เซียวเยว่ชิงหันกลับมาด้วยสีหน้าโศกเศร้ามองเยี่ยเม่ย
เอ่ยปนสะอื้น “แม่นางเยี่ยเม่ย มีเรื่องอะไรหรือ”
เขาอยากร้องไห้จริงๆ
คุณชายเสี่ยวจิ่วอยู่ที่นี่ หากทำให้คุณชายเสี่ยวจิ่วรู้ว่า คำหลอกลวงแม่นางเยี่ยเม่ยทั้งหลายล้วนมาจากปากเขาบอกแม่นางเยี่ยเม่ยเอง
จากวิธีการฆ่าคนของคุณชายเสี่ยวจิ่วในสนามรบ ไม่รู้เลยจริงๆว่า ตัวเขาที่น่าสงสารจะถูกหั่นเป็นกี่ชิ้น
เยี่ยเม่ยปรายตาเซียวเยว่ชิง เอ่ยเสียงเย็นชา “ไม่มีอะไร ก็แค่จะยืนยันกับเจ้าว่า คำพูดที่เจ้าบอกข้าในวันนั้นเป็นความจริงใช่หรือไม่”
หางตาของเซียวเยว่ชิงปรายตามองจิ่วหุน เขาอยากร้องไห้แต่ร้องไม่ออก ทั้งไม่รู้ว่าพูดอะไรดี
เพราะเรื่องนี้มีผลลัพธ์เพียงแค่สองข้อเท่านั้น อย่างแรก บอกความจริงออกมา แล้วเขาถูกองค์ชายสี่ฆ่าตาย อย่างที่สอง พูดจากเหลวไหลต่อไป ถูกจิ่วหุนฆ่าตาย
ยามนี้เขายิ่งคิดก็ยิ่งเสียใจ ไฉนไม่ส่งคนมาดูสถานการณ์ก่อน ตัวเองค่อยมากันเล่า
เยี่ยเม่ยเห็นเขาไม่พูด ถามเสียงเย็นชา “อะไรกัน คำพูดของข้าทำให้เจ้ารู้สึกว่าตอบยากอย่างนั้นหรือ”
เซียวเยว่ชิงสะอื้นตอบ “แม่นางเยี่ยเม่ย ไม่ใช่แค่ตอบยาก แต่ก็ยากที่จะตอบได้มากๆ”
ไม่ว่าตอบจะตอบอย่างไรก็ตาย ต่างก็แต่ว่าจะตายอยู่ที่มือใคร นี่ยังไม่ใช่คำถามที่ยากจะตอบได้อีกเหรอ
เซียวเยว่ชิงเอ่ยประโยคนี้จบ เงยหน้ามองเยี่ยเม่ย ปรึกษาว่า “แม่นางเยี่ยเม่ย ท่านดู ข้าน้อยจงรักภักดีต่อท่าน ทั่วทั้งค่ายทหารล้วนหาคนที่ภักดีเช่นข้าไม่ได้อีกแล้ว มิเช่นนั้นเรื่องนี้ ท่านไปถามคนอื่นเถอะ”
ไม่ต้องถามเขาแล้ว
เขาไม่อาจขวางไว้ได้อีกแล้ว ผู้อื่นตายได้ แต่ข้าไม่อาจตายก็แล้วกัน
…..
