ตอนที่ 1076 เปลวไฟของ “แมลง” โดย Ink Stone_Fantasy

สถานที่ทดสอบระเบิดนั้นอยู่ในหุบเขาแห่งหนึ่งในเทือกเขาสิ้นวิถีที่มีสภาพภูมิประเทศค่อนข้างราบเรียบ

มันถูกล้อมรอบด้วยยอดเขา ไม่มีผู้คน ถ้าไม่เดินเข้ามาทางอุโมงค์หรือลงมาจากบนท้องฟ้าก็ยากที่จะเข้ามายังที่นี่ได้ เรียกได้ว่าที่นี่เป็นที่ลับในภูเขา เหมาะแก่การที่จะใช้ทำเรื่องที่ไม่ต้องการให้คนอื่นรู้อย่างมาก

นี่ไม่ได้เป็นเพราะว่าระเบิดนาปาล์มนั้นเป็นความลับสุดยอดแต่อย่างใด หากแต่เป็นเพราะว่าในกลุ่มที่ผู้ชมที่มาชมการทดสอบครั้งนี้มีผู้ชมพิเศษอยู่ด้วย

‘อา….อากาศที่นี่ดีจริงๆ ข้าได้กลิ่นดอกไม้กับกลิ่นดินที่อยู่ในนี้ด้วย’ เซลีนมุดออกมาจากซอกผนัง ก่อนจะสั้นหนวดทั้งตัว ‘ครั้งล่าสุดที่ได้เห็นท้องฟ้าสีครามก็น่าจะประมาณ 200 กว่าปีก่อนโน้น’

เลทนินตัวสั่นขึ้นมา เขามองไปทางโรแลนด์ สีหน้าดูหวาดกลัวทำอะไรไม่ถูก

ไม่ว่าใครถ้าได้มาเห็นสัตว์ประหลาดก้อนเนื้อขนาดยักษ์โผล่ออกมาจากใต้ดินก็คงรู้สึกหวาดกลัวทั้งนั้น ถ้าตอนนี้อยู่ในภาพยนตร์ล่ะก็ ฉากปรากฏตัวของสัตว์ประหลาดสุดคลาสสิคแบบนี้จะต้องมีดนตรีประกอบดังขึ้นมาแน่นอน

ยิ่งไปกว่านั้นในหัวของเลทนินยังมีเสียงพูดแปลกๆ ดังขึ้นมาด้วย

เรียกได้ว่าการที่เขาไม่ตกใจกลัวจนลงไปนั่งกองกับพื้นก็คือว่าเป็นเจ้าหน้าที่ของสำนักบริหารที่ยอดเยี่ยมคนหนึ่งแล้ว

นี่คือเหตุผลที่โรแลนด์เลือกมาทำการทดสอบอาวุธในหุบเขา

“ไม่ต้องกลัว พวกนางเคยเป็นมนุษย์มาก่อน แต่เป็นเพราะปีศาจถึงได้ทำให้พวกนางกลายเป็นแบบนี้” เขาตบไปบนบ่าของนักเล่นแร่แปรธาตุ “เสียงที่เจ้าได้ยินก็เป็นการพูดคุยผ่านทางจิตสำนึกของพวกนาง ถ้าอยากจะพูดคุยกับพวกนาง เจ้าจะพูดออกไปตรงๆ หรือพูดอยู่ในใจก็ได้ทั้งนั้น เหมือนแบบนี้….”

เขาหันไปทางเซลีน “ด้วยความสามารถในการเคลื่อนไหวของร่างต้นแบบ ถ้าอยากจะออกมาดูท้องฟ้าก็ไม่ใช่เรื่องยากใช่ไหมล่ะ? ขอเพียงอย่าถูกแสงอาทิตย์ส่องตรงๆ ก็พอ”

‘นั่นเป็นเพราะนางมักจะขังตัวเองอยู่ในห้องทดลองเพคะ’ พาซาร์มุดตามออกมาจากใต้ดิน ‘ช่วงนี้พวกแม่มดอาญาสิทธิ์มักจะเล่าสิ่งที่ได้เห็นในโลกแห่งความฝันให้หม่อมฉันฟังบ่อยๆ พวกนางบอกว่าที่นั่นมีคำศัพท์ที่เอาไว้เรียกคนแบบเซลีน เหมือนจะเรียกว่า…เนิร์ดใช่ไหมเพคะ?”

