ตอนที่ 606 ไม่ตรงกัน

บุตรอสูรบรรพกาล

ตอนที่ 606

ไม่ตรงกัน

“ยินดีต้อนรับศิษย์ใหม่ทุกท่านเข้าสู่สำนักเหยี่ยวทะเลทราย นับแต่นี้ไปพวกเราคือพี่น้องและครอบครัวเดียวกัน พวกเราจะผ่านอุปสรรคและขวากหนามไปด้วยกันและร่วมกันรับความสุขที่จะตามมา”เสียงของผานซูประกาศท่ามกลางศิษย์ใหม่ที่มากันมากกว่าปีก่อนๆหลายสิบเท่า ทั้งนี้เพราะการไล่คนออกครึ่งสำนักทำให้การรับศิษย์ในปีนี้เปิดกว้างกว่าปีก่อนๆมาก เรียกได้ว่าทุกคนที่มาเข้าสมัครแทบจะได้เข้าร่วมสำนักกันหมดยกเว้นแต่คนที่ไม่มีความสามารถด้านพลังวิญญาณจริงๆ

“ในที่สุดข้าก็ได้เข้าสำนักฝึกฝนพลังวิญญาณเสียที ความฝันของข้าเป็นความจริงแล้ว”หญิงสาวคนหนึ่งพูดด้วยท่าทีดีใจ เพราะนโยบายรับศิษย์หญิงของหลินเฟยทำให้เหล่าเด็กสาวและหญิงสาวมากมายมาเข้าสมัครคิดเป็นอัตรา 7 ใน 10 ของศิษย์ที่ผ่านการทดสอบเลยทีเดียว แถมเพราะจำนวนผู้หญิงที่มีความสามารถนั้นไม่สมเหตุสมผลกับสำนักที่เปิดรับทำให้ศิษย์หญิงที่เข้าใหม่ต่างมีพรสวรรค์กันเป็นส่วนมาก เรียกได้ว่าสามารถฝากความหวังไว้ได้มากกว่าศิษย์ชายที่เข้ามาเมื่อปีที่แล้วเสียอีก แต่ก็ไม่ใช่ว่าศิษย์ชายจะไร้ความสามารถ เพราะในกลุ่มนั้นยังมีฟงเป่าและคนอย่างพวกหม่าหยงฉีที่ตอนนี้กลายเป็นศิษย์ของอาวุโสไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แน่นอนว่าหม่าหยงฉีแม้จะเสียดายแต่ก็ดีใจมากที่ตนเองกลายเป็นศิษย์ของอาวุโส เท่านี้อนาคตหม่าหยงฉีก็มีโอกาสกลายเป็นอาวุโสของสำนักเหยี่ยวทะเลทรายและจะสามารถสร้างชื่อเสียงให้ตระกูลของตนได้อย่างแน่นอน

“………”แต่ท่ามกลางความดีใจของเหล่าศิษย์ที่พึ่งได้เข้าสำนักกลับมีคนที่ยังไม่พอใจในสถานะของตนเสียเท่าไหร่ ทั้งๆที่พวกตนนั้นสมควรเป็นคนที่ได้รับตำแหน่งที่ทุกคนอยากได้แท้ๆ