เยี่ยเม่ยนิ่งเงียบไปชั่วขณะ สมองหวนคิดถึงความทรงจำในวันนั้นอย่างรวดเร็ว ครั้งก่อนตอนที่เซียวเยว่ชิงเอ่ยคำพูดพวกนั้นกับนาง ซินเยว่เยี่ยนกับซือหม่าหรุ่ยเดินผ่านมาพอดี ปฏิกิริยาแปลกๆ ต่างๆ รวมกับคำพูดของ เซียวเยว่ชิง
ยามนี้นางพลันเข้าใจแล้ว
เยี่ยเม่ยจ้องเซียวเยว่ชิง เอ่ยถามว่า “ดังนั้น ความจริงของเรื่องก็คือ พวกเจ้าล้วนรับคำสั่งของเป่ยเฉินเสียเยี่ยน ไม่กล้าขัดขืน ดังนั้นไม่อาจไม่ฟังคำพูดเขา ทำได้แค่โกหกข้าแล้ว”
เซียวเยว่ชิงฟังคำพูดนี้ แสดงออกอย่างเจ็บปวดมากขึ้นไปอีก
หากตัวเองยอมรับคำพูดนี้ ยิ่งจะตายอย่างน่าอนาถ องค์ชายสี่ไม่ทรมานตนทั้งครอบครัวจนตายก็แปลกแล้ว เซียวเยว่ชิงหน้าตาบึ้งตึงส่ายหน้าให้กับเยี่ยเม่ย
เยี่ยเม่ยนิ่งไป มองเซียวเยว่ชิง เอ่ยว่า “ข้าเข้าใจแล้ว เจ้าไม่ต้องตอบแล้ว ทำงานต่อไปเถอะ”
“ขอรับ” เซียวเยว่ชิงตอบรับคำหนึ่ง
จากนั้น เซียวเยว่ชิงเดินต่อไปอีกหลายก้าว ค่อยหยุดชะงัก เขาหันกลับมามองเยี่ยเม่ยคุกเข่าลง “ตุบ”
“แม่นางเยี่ยเม่ย ขอร้องท่านแล้ว อย่าได้พูดถึงข้าน้อยต่อองค์ชายสี่ได้หรือไม่”
เห็นได้ชัดเลยว่า แม่นางเยี่ยเม่ยรู้แล้วว่าเรื่องนี้เป็นอย่างไรกันแน่ หากองค์ชายสี่รู้ว่าเขาไม่ได้เอ่ยคำโกหกต่อไป ชีวิตเขายังจะเหลืออีกเหรอ
ความจริงไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากโกหกต่อไป อย่างไรเสียการล่วงเกินองค์ชายสี่จะทำให้ครอบครัวตกตายกันหมด หากล่วงเกินจิ่วหุนก็แค่เขาคนเดียวที่ตาย แต่ที่สำคัญก็คือเขาละอายใจ
เสี่ยวจิ่วที่เป็นเจ้าทุกข์อยู่ที่นี่ เขาเป็นชายชาตรี จะให้เขาเบิกตากว้างเอ่ยคำลวงต่อหน้าเสี่ยวจิ่ว เขาจะพูดออกได้อย่างไร
เยี่ยเม่ยเข้าใจความกลัดกลุ้มของเขา ทั้งยังเข้าใจความหวาดกลัวคนของราชสำนักเป่ยเฉินทั้งหลายที่มีต่อเป่ยเฉินเสียเยี่ยน
นางพยักหน้า เอ่ยว่า “ข้ารู้แล้ว พวกเจ้าถอยไปเถอะ”
เซียวเยว่ชิงน้ำตาคลอเอ่ยว่า “ขอบคุณแม่นางเยี่ยเม่ย”
ความรู้สึกที่หนีรอดจากความตายเช่นนี้ช่างมิได้สวยหรูเอาเสียเลย
ครั้นดูจากการแสดงออกของเขาก็เท่ากับสารภาพกับเยี่ยเม่ยไปแล้ว เรื่องอาการบาดเจ็บ คนที่โกหกความจริงก็คือ เป่ยเฉินเสียเยี่ยน ส่วนคนที่ได้รับความไม่ยุติธรรมตัวจริงก็คือจิ่วหุน
หลังจากเซียวเยว่ชิงเอ่ยจบ ก็รีบลุกขึ้นทันที สาวเท้าสวบๆ ออกไป ชั่วขณะนั้นความรู้สึกกระปรี้กระเปร่า ความเจ็บปวดที่ก่อนหน้านี้หลอกลวงทำร้ายเสี่ยวจิ่วสลายไปจนหมดสิ้น รู้สึกว่าตนเองพ้นความผิดแล้ว
หลังจากเซียวเยว่ชิงจากไป
เยี่ยเม่ยมองจิ่วหุน ยื่นมือออกไปตบบ่าเขา “ลำบากเจ้าแล้ว”
น้ำเสียงนางยังคงเย็นชาเหมือนเดิม ทั้งแฝงความโมโหเอาไว้ด้วย
จิ่วหุนเข้าใจ นี่คือความโกรธที่มีต่อเป่ยเฉินเสียเยี่ยน
