บทที่ 2329 เขายังเดินไม่ได้จริงๆ.... / บทที่ 2330 เจ้าบาดเจ็บสาหัสยิ่ง!

ลำนำบุปผาพิษ

บทที่ 2329 เขายังเดินไม่ได้จริงๆ….

“ราชันย์มาร ข้าคิดว่าท่านควรไปดูท่านแม่ข้าหน่อยนะ แม้ว่าจะเป็นการมองนางอยู่ไกลๆ สักแวบก็ยังดี ท่านรู้ไหม บางครั้งสตรีก็ปากไม่ตรงกับใจ ปากบอกว่าไม่ แต่ในใจมักจะต้องการ…”

ตี้ฝูอีเท้าคางมองเขาอยู่ตรงนั้น

“นี่ช่างเป็นจักรพรรดิไม่กังวลแต่ขันทีกลับร้อนรนโดยแท้ ข้ายังไม่กังวลเลยแล้วเจ้าจะร้อนรนไปทำไม? เจ้าเป็นเฒ่าจันทรามาเกิดหรือไง? บอกมาตามตรงซะ เปิ่นจวินสงสัยในจุดประสงค์ของเจ้ายิ่ง…”

หนูน้อยนิ่งไปครู่หนึ่ง

“จุดประสงค์ของข้า…อืม บางทีข้าคงอยากจะรับช่วงต่อบัลลังก์ราชันย์มารของท่านกระมัง? ถ้าท่านคืนดีกับนาง ตำแหน่งท่านชายของข้าถึงจะมั่นคงขึ้นอีกหน่อยใช่ไหมล่ะ?”

ตี้ฝูอีเงียบไป

เขายิ้มแล้ว ลูบศีรษะทุยของเขา

“เจ้าก็พูดไปแล้วนี้ เปิ่นจวินให้เจ้าเป็นท่านชายน้อยของอาณาจักรมารเพื่อเป็นตัวล่อเป้า ส่วนนางก็รักถนอมเจ้าถึงเพียงนั้น หักใจใช้เจ้าเป็นตัวล่อเป้าไม่ลงหรอก หากว่าข้าคืนดีกับนาง ตำแหน่งท่านชายน้อยของเจ้าก็อาจจะไม่ได้เป็นแล้ว”

หนูน้อยนิ่งงันไป

ในที่สุดก็ตอกหน้าไอ้เด็กแสบนี่ให้พูดไม่ออกได้แล้ว ตี้ฝูอีเสตามองนาฬิกาทรายตรงมุมห้อง จะยามจื่อแล้ว ใกล้ได้เวลาแล้ว เขาควรออกเดินทางได้แล้ว

เขายื่นมือไปร่ายกางเขตแดนไว้รอบตัวหนูน้อย

“เจ้าเป็นเด็กดีฟังคำข้านะ อย่าก่อเรื่อง เปิ่นจวินจะออกไปจัดการธุระสักหน่อย”

พลันหันหลังก้าวออกไป

หนูน้อยมองแผ่นหลังเขาหายลับไป ในที่สุดก็ถอนหายใจเฮือกหนึ่ง

ที่แท้ท่านพ่อของเขาก็รอเวลาอยู่

เขานึกว่าเขาจะไม่ไปแล้วจริงๆ เสียอีก…

ได้ยินเสียงตี้ฝูอีสั่งการคนสนิทอยู่นอกประตู

“อารักขาตำหนักบรรทมของเปิ่นจวินให้ดี ถ้ามีแมลงวันสักตัวบินเข้าไปหรือหรือบินออกมาได้เปิ่นจวินจะถามหาความรับผิดชอบจากพวกเจ้า!”

องครักษ์คนสนิทย่อมเปล่งเสียงตอบรับ

หนูน้อยยิ้มขมขื่น ท่านพ่อของเขาคนนี้เกรงว่าเขาจะฉวยโอกาสหนีไปกระมัง?

อันที่จริงแล้ว เขายังเดินไม่ได้จริงๆ….