“แม้แต่งานฉลองรับศิษย์ใหม่ก็ยังไม่โผล่หน้ามางั้นหรือ”หนี่หลิงหนานพูดด้วยท่าทีไม่พอใจขณะมองขึ้นไปบนที่นั่งของเจ้าสำนัก น่าเสียดายที่ผานซูไม่ได้ประสานงานเรื่องการรับศิษย์กับหลินเฟยเพราะต้องการปิดเรื่องคัดเลือกศิษย์ใหม่ให้กับหลินเฟยเป็นความลับ สุดท้ายเลยกลายเป็นว่างานฉลองรับศิษย์ใหม่ไปตรงกับวันที่หลินเฟยต้องเข้าพบท่านหัวหน้าผู้ตรวจการพอดี คนในสำนักก็เลยทำอะไรไม่ได้นอกจากปล่อยให้ที่นั่งของเจ้าสำนักว่างลงแล้วใช้เรื่องเก็บตัวฝึกฝนวิชามาเป็นข้ออ้างกับเหล่าศิษย์ใหม่แทน แต่สำหรับคนในห้องทดสอบเมื่อเช้าแล้วต่างทราบดีว่าเจ้าสำนักอย่างหลินเฟยไม่ได้เก็บตัวฝึกฝนวิชาจริงๆแต่อย่างไร แถมยังโยนตำราฝึกฝนวิชาให้กับพวกฟงเป่าทั้งสามคนแล้วกลับไปทำงานนอกสำนักหน้าตาเฉยอีกต่างหาก

“คนๆนั้นเป็นเจ้าสำนักจริงๆงั้นหรือ ข้าสัมผัสพลังของคนๆนั้นไม่ได้เลย”หนี่หลิงหนานว่าพลางเดินเข้าไปในส่วนที่พักของศิษย์ประจำตัวเจ้าสำนัก โดยที่พักของพวกนางนั้นใหญ่พอๆกับห้องของเหล่าอาวุโสแถมยังอยู่ล้อมรอบจวนเจ้าสำนักอีกต่างหาก เรียกได้ว่าเป็นสถานที่ที่ดีมากของสำนักเลยก็ว่าได้ เพราะในอนาคตคนที่จะรับช่วงต่อเจ้าสำนักก็ต้องเป็นหนึ่งในสามคนนี้นี่เอง

“หนี่หลิงหนาน เจ้าอย่าพูดเช่นนั้นเลย อาจารย์เป็นคนที่เก่งมากเลยนะ”ฟงเป่าว่าพลางนำวิชาที่หลินเฟยมอบให้ขึ้นมาดู

“สำหรับข้ารองเจ้าสำนักยังเก่งกว่าเสียอีก”หนี่หลิงหนานส่ายหน้าพลางถอนหายใจออกมา นางสัมผัสพลังวิญญาณจากหลินเฟยไม่ได้ก็เลยเข้ารู้สึกว่าผานซูนั้นน่าเกรงขามมากกว่าเสียอีก

“ไม่หรอก ท่านอาจารย์สามารถรับ….การโจมตีของอสูรตนหนึ่งต่อหน้าข้าได้สบายเลย เรื่องที่ท่านแข็งแกร่งนั้นข้ายืนยันได้”ฟงเป่าตอบพลางเดินนำทั้งสามเข้าไปในสวนของเจ้าสำนัก ที่นี่มีลานฝึกขนาดเล็กตั้งอยู่ตรงกลางโดยทางเหนือเป็นที่พักของเจ้าสำนักและทางตะวันออกเป็นที่พักของพวกฟงเป่าโดยมีห้องแยกออกเป็น 3 ห้องในอาคารเดียวกัน ส่วนทางตะวันตกนั้นมีหอตำราและห้องหนังสือตั้งเอาไว้

“ข้าเองก็คิดว่าอาจารย์ต้องเป็นคนที่เก่งมากๆเลยนะ”เซี่ยจินเย่พูดพลางยิ้มออกมาด้วยท่าทีใจดี นางดูเป็นคนที่ไม่ทุกร้อนอะไรที่สุดแล้วในกลุ่มคนทั้งสาม นางเดินเข้าไปดูห้องพลางฮัมเพลงด้วยท่าทีสบายใจราวกับกำลังเดินกลับบ้านไม่มีผิด

