้จะล่มจมพวกเจ้าจึงต่างถอนหุ้นออกจากร้านค้า ใครจะรู้ว่าเหนียงเหนียงเปิดร้านค้าเงินเอาเงินตัวเองให้ร้านค้ากู้ในอัตราดอกเบี้ยแสนต่ำติดดิน ทำให้ร้านค้าต่างกลับคืนชีพได้อีก พวกเจ้าคิดจะเข้าหุ้นใหม่ต่างถูกปฏิเสธ ข้าดูถูกเหล่าพ่อค้ามาแต่ไหนแต่ไรแต่ครั้งนี้กลับรู้สึกว่าเหล่าพ่อค้าไม่ได้ทำผิด หากเปลี่ยนเป็นข้าก็จะไม่ยอมรับผู้ร่วมหุ้นที่ไร้น้ำใจไร้คุณธรรม ธุรกิจพวกเขามีเงินของเหนียงเหนียงกับรัชทายาทพวกเจ้าจึงไม่กล้าทำอะไร นึกว่าอวิ๋นเยี่ยรังแกได้จึงเตรียมระบายความแค้นใส่อวิ๋นเยี่ยหรือ”

 

 

สะบัดแขนเสื้อทีเดียวฎีกาบนโต๊ะต่างโดนปัดตกพื้นจนเกลี้ยง จับหน้าโต๊ะโน้มตัวไปข้างหน้าตะคอกว่า “อวิ๋นเยี่ยบอกว่าในราชสำนักมีคนดีเพียงไม่กี่คน ข้าไม่อยากจะเชื่อ แต่เวลานี้เห็นได้ชัดเจน แต่ละคนแต่งตัวภูมิฐานแต่ไม่ละอายใจ สู้ตายกันเพื่อเงินทอง แม้แต่มารยาททางวงการขุนนางยังทอดทิ้งหมดเกลี้ยง เงินที่อวิ๋นเยี่ยหามาได้พวกเราต่างรู้ว่าใช้ไปอยู่ที่ไหน ในเวลาสามปีเขาสร้างสถานศึกษาที่ใหญ่ที่สุดที่สมบูรณ์แบบที่สุดของต้าถังเรา ตัวเองกลับใช้จ่ายอย่างประหยัดในการกินอยู่ ข้าได้ยินว่าพวกท่านแม้แต่ซอยต้นหอมยังต้องมีพ่อครัวโดยเฉพาะ เรียกว่าต้องกินอย่างประณีต ท่าที่อวิ๋นเยี่ยถือซาลาเปาสองลูก นั่งกินอยู่บนขั้นบันไดสถานศึกษาพวกท่านมีใครเคยเห็นแล้วยัง

 

 

พูดถึงเรื่องกิน ของที่เขาเคยกินยังมากกว่าที่พวกท่านเคยเห็น อาหารที่เขาทำออกมามีรสชาติสุดยอด ข้าเคยชิมครั้งเดียวยังไม่สามารถลืมได้ เขาเรียกพวกเราว่าอะไรรู้ไหม เต่านา ก็คือพวกคนบ้านนอกที่ไม่เคยเห็นโลกภายนอก ดูจากการกระทำของพวกท่านแล้ว เขาไม่ได้พูดผิดเลย

 

 

ถ้าหากมีหลักฐานที่ชัดเจน ไม่ต้องรอให้พวกเจ้าลงมือหรอก ข้าเองจะฟัดกับเขาให้ตายไปข้างหนึ่ง ท่านดู ยึดครองที่ดินนอกด่านตั้งตัวเป็นอ๋อง รอบๆมีแต่กองทัพสุดยอดของต้าถัง คนเลี้ยงปศุสัตว์ไม่กี่ร้อยคนจะก่อกบฏ หวงโย่ว ท่านเชื่อหรือ

 

 

ใช้กลวิธีพิสดารถ่ายทอดพิษร้ายให้นักศึกษา ข้อนี้รอให้พวกท่านมีวิชาความรู้เหนือกว่าหลี่กังแล้วค่อยพูดจะดีกว่า ขุนนางบุ๋นสมควรสามัคคีนั้นถูกต้อง แต่ไม่ใช่เพื่อต่อต้านจึงต่อต้าน ข้ารู้ว่ามีบางคนได้แจ้งให้ขุนนางท้องถิ่นเล่นพิเรนทร์กับตระกูลอวิ๋นในเรื่องนี้ ข้าได้แค่หวังให้พวกท่านอย่าได้ถลำลึกมากเกินไป ไม่เช่นนั้นใครก็ช่วยท่านไม่ได้”

 

 