เขายกมือเท้าน้อยๆ ขึ้นมาดู ถอนหายใจอีกครั้งอย่างอดไม่อยู่ พ่นออกมาสองคำ

“บัดซบ!”

เขาไม่นึกเลยว่าพอมาถึงโลกนี้แล้วจะกลายเป็นทารกน้อยเช่นนี้…

ตอนนี้อย่าว่าแต่เขาจะหลบหนีเลย ต่อให้ลุกขึ้นมาเดินสักสองก้าวก็ลำบากไปหมด…

ทำได้เพียงจับเจ่าอยู่ที่เหมือนเด็กมนุษย์เท่านั้น

….

จันทร์เสี้ยวดุจตะขอ แขวนอยู่ ณ ขอบฟ้า

ภายในป่าไผ่ที่เหี่ยวแห้งแปลกประหลาด กู้ซีจิ่วนอนเอนกายอยู่บนแคร่ไม้ไผ่ตัวหนึ่ง มองดูจันทร์เสี้ยวบนฟากฟ้าคล้ายว่าจะเหม่อลอยอยู่

เธอไม่ใช่คนที่อารมณ์อ่อนไหวไปตามฤดูกาล ประเภทที่ได้รับความกระเทือนทางจิตใจก็จะเงยหน้าหลั่งน้ำตากับสายลมเหมือนแม่นางหลิน เหตุผลที่เธอมานอนนิ่งๆ อยู่ที่นี่ก็เป็นเพราะเธอขยับตัวไม่ได้ชั่วคราว

ร่างกายเสมือนถูกแช่แข็งไว้ นอกจากลูกตาแล้ว ส่วนอื่นจะขยับเขยื้อนสักชุ่นก็ลำบากไปหมด

กระบี่ที่องค์หญิงย่วนย่วนแทงชายโครงเธอแผลนั้น ปากแผลไม่นับว่าลึกจริงๆ เพียงแต่เจ็บปวดอย่างยิ่ง

ถ้าอยู่ในสถานการณ์ตามปกติ หลังจากทาพิษร้ายแรงถึงชีวิตลงบนอาวุธแล้ว ถึงแม้พอแทงลงบนร่างคนจริงๆ แล้วจะทำให้คนถูกพิษจนตายได้ แต่ก็ไม่ได้เจ็บปวดมากนัก อย่างมากก็คงทรมานจากการชาหรือไม่ก็คันคะเยอเท่านั้น เลือดที่ไหลออกมาก็จะเป็นสีดำไม่ก็สีเขียวคล้ำ

แต่พอเธอตรวจดูแล้ว ไม่เพียงแต่เจ็บปวดอย่างยิ่งเท่านั้น เลือดที่ไหลออกมาก็มีสีแดงสดตามปกติ แถมหลังจากบาดเจ็บก็ยังยืนหยัดได้นานถึงเพียงนั้น สามารถวิ่งได้ต่อสู้ได้…

ด้วยเหตุนี้ในยามนั้นเธอจึงคิดว่าบาดแผลนี้ไม่น่าจะเป็นอะไร ต่อให้อีกฝ่ายเคลือบพิษไว้บนอาวุธก็คงเป็นประเภทที่ทำให้ความเจ็บปวดของคนทวีขึ้นหลายเท่า ไม่ใช่ประเภทที่ออกฤทธิ์ถึงตาย

ขอเพียงเธอมีเวลาว่าง ทำแผลใส่ยาหน่อยก็คงโอเคแล้ว

กลับคาดไม่ถึงเลย…

ตอนนั้นเธอถอยตรงเข้าสู่ประตูพิศวงของชายชุดไผ่ ร่วงหล่นสู่สถานที่ที่มีมวลหมู่ผกาเบ่งบาน

หลังจากเธอยืนมั่นคงแล้ว ยังมองเห็นประตูสีเขียวที่แสนพิสดารบานนั้นอยู่เลย ถึงขั้นที่ได้ยินเสียงจากด้านนอกประตูด้วยซ้ำ

เธอได้ยินการปะทะกันของชายชุดไผ่กับตี้ฝูอี จากนั้นก็มองเห็นชายชุดไผ่กระโจนผ่านประตูบานนั้นเข้ามา

————————————————————————————-

บทที่ 2330 เจ้าบาดเจ็บสาหัสยิ่ง!