“แล้วไงล่ะ ข้าไม่ได้เดินทางมาไกลเพื่อเอาตำราแค่เล่มเดียวนะ”หนี่หลิงหนานว่าพลางกำหมัดแน่น ตัวนางเองมุ่งหน้ามาที่นี่เพราะข่าวการรับสมัครศิษย์หญิงของสำนักอันดับ 9 นางมีเหตุผลที่ต้องแข็งแกร่งขึ้นทำให้นางเดินทางแทบไม่ได้หลับไม่ได้นอนเพื่อมาให้ทันเวลาสมัครเลยเชียวนะ

“ไม่ต้องห่วงหรอก อาจารย์ต้องเลือกวิชาที่ดีให้พวกเราแน่ๆ อย่างน้อยตอนนี้พวกเราก็ฝึกตามที่อาจารย์เขียนเอาไว้ให้ก่อนเถอะ”ฟงเป่าว่าพลางนำตำราของตนขึ้นมาอ่าน ตัวฟงเป่านั้นไม่มีสัมภาระอะไรต้องเก็บเพราะของใช้ทุกอย่างของฟงเป่าอยู่ในมิติของพี่หมิงมิ่งนั่นเอง

“หวังว่าวิชาที่ว่าจะดีจริงๆนะ”หนี่หลิงหนานว่าพลางนำของเข้าไปเก็บในห้องแล้วกลับออกมาพร้อมกระบี่และตำราที่หลินเฟยมอบให้

“แปลกจัง”เซี่ยจินเย่ขมวดคิ้วด้วยท่าทีงงๆก่อนจะมองเนื้อหาในตำราด้วยท่าทีประหลาดใจ

“มีอะไรงั้นหรือ”ฟงเป่าที่กำลังเริ่มฝึกถามด้วยท่าทีสงสัย วิชาที่เซี่ยจินเย่ได้รับมีเนื้อหาน้อยมาก เล่มตำราบางกว่าที่พวกหนี่หลิงหนานและฟงเป่าได้รับหลายเท่า แม้แต่ฟงเป่ายังกังวลว่าเนื้อหาตำราที่นางได้รับนั้นจะเป็นเช่นไร

“แปลกมากเลย เหมือนอาจารย์จะรู้เลยว่าข้าถนัดวิชาแบบนี้”เซี่ยจินเย่ตอบด้วยท่าทีตกใจ ตัวนางนั้นเป็นเด็กสาวที่โตมาในเมืองแถมทางใต้ของเมืองหลวงอีกที วิชาที่เรียนก็ได้มาจากท่านแม่เป็นวิชาที่เน้นการยืมแรงของคู่ต่อสู้เพื่อล้มคู่ต่อสู้เอง วิชาแบบนี้พบเห็นได้ยากและสร้างความงุนงงให้กับคู่ต่อสู้ของตระกูลเซี่ยหลายต่อหลายครั้ง แต่พอเริ่มเปิดอ่านตำราที่หลินเฟยให้มาก็พบว่าวิชาที่หลินเฟยให้มานั้นเป็นวิชาที่เหมือนต่อยอดจากวิชาของตระกูลเซี่ยเลย

“นั่นสิ ทำไมอาจารย์ถึงเอาวิชากระบี่ให้ข้ากัน”หนี่หลิงหนานขมวดคิ้วพลางมองตำราในมือของตนเองด้วยท่าทีงงๆ ตำราในมือของนางนั้นคือวิชากระบี่ของสำนักร้อยบุปผา หรือก็คืออดีตสำนักของหลานฮวานั่นเอง วิชาที่ให้หนี่หลิงหนานฝึกเป็นวิชากระบี่ก่อนที่หลานฮวาจะตกสู่ความแค้นแล้วฝึกฝนจนทิศทางกระบี่เปลี่ยนไปเป็นเหี้ยมโหดเหมือนในช่วงก่อนเข้าตระกูลไป๋ แม้วิชากระบี่ร้อยบุปผาจะไม่ใช่วิชายอดเยี่ยมของแผ่นดินทางเหนือแต่ก็เป็นวิชาที่อยู่ระดับสูงทีเดียว หากหนี่หลิงหนานสามารถฝึกฝนสำเร็จนางคงสามารถเดินทางไปอาณาจักรไป๋ได้โดยไม่โดนรังแกง่ายๆเป็นแน่

