ภาคที่ 31 ขั้นอลวน ตอนที่ 33 สอดแนมพลังยุทธ์ของจอมเทพศักดิ์สิทธิ์

Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน

ตอนที่ 33 สอดแนมพลังยุทธ์ของจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ โดย Ink Stone_Fantasy

หอกโบราณหลากสีในมือของจอมเทพศักดิ์สิทธิ์พุ่งออกมาในทันใดราวกับอสนีบาต พอพุ่งออกมาแล้วก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย

ขวับ!

ทางเข้าวังทวีสูญที่อยู่ไกลออกไปเกิดไประลอกคลื่น หอกหลากสีนำมาซึ่งพลังคุกคามอันน่าหวาดหวั่นเป็นที่สุดอย่างเห็นได้ชัด โจมตีบริเวณทางเข้า แต่เพียงแค่ก่อให้เกิดระลอกคลื่นเท่านั้น อีกทั้งยังมีประกายดาบปรากฏขึ้นต้านทานการคุกคามของหอกยาวอย่างต่อเนื่อง

“จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ วังทวีสูญไม่ต้อนรับเจ้าหรอกนะ” น้ำเสียงเย็นชาลอยมาจากมิติอีกแห่งหนึ่ง

“ราชันย์มีดก็มาถึงแล้วสินะ” จอมเทพศักดิ์สิทธิ์เองก็รู้ว่าคราวนี้สถานการณ์เลวร้าย เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายมีการเตรียมตัวมาก่อน เตรียมตัวกันมาอย่างเต็มที่ยิ่งนัก ภายใต้การจัดการของบรรพชนทิพย์และบรรพชนโลกา… ตนเองย่อมไม่สามารถทำลายวังทวีสูญที่มีราชันย์มีดรักษาการณ์อยู่ได้อย่างง่ายดายอยู่แล้ว

จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ยื่นมือออกมา หอกหลากสีก็ลอยกลางอากาศกลับมาอยู่ในอุ้งมือเขา

“พวกเจ้าเชื่อมั่นในตัวจอมกระบี่ผู้นั้นมากเกินไปแล้วกระมัง สิ่งของของข้ามิได้ถูกช่วงชิงได้อย่างง่ายดายเช่นนั้นหรอกนะ” กลิ่นอายอาฆาตที่แผ่มาจากบนร่างของจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ทวีความเข้มข้นยิ่งขึ้น

“ก็ลองดูกันสักตั้งเถิด” บรรพชนโลกายิ้มตาหยี

บรรพชนทิพย์ยืนอยู่ข้างๆ อย่างเงียบเชียบเช่นเดิม

“ดื้อดึงไปก็ไร้ประโยชน์” กลิ่นอายบนร่างของจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ปะทุขึ้นมาในทันใด

ปัง!

ฟ้าเบื้องบนของโลกทิพย์พลันมีอสนีบาตจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้น อสนีบาตสีเทาสายแล้วสายเล่าแหวกว่ายตามอำเภอใจราวกับงูสายฟ้าขนาดมโหฬาร หรือไม่ก็ฟาดลงบนพื้นดินเบื้องล่างอย่างโกรธา อสนีบาตเหล่านี้บ้าคลั่งเหนือธรรมดา แต่กลับอยู่รอบกาย ‘จอมเทพศักดิ์สิทธิ์’ ทั้งสิ้น ผิวหนังของจอมเทพศักดิ์สิทธิ์เปลี่ยนเป็นโปร่งแสงอย่างรางๆ มีอสนีบาตจำนวนนับไม่ถ้วนเคลื่อนอยู่ภายในผิวหนัง

เขากุมหอกยาว ผิวนอกของหอกยาวก็มีสายฟ้าสีเทาล้อมรอบอยู่เช่นเดียวกัน

“บรรพชนทิพย์ ระวังหน่อยนะ จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ผู้นี้ใกล้จะคลั่งแล้ว” บรรพชนโลกายิ้มตาหยีเช่นเคย แต่บรรพชนทิพย์ที่อยู่ด้านข้างกลับนิ่งขรึมสายโซ่สีดำบนผิวกายเส้นแล้วเส้นเล่าต่างก็พุ่งพรวดขึ้นในทันใดแล้วขยายยาวขึ้นอย่างไม่หยุดหย่อน สายโซ่สีดำทุกเส้นต่างก็ทำให้ห้วงมิติบริเวณรอบๆเริ่มบิดเบี้ยวแล้วทลายลงมา บริเวณรอบสายโซ่คล้ายกับมีจักรวาลกำเนิดขึ้นและสูญสลาย เห็นได้ชัดว่าระแวดระวังอย่างที่สุด