เธอได้ยินการปะทะกันของชายชุดไผ่กับตี้ฝูอี จากนั้นก็มองเห็นชายชุดไผ่กระโจนผ่านประตูบานนั้นเข้ามา จากนั้นก็ยืนอยู่ข้างกายเธอ ตะโกนออกไปนอกประตูอย่างคล้ายจะยั่วยุ

“ไม่กล้าตามมารึ? ที่แท้ท่านราชันย์มารก็ต้องการเพียงลูกไม่ต้องการแม่นี่เอง…”

ตี้ฝูอีตอบกลับมารวดเร็วยิ่ง

“ในเมื่อนางไม่ต้องการรั้งอยู่ข้างกายเปิ่นจวิน ซ้ำยังตอบรับเงื่อนไขของเจ้าขอให้เจ้าช่วยเหลือแล้วมิใช่หรือ? พวกเจ้าเจรจาตกลงกันเองแล้ว เปิ่นจวินก็มิจำเป็นต้องติดตามไป”

น้ำเสียงสงบราบเรียบยิ่ง

หัวใจกู้ซีจิ่วคล้ายถูกคมมีดกรีดแทง ถึงแม้จะคาดการณ์ไว้แล้ว แต่พอได้ยินวาจาไร้เยื่อใยเช่นนี้ก็ยังคงปวดใจอยู่ดี…

ชายชุดไผ่มองดวงหน้าเฉิดฉันของนางแวบหนึ่ง จากนั้นก็หัวเราะใส่ด้านนอก

“ฮ้า ช่างสมกับท่านราชันย์มาร ไร้เยื่อใยโดยแท้!”

พลันสะบัดแขนเสื้อ แสงสีเขียววาบออกมา ประตูบานนั้นเลือนหายไปแล้ว

“เห็นเขาไร้เยื่อใยต่อเจ้าเช่นนี้เจ้าคงปวดใจยิ่งนักกระมัง?”

คุณชายไผ่ขจีถามเธอ

กู้ซีจิ่วไม่อยากเป็นตัวตลกของเขา ตอบไปอย่างเฉยเมย

“คาดการณ์ไว้อยู่แล้ว ไม่ปวดใจหรอก”

คุณชายไผ่ขจีพิศดูสีหน้าเธออย่างละเอียด

“เจ้าบาดเจ็บสาหัสยิ่ง!”

สีหน้านางซีดเผือดปานผีตัวหนึ่ง

กู้ซีจิ่วยกมุมปาก

“หากไม่บาดเจ็บสาหัสไหนเลยจะขอความช่วยเหลือจากท่านผู้สูงศักดิ์?”

เมื่อครู่ตอนที่เธอยื้อยุดอยู่ตรงนั้นกับตี้ฝูอี คุณชายไผ่ขจีผู้นี้ส่งกระแสเสียงหาเธออยู่เนืองๆ บอกว่าเขาช่วยเธอได้ แต่ต้องตอบรับเงื่อนไขว่าจะอยู่กับเขาสิบวัน สอนวิชาแปลงโฉมให้เขา

แรกเริ่มกู้ซีจิ่วไม่คิดจะแยแสเขา ปล่อยให้กระแสเสียงเขาก้องอยู่ในสมองดุจเสียงนกเสียงกาที่แว่วผ่านหู

จนกระทั่งยามนั้น เธอตกอยู่ในความโกรธเคือง ตอบรับเงื่อนไขของคุณชายไผ่ขจีไปด้วยความหัวร้อนชั่วขณะ ถึงได้เกิดฉากก่อนหน้านั้นขึ้น

ตอนที่เธอย่างเท้าเข้าประตูมา ในในยังคงสำนึกเสียใจอยู่นิดๆ แต่พอได้ยินประโยคสุดท้ายนั้นของตี้ฝูอี เธอก็ไม่เสียใจแล้ว!