“ไม่รู้สิ แม้แต่ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าอาจารย์เป็นใครกันแน่”ฟงเป่าตอบพลางส่ายหน้าช้าๆ แม้จะเคยพบหลินเฟยมาก่อนแต่ก็ไม่ได้สนิทสนมกันขนาดจะทราบได้ว่าหลินเฟยนั้นมีความสามารถแค่ไหน แต่ในตอนที่หลินเฟยพบหน้าหนี่หลิงหนานและเซี่ยจินเย่เป็นครั้งแรก ดวงตาของหลินเฟยนั้นเปลี่ยนไป หากเป็นคนอื่นคงไม่สังเกต แต่สำหรับผู้มีดวงตาสีทองอย่างฟงเป่านั้นกลับผิดสังเกตในทันที แม้ไม่ทราบว่าดวงตาที่หลินเฟยใช้นั้นมีความสามารถอะไร แค่ฟงเป่าเชื่อว่าในตอนนั้นหลินเฟยคงประเมินความสามารถของพวกตนเสร็จเรียบร้อยและเลือกวิชาที่เหมาะสมมาให้ทันทีแน่ๆ

“…….”หนี่หลิงหนานที่บ่นหลินเฟยอยู่เมื่อครู่เงียบเสียงไปทันทีเมื่อเริ่มเปิดอ่านตำราที่ตนได้รับมา ตอนแรกนางบอกว่านางไม่ได้เดินทางไกลมาเพื่อเอาตำราเพียงเล่มเดียว แต่เมื่อได้เริ่มอ่านความคิดนางก็เปลี่ยนไป ต่อให้นางต้องเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลไปยังแผ่นดินอื่นก็ยังคุ้มค่าเสียด้วยซ้ำหากได้ตำราเล่มนี้มาไว้ในมือ วิชากระบี่ที่เขียนอยู่ในตำราเล่มนี้ทั้งอ่อนช้อยงดงามและยังซับซ้อนอีกด้วย วิชากระบี่ร้อยบุปผานั้นแบ่งออกเป็น 47 ท่า แต่ละท่าสามารถนำมาใช้ต่อกันผสานกันได้อย่างไม่สิ้นสุด แถมขั้นตอนการเดินพลังของแต่ละท่ายังได้ผลลัพธ์ที่น่าเหลือเชื่ออีกต่างหาก

ส่วนทางด้านของฟงเป่านั้นได้รับวิชาปีกทองสะบั้นฟ้าซึ่งเป็นวิชาของท่านตาไก่ฟ้าที่เขียนขึ้นใหม่ในรุ่นของหลินเฟย อาจจะเพราะหลินเฟยรู้สึกว่าความสัมพันธ์ของฟงเป่ากับหมิงมิ่งนั้นเหมือนคนตระกูลไป๋และอสูรมาก หลินเฟยเลยมอบวิชาของท่านตาไก่ฟ้าให้ฟงเป่าที่มีธาตุลมเหมือนกัน เรียกได้ว่าฟงเป่าได้รับวิชาระดับสูงกว่าที่คนอื่นๆได้รับมากทีเดียว

สุดท้ายคือเซี่ยจินเย่ เพราะก่อนเข้าไปในห้องทดสอบหลินเฟยก็สัมผัสพลังของฟงเป่าได้อยู่แล้วเลยใช้ดวงตาสีม่วงและเขียวตรวจสอบก่อนจะเข้าไปในห้องเสียอีก ทำให้หลินเฟยได้เห็นการต่อสู้ของทั้งสามคนทำให้ทราบแนวทางวิชาของเซี่ยจินเย่ก่อนจะได้พบหน้ากันเสียด้วยซ้ำ หลินเฟยจึงเลือกวิชากระจกภูตพรายให้กับนางเพราะเห็นว่าเป็นวิชาในแขนงเดียวกัน มันเป็นวิชาที่แข็งแกร่งมากของชายคนหนึ่งที่คิดจะสู้กับท่านน้าจูล่ง แต่น่าเสียดายที่ท่านน้าจูล่งสามารถเอาชนะชายคนนั้นได้ในพริบตา หลินเฟยเห็นวิชานี้น่าสนใจดีก็เลยจำเอาไว้ พึ่งได้มาใช้ก็ตอนนี้นี่เอง