“ปัง”

จอมเทพศักดิ์สิทธิ์เคลื่อนไหวแล้ว ก้าวยาวๆ ก้าวหนึ่งก็เข้ามาสังหาร หอกยาวดูเหมือนถูกแทงออกมาเบื้องหน้าอย่างง่ายๆ คราหนึ่ง แต่กลับแฝงไว้ด้วยรสชาติอันน่าประหลาด หอกยาวแทงไปทางบรรพชนทิพย์ เห็นได้ชัดว่าสำหรับจอมเทพศักดิ์สิทธิ์แล้ว… บรรพชนทิพย์ดูเหมือนจะจัดการได้ง่ายที่สุด

“เคร้งๆๆ…” สายโซ่สีดำเก้าเส้นลอยสะบัด ทุกเส้นลึกลับยากคาดเดา ทำให้พื้นที่โดยรอบต่างก็หดเล็กลงอย่างฉับพลัน มิติที่เดิมทีมีพื้นที่ถึงพันลี้ ถูกบีบให้หดเล็กลงเหลืออาณาบริเวณเพียงหนึ่งลี้เท่านั้น ทำให้หอกยาวของจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ย่อมมิอาจหลีกเลี่ยงได้ ภายในพื้นที่บริเวณเพียงหนึ่งลี้ สายโซ่สีดำเก้าเส้นดูเหมือนจะเติมเต็มพื้นที่ทุกตารางนิ้ว ปะทะเข้าด้วยกันกับหอกยาว

ตึง…

เสียงปะทะดังสนั่น บรรพชนทิพย์ตระหนกจนถึงกับร่นถอยหลังไป

“ฮ่าฮ่า มาเล่นกับข้าหน่อยสิ” บรรพชนโลกาหัวเราะเสียงดังแต่กลับบุกตะลุยเข้ามา

“ไสหัวไป” จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ขยับหอกยาวในมือ ถึงแม้ว่าเขาจะมิใช่สายความเร้นลับของกฎเกณฑ์ แต่ระดับขั้นการโจมตีอันสูงส่งและความร้ายกาจของการใช้หอกยาวนั้นกลับล้ำเลิศเป็นที่สุด

บรรพชนโลกากลับมิได้แยแสสนใจ โบกมือทั้งสองแล้วโอบกอดเข้าไป เขายังมีความรวดเร็วอย่างที่สุด หอกยาวนั้นถอนอยู่เหนือศีรษะของบรรพชนโลการ่างผอมเล็ก กะโหลกศีรษะของเขาพลันบิดเบี้ยวเปลี่ยนรูปร่าง แต่บรรพชนโลกาก็ยังหัวเราะอยู่เช่นเดิม เขามิได้สูญเสียแม้กระทั่งผมเส้นเดียว ผิวหนังก็ไม่มีรอยขีดข่วน กะโหลกศีรษะที่บิดเบี้ยวเปลี่ยนรูปบิดเบี้ยวอีกครั้งแล้วก็ฟื้นคืนสู่สภาพปกติ

สวบ! ฟิ้ว! ปัง!

จอมเทพศักดิ์สิทธิ์พลันโจมตีบนร่างของบรรพชนโลการ่างผอมเล็กหลายสิบหอก พูดถึงพลังคุกคาม พูดถึงความล้ำลึกของระดับขั้น จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ล้วนเหนือกว่าบรรพชนโลกาทั้งสิ้น บรรพชนโลกาถูกโจมตีจนไม่มีแรงจะตีกลับเลยแม้แต่น้อย

แต่ทว่า…

บรรพชนโลกาก็มิได้สูญเสียอะไรเลยแม้แต่น้อย

ร่างกายของเขาอยากให้ใหญ่ก็ใหญ่ อยากให้เล็กก็เล็ก บางครั้งร่างกายก็ทนทานราวกับอาวุธลับระดับจักรวาล พออ่อนนิ่มขึ้นมาก็กลายเป็นแม่น้ำที่กำลังไหลรินสายหนึ่ง อยากให้ร่างกายเลือนหายก็เลือนหาย… อยากให้รวมตัวกันก็รวมตัว เผชิญหน้ากับศัตรูที่ทำอย่างไรก็ฆ่าไม่ตายเช่นนี้ จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ก็ค่อนข้างจนใจ