หากว่ายังมีความเสียใจหลงเหลืออยู่เล็กน้อย นั่นก็คือความเสียใจที่แย่งตัวเด็กน้อยกลับมาไม่ได้…

เด็กคนนั้นไม่ใช่ลูกของเขา หากวันใดเขาทราบความจริงขึ้นมา อาจจะโยนเจ้าหนูทิ้งเหมือนทิ้งหมาทิ้งแมวก็ได้…

ถึงแม้เขาจะตรวจสอบความเป็นพ่อลูกไม่ได้ ไม่ทราบความจริงไปตลอดกาล ข้างกายเขาก็ยังมีองค์หญิงย่วนย่วนอยู่ เด็กสาวนางนั้นชั่วร้ายปานนี้ หากว่าแต่งกับตี้ฝูอี กลายเป็นแม่เลี้ยงของเจ้าหนู พอมีแม่เลี้ยงแล้วก็จะมีพ่อเลี้ยง วันคืนของเด็กคนนั้นก็ยังคงยากลำบากอยู่ดี อาจต้องใช้ชีวิตเหมือนผักกาดขาวหัวหนึ่งก็ได้…

ดังนั้นไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เธอจะต้องชิงตัวเจ้าหนูกลับมาอีกครั้งให้ได้ จากนั้นก็จะพาเด็กน้อยไปจากที่นี่

แผนการของเธอคือรักษาตัวอยู่ที่นี่กับคุณชายไผ่ขจี พลางถ่ายทอดวิชาแปลงโฉมให้เขาไปด้วย อีกสิบวันให้หลังบาดแผลของเธอน่าจะหายดีแล้ว เธอก็สามารถออกไปชิงตัวเด็กน้อยได้แล้ว…

แต่แผนการมักจะเกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วเสมอ ณ ทุ่งดอกไม้แห่งนั้น กู้ซีจิ่วกันคุณชายไผ่ขจีออกไป หลังจากคลายชุดเพื่อตรวจดูบาดแผลเธอก็ต้องตกตะลึง!

บาดแผลนั้นยังคงเจ็บปวดเสมือนโดนแมงป่องต่อยเช่นเดิม ผิวหนังรอบบาดแผลมิได้บวมแดง ทว่าปรากฏเป็นห้าสีสัน แดง ดำ เขียว เหลือง ขาว

และสีสันทั้งห้าก็สดใสแจ่มชัดยิ่ง ราวกับมีบุปผาห้าสีดอกหนึ่งผลิบานอยู่บนบาดแผลเธอ

แต่เลือดที่ไหลออกมาจากปากแผลกลับเป็นสีแดงสด ไม่ต่างจากเลือดปกติเลย

เลือดออกไม่มาก ซึมเปื้อนเพียงชุดตัวในของเธอเท่านั้น ไม่ซึมออกมาถึงเสื้อคลุมตัวนอก

ยามนั้นตอนที่เธอได้รับบาดเจ็บ เนื่องจากเจ็บปวดอย่างยิ่ง จึงแตะปากแผลดูเล็กน้อย มองสีเลือด เมื่อเห็นว่าเป็นสีแดงสดถึงได้วางใจ นึกไม่ถึงเลย…

เธอรู้แล้วว่าตนถูกพิษ แต่พิษประหลาดเช่นนี้ต่อให้เป็นคนที่มีความรู้กว้างขวางอย่างเธอก็ไม่เคยเห็นมาก่อน

เธออดทนต่อความเจ็บปวดรีดโลหิตพิษออกมามากมาย จากนั้นก็กินยาที่สามารถต้านพิษได้เข้าไป

————————————————————————————-

นักแปลขอคุย : ก้อนแป้งน้อยช่างแก่แดดแก่ลมนัก นักอ่านเดาออกไหมเอ่ยว่าเจ้าหนูเป็นใครกันแน่?