พูดเรื่องเหล่านี้จบแล้วเว่ยเจิงก็ออกจากฝ่ายตรวจการ ให้พวกเขาไตร่ตรองเรื่องพวกเขาเอง ในฐานะผู้บังคับบัญชาสิ่งที่สมควรทำก็ได้ทำแล้ว เขาไม่กล้านึกภาพว่าหากขนแกะส่งมาไม่ทัน หลี่ไท่ที่กำลังเต้นผางเนื่องจากขนแกะน้อยเกินไปจะทำเรื่องที่น่ากลัวอะไรออกมา

 

 

หลี่ไท่ที่ไม่หลับไม่นอนมาสามวันสามคืน จับจ้องการทำงานของเครื่องทอ ด้ายขาดเส้นหนึ่งเขาก็ชักกระตุกหนึ่งครั้งราวกับโดนมีดทิ่มหนึ่งครั้ง สุดท้ายแล้วผ้าที่ทอออกมาถึงแม้จะไม่ดี แต่ก็เริ่มเห็นรูปร่างแล้ว

 

 

เรื่องใกล้จะสำเร็จแล้ว เว่ยเจิงย่อมรู้ว่าหากขนแกะสามารถทำเป็นเสื้อผ้าได้ จะมีผลอย่างไรต่อการปกครองของต้าถัง ทุ่งหญ้ากับจงหยวนจะเป็นกลุ่มผลประโยชน์ร่วมกันจนแยกจากกันไม่ได้ จะไม่มีเรื่องชนชาติป่าเถื่อนมาบุกรุกอีกต่อไป

 

 

หลี่ไท่ขณะทำงานทั้งอารมณ์ร้อนทั้งไร้มนุษยสัมพันธ์ ทำตัวราวกับเป็นเครื่องจักร เกลียดทุกคนที่ไม่รักษาระเบียบวินัย ขันทีปรนนิบัติข้างกายเขาเปลี่ยนมาแล้วสามคน เนื่องจากเร่งให้เขากินข้าวหรือนอนแล้วโดนซ้อม อีกทั้งใช้ทุกอย่างใกล้มือในการทำร้าย เช่นขันทีที่เพิ่งถูกหามออกไปโดนค้อนทุบใส่แขนจนแขนหัก

 

 

“เยี่ยจื่อ ข้าต้องการขนแกะ ข้าต้องการขนแกะจำนวนมาก ให้เมียเจ้าโกนขนแกะบนทุ่งหญ้าให้หมดเกลี้ยง ข้าต้องการขนแกะ ข้าใกล้จะสำเร็จแล้ว” อวิ๋นเยี่ยมองดูหลี่ไท่ที่บ้าๆบอๆด้วยความเป็นห่วงสุขภาพของเขามาก ตั้งแต่เครื่องจักรกลน้ำของเขาสำเร็จแล้ว เขาก็รับงานทอผ้าขนแกะจากด้ายขนแกะที่แสนยากเย็นจากเหล่ากงซู เวลาหลายเดือนมานี้ หลี่ไท่ที่อ้วนท้วนผอมลงไปมากมายทั้งตัวดำคล้ำลงจนเสื้อผ้าเดิมใส่แล้วหลวมโพลกแกว่งไปมาได้

 

 

“อย่าเพิ่งไปสนใจขนแกะ ได้ยินขันทีที่เพิ่งถูกหามออกไปบอกว่าท่านไม่ได้กินข้าวมาหนึ่งวันแล้ว ไฟในตัวขึ้นสูงจัด ต้องพักผ่อนก่อน ขนแกะจะรีบส่งมาทันที ได้ยินเร่อมู่บอกว่า ขนแกะล็อตนี้ดีมาก พอให้ท่านใช้ได้อีกพักใหญ่”

 

 

“เยี่ยจื่อ ช่วยให้เงินขันทีคนเมื่อกี้สิบก้วน พอข้าเริ่มงานแล้วก็บังคับตัวเองไม่อยู่ เจ้าบอกพวกเขาว่าต่อไปเวลาข้าทำงานอย่าได้มากวนข้าก็พอแล้ว หากขนแกะสามารถทำเสื้อผ้าได้ เยี่ยจื่อ ทั้งเจ้าทั้งข้าต่างรู้ว่ามีความหมายอะไร ต้าถังข้าต้องการสร้างความเป็นปึกแผ่นหมื่นปี จะต้องเริ่มต้นจากฐานรากที่มั่นคง พวกเราทำฐานรากที่หนาแน่นที่สุดให้ชนรุ่นหลัง ต่อไปถึงแม้ว่าพวกเขาจะไร้ฝีมือ ก็ยังทนได้สักระยะหนึ่ง”