เขารีบพยักหน้า ท่าทางว่าไม่เป็นไร เอ่ยว่า “ข้าไม่โมโหแล้ว”
เขาเป็นคนรู้จักสถานการณ์เช่นนี้ ไม่โทษเยี่ยเม่ย เยี่ยเม่ยยิ่งสงสารจิ่วหุนจับใจ
แน่นอนว่าความโกรธที่มีต่อเป่ยเฉินเสียเยี่ยนก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน
เยี่ยเม่ยมองจิ่วหุน ถามว่า “มีแค่ปอยผมขาดใช่ไหม ไม่ได้รับบาดเจ็บอื่นใช่หรือเปล่า”
จิ่วหุนส่ายหน้า น้ำเสียงกลัดกลุ้มเอ่ยว่า “ไม่มี”
ในเวลานี้เป่ยเฉินเสียเยี่ยนกำลังจะถูกจัดการเพราะแกล้งบาดเจ็บ ต่อให้จิ่วหุนโง่แค่ไหน เวลานี้ก็ไม่เสแสร้งบาดเจ็บไปด้วย
…
“อย่างนั้นก็ดี” เยี่ยเม่ยคลายใจ เอ่ยว่า “เจ้าพักผ่อนเสีย”
เยี่ยเม่ยพูดไปก็เตรียมออกจากประตู
จิ่วหุนมองตามเยี่ยเม่ย ถามว่า “เจ้าจะไปทำอะไร”
มุมปากเยี่ยเม่ยยกยิ้มเย็นชา น้ำเสียงเย็นเยือก “ไม่ใช่มีบางคนบอกว่าอาการบาดเจ็บกำเริบ ต้องการให้ข้าไปดูแลมิใช่หรือ”
ท่าทางถมึงทึงของเยี่ยเม่ยดูแล้วน่ากลัวมาก
ในขณะนั้นเองจิ่วหุนที่เชื่อฟังมาโดยตลอด เวลานี้ก็เริ่มเฝ้ารอดูจุดจบของเป่ยเฉินเสียเยี่ยน อย่างไรเสียอีกฝ่ายก็ให้ร้ายเขาเสียอนาถถึงขั้นนี้
จิ่วหุนพยักหน้า กล่าวต่อ “อย่างนั้นเจ้าไปเถอะ”
“อืม” เยี่ยเม่ยหมุนกายเดินออกไป พลันฉุกคิดบางอย่างได้ หันกลับมามองจิ่วหุน เอ่ยว่า “ครั้งหน้าหากมีเรื่องไม่ยินดีอะไรอีก บอกกับข้ามาตรงๆ อย่าได้วู่วามหนีออกจากบ้าน เจ้าก็เห็นแล้ว เจ้าหนีออกไปก็ถูกคนวางแผนการใส่ทันที”
เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้สมองของเยี่ยเม่ยก็อื้ออึ้งรู้สึกจนปัญญากับเป่ยเฉินเสียเยี่ยนผู้นี้จริงๆ ไม่เข้าใจเลยว่าอีกฝ่ายเป็นบุรุษ กินอิ่มนอนหลับว่างงาน แกล้งบาดเจ็บเพื่ออะไรกัน
จิ่วหุนพยักหน้า “รู้แล้ว”
เข้าใจแล้ว ภายหน้าต่อให้ต้องหนีออกจากบ้านอีกก็ไปที่ที่ตามหาตัวได้ง่าย แบบนี้ก็ไม่ทำให้ทุกคนหาไปจนทั่วแต่ก็หาไม่พบ นางไม่มาปลอบเขาอีก
ซ้ำเขายังต้องกลับมาเอง ถึงเขาจะไม่ใช่คนรักหน้าขนาดนั้น แต่ความจริงเขาก็ประหม่ามาก
เยี่ยเม่ยเห็นจิ่วหุนเห็นด้วยแล้ว ก็ไม่พูดมาก เดินจากไป
…
ในห้องเป่ยเฉินเสียเยี่ยน
องค์ชายสี่นั่งใช้สมองขบคิดแผนการรับมือ
อวี้เหว่ยจัดการศพจิ้งหรีดเสร็จแล้ว กำลังยืนอยู่ข้างกายเจ้านาย รอดูจุดจบของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนอยู่ข้างๆ
ส่วนด้านข้างคืออุปกรณ์ที่จัดเตรียมไว้จำนวนมาก
ในเสี้ยวเวลานี้เอง เยี่ยเม่ยเดินเข้ามาด้วยสีหน้าเย็นชา หลังจากเข้ามาแล้วก็ตวาดเสียงเย็น “เป่ยเฉินเสียเยี่ยน”
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนรีบลุกขึ้น ยืนอย่างสงบเสงี่ยม “แม่นางเยี่ยเม่ย เยี่ยนเตรียมแส้เอาไว้แล้ว”