บทที่ 685 ฆ่าตัวตาย

บัลลังก์พญาหงส์

หลี่เย่เองก็หม่นหมองและร้อนใจ จึงพูดว่า “เจ้าต้องรู้ว่าเซิ่นเอ๋อร์ไม่ใช่ลูกชายของเจ้าแล้ว ในเมื่อเจ้าผลักไสเซิ่นเอ๋อร์เอง ตอนนี้ก็ไม่ควรคิดถึงเขาอีก ไม่ว่าจดใต้ชื่อของหลิวซื่อหรือพระชายา สำหรับเจ้าแล้วต่างกันตรงไหน?” 

 

 

ต่างกันตรงไหน? ย่อมต้องแตกต่าง หลิวซื่อตายไปแล้ว แต่ถาวจวินหลันยังมีชีวิต ให้หลิวซื่อ แม้ว่าจะเป็นลูกชายของหลิวซื่อในนาม แต่แม่ลูกก็ยังใกล้ชิดกันอยู่มิใช่หรือ? แต่หากให้ถาวจวินหลันเล่า? เจียงอวี้เหลียนคิดเช่นนี้ แต่ไม่กล้าพูดออกไป 

 

 

“หม่อมฉันผิดไปแล้วเพคะ!” เจียงอวี้เหลียนร้องไห้คร่ำครวญ วอนขอหลี่เย่เอาเป็นเอาตาย “ขอองค์รัชทายาทช่วยหม่อมฉันด้วยเถิดเพคะ!”  

 

 

“เจ้ารู้หรือไม่ ทำไมข้าถึงไม่ให้เจ้าเลี้ยงเซิ่นเอ๋อร์?” หลี่เย่ถามขึ้นกะทันหัน 

 

 

เจียงอวี้เหลียนตะลึงไปทันที จากนั้นก็ก้มหน้าก้มตารับผิด “ก่อนหน้านี้หม่อมฉันเลอะเลือนทำเรื่องผิด องค์รัชทายาทจะไม่ให้อภัยหม่อมฉันเลยหรือเพคะ? รู้ผิดกลับตัวได้ ถือเป็นเรื่องดี…ตอนนี้หม่อมฉันยอมแก้ไข ขอเพียงองค์รัชทายาทช่วยคนเป็นแม่อย่างหม่อมฉันสมหวังด้วยเถิดเพคะ” 

 

 

“ตอนแรกที่เจ้าช่วยข้าก็คงวางแผนมาเป็นอย่างดีกระมัง” หลี่เย่ไม่ได้หงุดหงิด แต่พูดเรื่องนี้เรียบๆ ทว่าแฝงไว้ด้วยความหมายบางอย่าง สุดท้ายเขาก็ไม่รอให้เจียงอวี้เหลียนที่มีสีหน้าตื่นตะลึงพูดอะไร ใช้นิ้วแตะโต๊ะพูดต่อไปว่า “พ่อของเจ้าคงไม่ได้มีลูกสาวเป็นเจ้าแค่คนเดียวกระมัง? เจ้ายังมีน้องชายอีกคนมิใช่หรือ? แม้เป็นลูกนอกสมรส แต่เขาก็เป็นลูกชายของพ่อเจ้า จริงหรือไม่? ตอนนั้นเจียงฟู่ถูกเจ้าไล่ออกไปจากจวนอย่างไร ไม่ต้องให้ข้าเตือนหรอกกระมัง?” 