‘ข้าจำได้ว่ามันเป็นคำสามพยางไม่ใช่เหรอ?’ คนที่โผล่ขึ้นมาเป็นคนสุดท้ายคืออาลิเธียที่มาปีศาจระดับสูงมาด้วย

‘เจ้าจะให้ข้าพูดจริงๆ เหรอ?’

‘ก็ได้…’

โรแลนด์ยักคิ้วไปทางเลทนิน “เป็นยังไง พวกนางไม่ได้น่ากลัวเหมือนที่คิดใช่ไหมล่ะ?”

“ชะ ใช่พ่ะย่ะค่ะ…” อีกฝ่ายฝืนยิ้ม

“จะว่าไป ถึงแม้พวกนางจะสูญเสียร่างกายที่เป็นมนุษย์ไป แต่พวกนางกลับได้รับชีวิตที่เหมือนจะเป็นอมตะมา ขณะเดียวกันร่างกายใหม่ของพวกนางยังทนความร้อนและก่อนกัดกร่อนได้ดีมากด้วย นี่หมายความว่าพวกนางสามารถสัมผัสกับสารเคมีหลายๆ ตัวได้โดยตรง หนวดจำนวนมากของพวกนางเองก็มีความรู้สึกที่ไวอย่างมาก ถึงแม้จะทำควบคุมการทดลองหลายๆ ก็ไม่เป็นปัญหา นั่นหมายความว่าร่างกายนี้เป็นร่างที่เหมาะสมที่สุดในการทำวิจัยทางเคมีแล้ว ว่าไง เจ้าอยากจะรู้จักมันมากกว่านี้ไหม?” โรแลนด์ยักไหล่

“อึก” ลูกกระเดือกของเลทนินขยับขึ้นมา ผ่านไปครู่หนึ่งเขาจึงพูดว่า “กระหม่อม…ว่าอย่าเพิ่งเลยพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”

ถึงแม้ปากจะพูดเช่นนี้ แต่ในสายตาที่เขามองดูแม่มดระดับสูงของทาคิลาก็ไม่ได้มีความหวาดกลัวเหมือนอย่างในตอนแรกเท่าไร หากแต่มีความอยากรู้อยากเห็นเพิ่มขึ้นมา

โรแลนด์ส่ายหัวยิ้มๆ ก่อนจะเดินไปยังหน้าปีศาจระดับสูง

ถึงแม้อีกฝ่ายจะไม่มีขาทั้งสองข้าง แต่มันก็ยังถูกมัดเอาไว้อย่างแน่นหนา

เพราะว่านี่ยังคงเป็นร่างกายของทหารอาญาสิทธิ์

เขาย่อเข่าลงไปสบตากับอีกฝ่าย “ข้าจำได้ว่าเจ้าชื่อคาบรา…ดาบีใช่ไหม?”

เมื่อไม่มีการเชื่อมต่อทางวิญญาณ ต่อให้อยู่ในร่างกายของมนุษย์ ปีศาจก็ไม่สามารถความหมายในคำพูดได้ มันใช้สายตาในการแสดงความคิดของตัวเองออกมา ในสายตาของมันมีทั้งความแค้นและความเป็นศัตรู ถึงแม้จะพูดคุยกันไม่รู้เรื่องแต่ก็ยังเข้าใจความคิดของอีกฝ่ายได้

โรแลนด์พูดต่ออย่างไม่ใส่ใจ “นี่คือโชว์ที่เตรียมเอาไว้ให้แกโดยเฉพาะ พวกแกเคยทำลายอาณาจักรมนุษย์ในดินแดนรุ่งอรุณไปกว่าครึ่ง ตอนนี้ถึงเวลาที่พวกแกต้องชดใช้แล้ว ต่อไปแกคอยดูให้ดีๆ ล่ะ”

จากนั้นเขาก็พยักหน้าไปทางเลทนิน “เตรียมทดสอบได้”

เลทนินมองดูปีศาจ อาจจะรับคำโรแลนด์โดยไม่ถามอะไรอีก “พ่ะย่ะค่ะ…ฝ่าบาท!”