“ไป” ผิวกายของบรรพชนทิพย์ที่อยู่อีกฟากหนึ่งเริ่มมีสายโซ่สีดำลอยออกมาอย่างแน่นขนัด สายโซ่เหล่านี้ทุกเส้นต่างก็มีขนาดเล็กมาก แต่หลังจากที่ลอยออกมาแล้วกลับมีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ สายโซ่สีดำกว่าหมื่นเส้นต่างก็ทำให้ทั่วทั้งโลกทิพย์สั่นสะเทือน

“พวกเขาสองคน” จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ก็เดือดดาลเป็นอย่างยิ่ง

บรรพชนทิพย์เป็นถึงบุคคลที่สถาปนาระบบทิพย์ เพียงให้เวลาเล็กน้อยกับเขา เขาก็สามารถสำแดงเคล็ดลับอันน่าหวั่นเกรงบางอย่างออกมาได้

เห็นได้ชัดว่าบรรพชนของระบบทิพย์ผู้นี้ก็มีเคล็ดวิชาอันลึกลับน่าอัศจรรย์เช่นกัน

ถ้าหากหนึ่งต่อหนึ่ง…

จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ย่อมไม่มีทางให้เวลากับบรรพชนทิพย์ แต่บรรพชนโลกาช่วยเหลืออยู่ที่ฝ่ายนั้น เห็นได้ชัดว่าให้เวลาบรรพชนทิพย์อย่างเพียงพอในการสำแดงเคล็ดวิชา

“ปัง…”

ยามที่จอมเทพศักดิ์สิทธิ์และบรรพชนทิพย์ประมือกัน โลกทิพย์ก็สั่นสะเทือน รอยแยกที่ปรากฏขึ้นระหว่างฟ้าดินครั้งแล้วครั้งเล่ากลับสมานกัน

……

ภายในวังทวีสูญ

พวกตงป๋อเสวี่ยอิงต่างก็รู้สึกได้ถึงความเคลื่อนไหวของการต่อสู้อันน่าหวั่นเกรงที่โลกภายนอก

“นี่มันเรื่องอันใดกัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงทำการสอดแนมผ่านโพรงทรงกลมหมอกดำในทันที เพราะสถานที่ที่พวกจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ต่อสู้กันอยู่ภายนอกวังทวีสูญ ระยะทางใกล้เป็นอย่างยิ่ง พอตงป๋อเสวี่ยอิงสอดแนม… ก็สอดแนมได้อย่างกระจ่างชัดยิ่งนัก

“จอมเทพศักดิ์สิทธิ์!”

ตงป๋อเสวี่ยอิงมองเห็นแล้ว มองเห็นเงาร่างที่เหมือนกับรูปสลักโบราณนั้นทุกประการ รูปโฉมของเขาค่อนข้างก้ำกึ่ง ถ้าหากเปลี่ยนเป็นเครื่องแต่งกายของอิสตรี เกรงว่าอาจจะถูกเรียกได้ว่าเป็นหญิงงาม รูปโฉมของเขาดูศักดิ์สิทธิ์ แฝงไว้ด้วยรสชาติของกฎเกณฑ์สูงสุดของอากาศอันสับสนอลหม่าน อากัปกิริยาการเคลื่อนไหวของเขาล้วนแฝงไว้ด้วยแรงกดดันอันน่าหวาดหวั่น…

“จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ เป็นเขา เป็นเขา” ในใจของตงป๋อเสวี่ยอิงเกิดแววอาฆาตอันยากจะยับยั้งขึ้นมา

ท่านอาจารย์กู่ฉีตายด้วยน้ำมือของเขา ตนเองยังมิทันจะได้ไปพบหน้าท่านอาจารย์เลย

เจ้าบ้าผู้นี้

คนที่ต้องการให้สิ่งมีชีวิตทั้งหมดยอมจำนนต่อเขา สวามิภักดิ์ต่อเขา แม้กระทั่งอิสรภาพของดวงวิญญาณก็ยังไม่มี

“นี่คือพลังยุทธ์ของเขาอย่างนั้นหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงได้เห็นพลังยุทธ์ของจอมเทพศักดิ์สิทธิ์เป็นครั้งแรก