 

 

หลี่เย่ยิ่งพูดต่อไป สีหน้าของเจียงอวี้เหลียนก็แย่ลงเรื่อยๆ 

 

 

ถาวจวินหลันกลับไม่รู้เรื่องนี้ ยังมองหลี่เย่นิ่งอย่างตื่นตะลึง ที่จริงบุญคุณครั้งนั้นเป็นแผนอย่างนั้นหรือ? เช่นนั้นหลี่เย่รู้ตั้งแต่เมื่อไร? เรื่องเจียงฟู่นางพอจะเดาออก อย่างไรท่าทีของเจียงอวี้เหลียนยามเห็นเจียงฟู่ก็ดูพิลึก ต้องรู้ว่าหากเหมือนกับที่หลี่เย่พูดจริง เจียงอวี้เหลียนไล่เจียงฟู่ไป หากเจียงฟู่ไปฟ้องผู้อาวุโสในตระกูลหรือศาลาว่าการ เจียงอวี้เหลียนย่อมจบสิ้นเป็นแน่ 

 

 

“แล้วจะให้เจ้าเลี้ยงเซิ่นเอ๋อร์ได้อย่างไร?” หลี่เย่มองเจียงอวี้เหลียนอย่างเย็นชา ดวงตามืดมนไร้ความรู้สึก “ข้าจะยกลูกชายให้คนจิตใจเยี่ยงอสรพิษ มากด้วยแผนการ ไร้เยื่อใยแม้กระทั่งคนสายเลือดเดียวกันอย่างเจ้าเลี้ยงได้อย่างไร?” 

 

 

หลี่เย่พูดแทงใจดำ 

 

 

แต่ไม่มีใครโต้กลับคำพูดของเขา แม้แต่เจียงอวี้เหลียนก็หน้าซีดเผือด ขุ่งหมองใจ นางรู้ดีว่าเอาเซิ่นเอ๋อร์กลับมาไม่ได้แล้ว 

 

 

“พรุ่งนี้เจ้าออกจากวังหลวงไปเสียเถิด ข้าจะมอบบ้านพักให้เจ้าที่หนึ่ง ใช้ชีวิตที่เหลือของเจ้าอย่างมีความสุขเถิด” ตอนที่หลี่เย่พูดออกมา น้ำเสียงเด็ดขาดมั่นคง เป็นการสั่งให้เจียงอวี้เหลียนทราบ 

 

 

เจียงอวี้เหลียนตัวนิ่งเกร็งไปแล้ว 

 

 

หลี่เย่ยังมีธุระ จึงออกไปก่อน แล้วถาวจวินหลันก็ให้คน ‘เชิญ’ เจียงอวี้เหลียนออกไป 

 

 

ที่จริงหลี่เย่เมตตาเจียงอวี้เหลียนมากแล้ว หากทำตามความตั้งใจของไทเฮาก็ควรจะต้องเก็บลูกฆ่าแม่ แต่หลี่เย่ยังให้ชีวิตที่เหลือกับเจียงอวี้เหลียน เพียงขอให้นางไปใช้ชีวิตอยู่ในที่ห่างไกล แม้ไม่ได้สูงศักดิ์เท่านี้ แต่ก็ดีตรงที่สงบสุข อีกทั้งยังได้ใช้ชีวิตที่เหลือ 

 

 

แน่นอนว่าเจียงอวี้เหลียนไม่มีสิทธิ์เลือก เรื่องนี้จึงตัดสินใจตามนี้ 

 

 

แต่ก็น่าแปลกใจ กลางดึกวันนั้นเจียงอวี้เหลียนกลับรนหาที่ตาย นางกินยาพิษเข้าไป พอถูกพบตัวก็สลบนิ่งไปแล้ว แม้เชิญหมอหลวงมาทัน และรักษาชีวิตเอาไว้ได้ แต่นางก็ยังไม่ตื่นขึ้นมา อีกทั้งหมอหลวงยังพูดว่าเหลือเวลาอีกไม่มากแล้ว 

 

 

เพราะตอนนั้นพิษได้กระจายไปทั่วอวัยวะภายในแล้ว ไม่มีวิธีกำจัดออกทั้งหมด ทำได้แค่ปล่อยให้พิษเหล่านั้นกระจายไป หมอหลวงทำได้ก็เพียงรั้งชีวิตไว้ชั่วครู่เท่านั้น 

 

 

ถาวจวินหลันเพิ่งนอนได้ไม่นานก็รู้เรื่องนี้ หงหลัวรีบร้อนเข้ามารายงาน นางกับหลี่เย่จึงตกใจตื่น 

 

 

ไม่มีใครคิดว่าเจียงอวี้เหลียนจะทำเรื่องเช่นนี้ 

 

 

ถาวจวินหลันหันไปมองหลี่เย่โดยพลัน ถามเขาว่า “ตอนนี้พวกเราควรทำอย่างไรเพคะ?” 