หลังทุกอย่างเตรียมพร้อม ทุกคนก็เข้าไปหลบในอุโมงค์ค์ เหลือเพียงปีศาจที่ยังนั่งพิงอยู่ตรงผนังถ้ำ

“นับถอยหลัง 10, 9, 8….1 จุดระเบิด!”

ทหารที่รับผิดชอบเปิดตัวจุดระเบิด

พริบตานั้นเอง ตรงกลางหุบเขาพลันมีเปลวไฟสีแดงพวยพุ่งขึ้นมา มันไม่เหมือนกับระเบิดจำนวนมากที่จุดขึ้นมาในตอนที่แสดงการฝึกซ้อมปืนใหญ่ก่อนหน้านี้ เปลวไฟครั้งนี้ไม่ถือว่าสว่างมากนัก ดูแล้วเหมือนจะออกสลัวๆ นิดหน่อยด้วยซ้ำ บริเวณรอบๆ เปลวไฟถูกควันไฟสีดำจำนวนมากห่อหุ้มเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นระดับเสียงหรือความสั่นสะเทือนก็ล้วนแต่ไม่อาจสู้ระเบิดได้

แต่จากนั้นไม่นานทุกคนก็รับรู้ได้ถึงความพิเศษของมัน

เมื่อมองผ่านรูที่ใช้สังเกตการณ์ออกไป ทุกคนต่างมองเห็นได้อย่างชัดเจน ควันไฟสีดำที่พวยพุ่งขึ้นมาไม่จางหายไป หากแต่ค่อยๆ ลอยสูงขึ้นไปเหมือนกับผ้าทึบแสง แทนที่จะบอกว่ามันเป็นฝุ่นควัน ควรจะว่ามันเป็นเหมือนลาวาที่ติดไฟมากกว่า กระแสอากาศที่ร้อนแรงผลักเชื้อเพลิงให้ลอยสูงขึ้นไป ก่อนจะแผ่กระจายออกมาเหมือนร่ม

ในตอนที่ร่มกางออกมาจนหมด แสงไฟสีแดงที่ส่องสว่างไม่เพียงแต่จะไม่หายไป แต่มันกลับสว่างโชติช่วงขึ้นมายิ่งกว่าเดิม แถมยังทำให้เชื้อเพลงที่ลอยตกลงมากลายเป็นเหมือนน้ำตกแห่งเปลวเพลิง!

โรแลนด์รู้ว่านั้นคือผงอลูมีเนียมและไอรอนออกไซด์ที่อยู่ในชั้นช่วยเผาไหม้ถูกเผาไหม้ขึ้นมา

พลังงานความร้อนที่ถูกปล่อยออกมาจากขั้นตอนนี้ทำให้เกิดการระเบิดต่อเนื่องครั้งที่สอง ขั้นตอนนี้กินเวลานานหลายวินาที

ฝนเพลิงตกกระจายลงมา พื้นที่ที่ฝนเพลิงตกลงมามีเปลวไฟพวยพุ่งขึ้นมาใหม่ทันที ถึงแม้จะทิ้งระยะห่างเอาไว้พอสมควรแล้ว แต่เขาก็ยังรู้สึกได้ถึงลมร้อนที่โถมเข้ามา

สุดท้ายแรงโน้มถ่วงก็ทำให้ควันไฟกับเปลวไฟแยกออกจากกัน โดยควันไฟนั้นสลายหายไปในอากาศ ส่วนเปลวไฟนั้นลุกไหม้อยู่เต็มพื้น เดิมตรงกลางหุบเขานั้นมีทั้งต้นไม้และลำธาร แต่ตอนนี้เหลือเพียงแค่ทะเลเพลิงที่ส่งเสียงดังเปรี๊ยะปร๊ะ ส่วนสัตว์ทดลองที่เอาไปวางไว้ล่วงหน้า โรแลนด์คิดว่าคงไม่ต้องไปดูแล้วว่าสภาพเป็นอย่างไร

ส่วนอีกด้านหนึ่งของอุโมงค์ อาลิเธียม้วนหนวดหลักขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว

ถ้าในยุคสมัยทาคิลามีอาวุธแบบนี้ก็คงจะดี!