แม้จะทำท่าทีเหมือนไม่อยากสอนแต่หลินเฟยก็ทำหน้าที่เจ้าสำนักและอาจารย์ของพวกฟงเป่าอย่างดีไม่น้อยเลย ถึงจะทำเหมือนโยนตำราให้เฉยๆแต่ตำราที่หลินเฟยเลือกก็ผ่านการตรวจสอบและไตร่ตรองมาแล้ว ถึงขั้นเป็นวิชาที่เหนือกว่าวิชาที่มอบให้กับเหล่าอาวุโสและรองสำนักเสียอีก แถมก่อนออกไปยังส่งใบสั่งยาให้กับห้องยาด้วยว่าควรให้ยาชนิดใดกับศิษย์ของตนคนไหนในการฝึกฝนวิชา

.

.

“ช่างน่ายินดีจริงๆที่พวกเราได้คนมีฝีมือแบบท่านมาช่วย ไม่ทราบตำแหน่งอาวุโสจะน้อยเกินไปหรือไม่สำหรับท่านอดีตรองเจ้าสำนักซ่งหลุน”ในวันรับศิษย์ใหม่ของสำนักเหยี่ยวทะเลทรายนั้นกลับมีอีกหลายสำนักเช่นกันที่พึ่งได้รับคนเข้าสำนักเพิ่ม แต่คนที่รับเข้ามานั้นไม่ใช่ศิษย์รุ่นใหม่ แต่เป็นเหล่าคนจากสำนักเหยี่ยวทะเลทรายเก่านั่นเอง

“ไม่เลย ตำแหน่งอาวุโสของสำนักหมู่ดาวนั้นยิ่งใหญ่กว่ารองเจ้าสำนักของสำนักเหยี่ยวทะเลทรายเสียอีก นับว่าข้าได้กำไรโดยแท้”ซ่งหลุนผู้เคยเป็นรองเจ้าสำนักที่ถูกผานซูไล่ออกไปตอบพลางยิ้มด้วยท่าทีพึงพอใจ ยามนี้คนของตนต่างแยกย้ายไปเข้าสำนักใหญ่ต่างๆกันเกือบหมด ยิ่งสำนักอันดับสูงขึ้นเท่าไหร่ก็ยิ่งได้นับเงินสนับสนุนจากราชสำนักมากขึ้นเท่านั้น จึงมีหลายสำนักที่ยินดีจะรับคนของซ่งหลุนเข้าร่วมกับตนเอง

“แต่ท่านไม่ลำบากใจหรือ ท่านก็น่าจะรู้นี่ว่าสำนักเราเป็นสำนักคู่อริกับสำนักเหยี่ยวทะเลทราย”คนของสำนักหมู่ดาวถามด้วยท่าทีสงสัย

“ก็ต้องตอบว่า เมื่อมีศัตรูร่วมกันศัตรูในอดีตก็กลายเป็นมิตรได้”ซ่งหลุนว่าพลางยิ้มออกมาด้วยความยินดี ยิ่งสำนักหมู่ดาวเป็นสำนักอริกับสำนักเหยี่ยวทะเลทรายยิ่งดีใหญ่ เพราะตนเองก็อยากทำลายสำนักเหยี่ยวทะเลทรายที่ขับไล่พวกตนออกมาอยู่แล้ว