 

 

หลี่เย่นิ่งเงียบไปครู่ใหญ่แล้วถึงพูดว่า “ข้าจะไปดู” พูดจบก็ลุกขึ้นไปใส่เสื้อผ้า 

 

 

ถาวจวินหลันครุ่นคิด แล้วเดินตามออกไป 

 

 

พอเข้าห้องไป ถาวจวินหลันก็รู้สึกท้องไส้แปรปรวน พะอืดพะอมขึ้นมา ด้วยเพราะในห้องเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือด บนพื้นพรมยังมีรอยเลือดที่ไม่ได้จัดการ 

 

 

พวกนี้เป็นเลือดที่เจียงอวี้เหลียนสำรอกออกมา หากไม่ใช่เพราะยาพิษร้ายแรงมาก จนเจียงอวี้เหลียนต้องสำรอกอย่างทรมาน เกรงว่าเจียงอวี้เหลียนคงตายไปอย่างเงียบเชียบแล้วเป็นแน่ 

 

 

ด้วยเหตุนี้ สถานการณ์ภายในห้องถึงได้น่าเวทนามากนัก 

 

 

ถาวจวินหลันทนกลิ่นคาวเลือดไม่ไหว หงหลัวจึงรีบประคองให้ออกไป ไม่ได้เข้าไปดูใกล้ๆ ว่าตอนนี้เจียงอวี้เหลียนเป็นอย่างไร 

 

 

หลี่เย่เข้าไปดู ไม่ได้พูดอะไรก็ถอยออกมา จากนั้นก็เรียกซังจือนางกำนัลข้างกายเจียงอวี้เหลียนมาถามไถ่ 

 

 

ซังจือตาแดงระเรื่อ เห็นชัดว่ากำลังเสียใจกับเจ้านายตนเอง ก้มหน้าก้มตาชวนให้คนเห็นรู้สึกเศร้าโศก 

 

 

“เจ้าเป็นคนพบหรือ?” หลี่เย่ถามตรงประเด็นโดยไม่รู้สึกรู้สา ถึงน้ำเสียงนับว่าอ่อนโยน แต่ดวงตาไม่ได้อ่อนโยนเลยแม้แต่น้อย 

 

 

ซังจือตอบเสียงเบา “บ่าวเป็นคนพบเพคะ บ่าวเฝ้าเวรอยู่ด้านนอก ได้ยินเสียงดังข้างในจึงรีบเข้ามาดู นายหญิงก็เป็นเช่นนี้ไปแล้ว ตอนนั้นนายหญิงสำรอกเป็นเลือดอึกใหญ่ พูดอะไรไม่ได้อีก พอหมอหลวงมาถึงที่นี่ นายหญิงก็สลบไป ยังไม่ตื่นมาเลยเพคะ” 

 

 

“นางกินยาพิษเข้าไปเองหรือ?” หลี่เย่ถามอีก “เจ้ารู้หรือไม่ว่ายาพิษจากที่ใด?” 

 

 

ซังจือเอาแต่ส่ายหัวโทษตัวเอง “บ่าวไม่ทราบว่ายาพิษจากที่ใด ถ้าวันนี้นายหญิงบอกให้บ่าวไปเฝ้าเวรข้างนอก บ่าวคงต้องเสียใจมากกว่านี้ บางที…” 

 

 

“นางอยากตายเอง ใครจะไปห้ามได้?” คำพูดของหลี่เย่ดูแล้งน้ำใจไปหน่อย แต่ก็เป็นความจริง สุดท้ายเขาก็ลุกขึ้นมา “ดูแลเจ้านายของเจ้าให้ดีเถิด” พูดจบก็ตั้งใจจะเดินออกไป 