เป็นเพราะหมอกแดงที่ทำให้บริเวณรอบๆ หอสังเกตการณ์ของพวกปีศาจกลายเป็นที่โล่งๆ อาศัยเพียงแค่ฟืนไม่กี่ท่อนนั้นไม่มีทางที่จะขจัดออกแดงออกไปได้เลย ถึงแม้แม่มดจะคิดหาวิธีในการสร้างแหล่งกำเนิดไฟที่มีอุณหภูมิสูงขึ้นมา แต่ถ้าไม่มีพลังเวทมนตร์มันก็แทบจะไม่มีประโยชน์อะไรเลย แต่อาวุธชนิดนี้กลับทำให้เธอมองเห็นความหวังที่จะกำจัดหอสังเกตการณ์ของพวกปีศาจได้อย่างรวดเร็ว ขอเพียงขนมันเข้าไปได้ พวกเธอก็จะเปิดทางให้กับกองทัพที่ตามมาข้างหลังได้

ส่วนเพื่อนร่วมรบของเธอก็ไม่จำเป็นต้องคอยถ่วงเวลาให้กับกองทัพของคนธรรมดา แล้วตายด้วยน้ำมือของปีศาจกับหมอกแดงอีก

เธอเหมือนจะมองเห็นภาพหอเก็บหมอกแดงที่ถูกเปลวไฟปกคลุมจนกลายเป็นเสาเพลิงที่ลุกโชน

การสื่อสารทางวิญญาณที่ได้ยินแต่เฉพาะร่างต้นแบบวิ่งผ่านเข้าไปในหัวแม่มดระดับสูงทั้งสามคนอย่างรวดเร็ว พวกเธอไม่จำเป็นต้องพูดอะไรก็สามารถเข้าใจอารมณ์และความคิดของอีกฝ่ายได้ทันที

ในระหว่างที่พูดคุยกัน อาลิเธียแอบเหลือบมองดูผู้ชายคนธรรมดาคนนั้น ก่อนจะแอบทอดถอนใจออกมา…น่าเสียดายจริงๆ ที่เขาไม่ได้เกิดในยุคสมัยเมื่อ 400 ปีก่อน

เปลวไฟยังคงลุกไหม้ต่อเนื่องไปอีก 4 ชั่วโมงกว่าจุดมอดดับลง

ภายในหุบเขาหลงเหลือแต่เพียงเศษขี้เถ้า ไม่มีอะไรให้ไฟแผดเผาได้อีก

โรแลนด์เดินออกมาจากอุโมงค์ เขารู้สึกเหมือนตอนนี้ตัวเองกำลังอยู่ในฤดูร้อนอย่างไรอย่างนั้น อากาศร้อนจำนวนมหาศาลกองรวมกันอยู่ตรงนี้ ทำเอาหุบเขากลายเป็นเหมือนพื้นที่เรือนกระจก

เขามองไปยังปีศาจที่นั่งพิงอยู่ตรงผนังถ้ำ เนื่องจากมีการจัดการเก็บกวาดตั้งแต่แรกแล้ว เปลวไฟจึงไม่ได้ลามมาจนถึงตัวปีศาจ อีกทั้งร่างกายของทหารอาญาสิทธิ์ก็ไม่สามารถรับรู้ถึงคลื่นความร้อนได้ ตามหลักแล้วมันจึงไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร

แต่สายตาของอีกฝ่ายกลับเอาแต่จ้องมองไปยังพื้นที่ที่ลุกไหม้จนกลายเป็นเถ้าถ่าย สีหน้าดูสับสน

นี่คงเป็นสิ่งที่พวกพาซาร์อยากจะเห็น

ทางทาคิลาไม่เคยคิดว่าอีกฝ่ายจะยอมอ่อนข้อหรือยอมแพ้

พวกเธอเพียงแค่ต้องการให้อีกฝ่ายรู้ว่า

ตอนนี้แมลงที่พวกมันเคยดูถูกเอาไว้ มีพลังที่พร้อมจะบดขยี้พวกมันแล้ว

…………………………………………………………