แข็งแกร่งเกินไปเสียแล้ว

อสนีบาตอันน่าหวาดหวั่นนั้นล้อมรอบร่างของจอมเทพศักดิ์สิทธิ์เอาไว้ มือของเขากุมหอกยาวโบร่ำโบราณอันลึกลับเอาไว้ ทุกการเคลื่อนไหวล้วนทำให้โลกทิพย์สั่นสะท้าน ความเร็วนั้นยังเหนือกว่าขอบเขตที่ตงป๋อเสวี่ยอิงสามารถมองเห็นได้เสียอีก เขามองเห็นเพียงแค่ว่า…ภายใต้การโจมตีของจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ บรรพชนโลกาก็ได้แต่อาศัยร่างกายไปต้านทานไปพัวพัน! ส่วนบรรพชนทิพย์ก็ซ่อนตัวอยู่ที่บริเวณไกลออกไปเพื่อบ่มเพาะเคล็ดวิชาอันน่าหวั่นเกรง

แต่เคล็ดวิชาอันน่าหวั่นเกรงที่บรรพชนทิพย์บ่มเพาะนั้น จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ก็สามารถฝืนทำลายได้

คนหนึ่งรับมือกับสองคน…จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ก็ยังได้เปรียบอย่างเห็นได้ชัด

โลกทิพย์ทะเลสัตตดารากำลังสั่นสะเทือน แต่ละครั้งล้วนมีรอยแยกปรากฏให้เห็น

“แข็งแกร่งเกินไปแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงพรั่นพรึง

ต้องรู้ไว้ว่าบรรพชนทิพย์และบรรพชนโลกานั้นเรียกได้ว่าพวกเขาเป็นบุคคลที่ใกล้เคียงกับจอมเทพศักดิ์สิทธิ์มากที่สุดแล้ว ถึงตนเองจะกระตุ้นสมบัติลับ ‘กำไลไข่มุกสิบสองเม็ด’ ที่อยู่กับตัว ก็สามารถทำได้แค่ต้านทานพวกบรรพชนทิพย์สักหนึ่งหรือสองอึดใจเท่านั้น! เช่นเคล็ดวิชาที่บรรพชนทิพย์อาศัยเวลาบ่มเพาะออกมาในตอนนี้ เพียงแค่กระบวนท่าเดียวสมบัติลับทั้งสองของตนก็ต้านไม่อยู่แล้ว ตนเองก็ต้องจบชีวิต

แต่จอมเทพศักดิ์สิทธิ์สามารถทำลายได้อย่างง่ายดาย กระบวนท่าเดียวอย่างส่งๆ ของเขาก็สามารถทำลายล้างระดับอย่างตงป๋อเสวี่ยอิงได้แล้ว

ถล่มฟ้าทลายดิน

การทำลายโลกทิพย์สักแห่งหนึ่งก็มิใช่เรื่องยากสำหรับเขาเลย

“ข้ายังห่างชั้นกับเขามากมายจริงๆ” ตงป๋อเสวี่ยอิงเห็นกับตาตนเองแล้วจึงเข้าใจในความห่างชั้น

มิน่าเล่าจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ผู้สูงส่งจึงมิได้แยแสสนใจยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนเลย ถึงอย่างไรต่อให้เป็นผู้ที่เหยียบย่างเข้าสู่เทพจักรวาล อาศัยสมบัติล้ำค่า ยามอยู่ต่อหน้าจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ก็ทำได้เพียงฝืนรักษาชีวิตได้เป็นระยะเวลาสั้นๆ เท่านั้น แม้กระทั่งคุณสมบัติในการต่อกรกับจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ก็ยังไม่มีเลยด้วยซ้ำ

ผู้ที่สามารถต่อกรได้นั้นมีน้อยจนสามารถนับนิ้วได้ ซึ่งล้วนเป็นบุคคลระดับเทพจักรวาลระดับชั้นที่สองด้วยกันทั้งสิ้น

“คิดจะเป็นศัตรูกับเขาก็ต้องเป็นเทพจักรวาลให้ได้เสียก่อน” ตงป๋อเสวี่ยอิงสั่นสะท้านไปถึงดวงวิญญาณอย่างมิอาจควบคุมตนเองได้ เขาปรารถนา ปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะทำให้ตนเองแกร่งกล้า

ระดับชั้นที่เก้าขั้นสุดยอด

ก็นับว่าแข็งแกร่งมากในบรรดาขั้นอลวนแล้ว แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ ก็ยังคงเป็นเพียงมดปลวกอยู่ดี อาศัยสมบัติลับก็ยังคงเป็นมดปลวก!

…………………………………………