 

 

อวิ๋นเยี่ยไม่เคยได้ยินหลี่ไท่พูดเช่นนี้มาก่อน รู้สึกตกตะลึงเล็กน้อย ที่แท้เขามีด้านความอ่อนไหวเช่นนี้อยู่ด้วย จึงผลักไหล่เขาให้เขาตื่นจากภวังค์แล้วบอกว่า “ตัวเองมีชีวิตอยู่ให้ดีหน่อยก่อนเถอะ ไม่ต้องคิดไกลเกินไป อนาคตไม่ใช่สิ่งที่เราควบคุมได้ พี่ชายใหญ่ท่านให้ข้านำของดีมาหลายอย่าง ว่าให้ท่านบำรุงให้ดีๆ ระยะนี้ท่านผอมจนเขารู้สึกปวดใจ”

 

 

“เมื่อก่อนข้าอ้วนเกินไปจนเจ้าชอบมาหัวเราะเยาะข้า แล้วทำไมตอนนี้จะมาให้ข้าบำรุง มั่วมากจริงๆ” แม้ปากบ่นอยู่ แต่มือเปิดกล่องอาหารออกอย่างรวดเร็ว กุ้งตัวยาวครึ่งเชียะนั้นรู้จัก ปูผังเซี่ยก็รู้จัก เนื้อวัวไม่แปลกอะไร แต่ที่ดำมะเมื่อมนั่นเป็นอะไรหรือ

 

 

ไม่สนใจแล้ว ดูรายการอาหารก็รู้ว่ามาจากฝีมืออวิ๋นเยี่ย ผลิตภัณฑ์จากอวิ๋นเยี่ยย่อมเป็นของดี มีข้อพิสูจน์มานานแล้ว ไม่มีข้อสงสัย อาหารชนิดแรกที่หลี่ไท่ลงมือก่อนก็คือสิ่งที่สีดำมะเมื่อม เป็นของดี กินเข้าปากแล้วจึงรู้สึกถึงความสดใหม่ของปลิงทะเล หลี่ไท่ชอบกินข้าวเตียวหูฝีมือซินเย่ว์มากที่สุด อาหารอื่นไม่ได้แตะ กินปลิงทะเลผัดต้นหอมกับข้าวชามใหญ่หมดแล้ว จึงวางชามตะเกียบลง อาหารอื่นสั่งทหารคุ้มกันให้เหล่าช่างทอที่ร่วมค้นคว้าด้วยกันกิน ตัวเองถือกระติกชาเล็กบ้วนปาก

 

 

เหล่าเฉียนวิ่งมาอย่างเร่งรีบในมือมีจดหมายฉบับหนึ่ง ยกศีรษะดูเห็นเป็นจดหมายด่วนที่ผู้ดูแลงานเกาที่ไปรับขนแกะส่งมาว่าถูกขัดขวางที่ท่าเรือฮวงโห เวลานี้แม้แต่เสียภาษีก็ยังไม่ให้กองคาราวานตระกูลอวิ๋นข้ามได้ บอกว่าจะต้องตรวจสอบทั้งหมด

 

 

อวิ๋นเยี่ยชกที่เสาหมัดหนึ่งแล้วไม่พูดไม่จา หลี่ไท่อดไม่ได้รับจดหมายดู ดวงตากลายเป็นสีแดงทันที เรียกหัวหน้าทหารองครักษ์ของตัวเองมาพูดอย่างแค้นใจว่า “เจ้าขี่ม้าด่วนไปท่าเรือเดี๋ยวนี้เอาขนแกะข้ามา ข้าไม่สนใจว่าเจ้าจะใช้วิธีการอะไร อย่างไรก็ตาม หากมีเรื่องข้าจะออกรับแทนเจ้า ข้าต้องการแค่ขนแกะเท่านั้น”

 

 

หัวหน้าทหารองครักษ์รับคำแล้วก็พุ่งออกไป หลี่ไท่มองบ่อล้างขนแกะที่ว่างเปล่า ตะโกนเสียงดังว่า “ข้าแค่ต้องการขนแกะนิดเดียวเท่านั้น พวกเจ้าก็จะมาหาเรื่องกันหรือ”

 

 

เหล่าเฉียนลากอวิ๋นเยี่ยออกจากโรงงานกระซิบกับเขาว่า โหวเหยีย หวงเหยียจะทำให้เกิดเรื่องใหญ่โตไหม หากเป็นเช่นนั้นคงได้ไม่คุ้มเสีย พวกเราใช้วิธียุแหย่เช่นนี้จะไหวไหม”