 

 

ซังจือกลับสะอึกสะอื้นคุกเข่า โขกหัวขอร้อง “นายหญิงคิดถึงนายน้อยมาโดยตลอด ขอองค์รัชทายาทพานายน้อยกลับมาเถิดเพคะ อย่างน้อยให้นายหญิงได้เห็นหน้าสักครั้ง สมปรารถนาที่ตั้งใจไว้ด้วยเถิดเพคะ” 

 

 

ถาวจวินหลันถอนหายใจ รู้สึกห่อเ**่ยวเล็กน้อย ถึงเจียงอวี้เหลียนน่ารังเกียจอย่างไร แต่ตอนนี้เจียงอวี้เหลียนใช้วิธีลัดน่าเวทนา จนนางแอบเสียใจลึกๆ  

 

 

เมื่อวานนางกับหลี่เย่ทำเกินไปอย่างนั้นหรือ? 

 

 

นางคิดว่าหลี่เย่จะรับปากเรื่องนี้ แต่คิดไม่ถึงว่าหลี่เย่บอกปฏิเสธ “เซิ่นเอ๋อร์ยังเด็ก มาเห็นภาพนี้ก็ตกใจกลัวเปล่าๆ อีกอย่างนางก็สลบไม่ได้สติ พามาให้เห็นจะมีประโยชน์อะไร? สู้ไม่เจอกันแต่แรก เซิ่นเอ๋อร์ก็ไม่ต้องคำนึงถึง” 

 

 

พูดตามจริง ตอนนี้เซิ่นเอ๋อร์จำเจียงอวี้เหลียนไม่ค่อยได้แล้ว ก็เหมือนอย่างที่หลี่เย่พูด ไม่สู้ให้เซิ่นเอ๋อร์ลืมไปเลยดีกว่า อีกทั้งตอนนี้เจียงอวี้เหลียนก็มีสภาพแบบนี้ ไม่สมควรให้เด็กเล็กอย่างเซิ่นเอ๋อร์มาเห็น ไม่อย่างนั้นต้องตกใจร้องไห้เป็นแน่ 

 

 

หลี่เย่ทำกับเจียงอวี้เหลียนเช่นนี้อาจจะดูโหดร้าย แต่ก็เพราะหวังดีกับเซิ่นเอ๋อร์ 

 

 

แน่นอนว่าถาวจวินหลันเข้าใจความคิดของหลี่เย่ แต่คนนอกอาจไม่เข้าใจ คิดว่าหลี่เย่ใจแคบเลือดเย็น 

 

 

เรื่องนี้ย่อมไม่อาจปล่อยไปเช่นนี้ได้ แม้บอกว่าเจียงอวี้เหลียนอยากฆ่าตัวตายเอง แต่อย่างไรก็ต้องพยายามช่วยให้ถึงที่สุด อีกทั้งต้องไปสืบที่มาของยาพิษให้ชัดเจน ในวังไม่เหมือนกับข้างนอก ยาพิษไม่ได้หามาง่ายๆ หากเจียงอวี้เหลียนหามาได้ ไม่ได้หมายความว่าคนอื่นก็หามาได้หรือ? หรือคนอื่นเอายาพิษไปแล้วจะทำเช่นไร? 

 

 

ดังนั้นพอออกมาจากเรือนของเจียงอวี้เหลียน หลี่เย่ก็เรียกหมอหลวงมาถาม 

 

 

หมอหลวงตอบว่า “ดูแล้วเหมือนเหล้าพิษ แต่ก็ไม่กล้ามั่นใจขนาดนั้นพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

ปกติเหล้าพิษมีใช้แค่ในวังหลวง สามารถพูดได้ว่าใช้ฆ่าปิดปาก เป็นวิธีที่เร็วที่สุด แต่เจียงอวี้เหลียนยังไม่ตาย แล้วยังทรมานอยู่นาน นี่จะเป็นเหล้าพิษได้อย่างไร? 

 

 

ถาวจวินหลันกับหลี่เย่เห็นตรงกัน ก็แสดงสีหน้าสงสัยออกมาเช่นเดียวกัน 

 

 

หมอหลวงเห็นทั้งสองคนสงสัย จึงรีบพูดเสียงเบาว่า “ใช้เหล้าพิษในปริมาณน้อย ผลที่เห็นย่อมช้าพ่ะย่ะค่ะ เจียงเหลียงตี้น่าจะดื่มไปไม่เยอะเท่าไร นางถึงเป็นเช่นนี้” 

 

 

“เช่นนั้นเหล้าพิษเป็นของวังหลวงอย่างนั้นหรือ” ถาวจวินหลันหน้าเคร่งขรึม “ข้าจำได้ว่ากรมหมอหลวงเป็นคนเก็บรักษาเหล้าพิษมิใช่หรือ?” 

 

 

เรื่องลามมาถึงกรมหมอหลวง หมอหลวงย่อมเคร่งเครียดและใส่ใจเป็นพิเศษ “เป็นเช่นนั้นจริงพ่ะย่ะค่ะ แต่ปกติไม่มียานี้เก็บสำรอง ต้องผสมขึ้นใหม่ในยามที่จำเป็น ดังนั้น…“ 

 

 

“เช่นนั้นก็แปลกแล้ว” ถาวจวินหลันขมวดคิ้วมองหลี่เย่ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ แล้วเหล้าพิษนั่นมาจากที่ใดกัน?” 

 

 

หลี่เย่มองท้องฟ้าแวบหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้พูดต่อไป เพียงแค่เร่งถาวจวินหลัน “เจ้ากลับไปพักเถิด เรื่องนี้ข้าสืบเอง” พูดตามจริง ถาวจวินหลันควรไปสืบเรื่องนี้เอง แต่ตอนนี้ถาวจวินหลันตั้งครรภ์ ย่อมลงแรงทำเรื่องเหน็ดเหนื่อยไม่ได้ หลี่เย่จึงเหมารวมเรื่องนี้มาทำเอง 

 

 

ถาวจวินหลันเข้าใจความคิดของหลี่เย่ ก็รู้สึกอบอุ่นใจ ไม่ได้พูดโต้ตอบอะไร เพียงแค่รับคำและกลับไปพักผ่อน  

 

 

แต่ไม่ว่านางนอนพลิกตัวอย่างไรก็นอนไม่หลับ แม้นางไม่เห็นสภาพของเจียงอวี้เหลียน แต่พอนางหลับตาในใจก็พาลคิดถึงภาพนั้น บวกกับกลิ่นเลือดคละคลุ้งโชยมา และรอยเลือดน่าตกใจ 

 

 

จิตใจขุ่นมัวไม่สงบนางจึงเรียกหงหลัวเข้ามาพูดคุยกับตน 

 

 

“เจ้าว่าพวกเราพูดเกินไปหน่อยหรือไม่” ถาวจวินหลันถอนหายใจ เริ่มคิดมากเล็กน้อย “เจ้านายของวังตวนเปิ่นน้อยลงอีกคนแล้ว แต่เดิมก็น้อยอยู่แล้ว ตอนนี้ไม่รู้ว่าคนอื่นจะเอาไปพูดอย่างไรอีก” 

 

 

ที่โชคดีก็คือตอนนี้ฮองเฮาไม่มีเวลามาสอดเรื่องวังตวนเปิ่น มิเช่นนั้นแล้วนี่ไม่ใช่โอกาสอันดีที่จะยัดเยียดคนเข้ามาในวังตวนเปิ่นอีกคนหรือ? 

 

 

ไม่ต้องพูดถึงฮองเฮา แม้แต่คนอื่นในวังก็พากันพูดคุยเรื่องนี้ ถึงเวลาฮ่องเต้คิดจะยัดคนเข้ามาเพิ่ม นางคงปฏิเสธไม่ได้อีกแล้ว