[ส่วนที่ 7 น้ำนิ่งคลื่นน้อย] ตอนที่ 12 มีของเช่นนี้ด้วยหรือ

เจาะเวลาสู่ต้าถัง

ความจริงย่อมพิสูจน์ได้ว่าสติล้วนเป็นของหายากสำหรับทุกคน ฮ่องเต้ยิ่งใหญ่พันปีหลี่ซื่อหมินก็ไม่มีเช่นกัน ภายใต้ความโกรธที่รุนแรง การตัดสินใจย่อมห่างไกลเหตุผล ฝ่ายตรวจสอบยื่นฎีกาไร้ซึ่งความจริง ดำเนินการตามอำเภอใจ เก่ยซื่อจงเว่ยเจิงถูกลดบรรดาศักดิ์หนึ่งขั้น ผู้ตรวจสอบหวงโย่วโดนส่งไปไกลสามพันลี้ ผู้ร่วมฟ้องอื่นๆทั้งหมดถูกงดเงินปีหนึ่งปี อวิ๋นเยี่ยทำการด้วยความคึกคะนองขาดความสำรวมถูกงดเงินปีหนึ่งปีเช่นกัน นี่เป็นคำตัดสินลงโทษขุนนางฝ่ายตรวจสอบที่กล่าวโทษเนื่องจากข่าวที่ได้ยินเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่สร้างชาติมา ทำให้ราชสำนักสะเทือน ต่อไปหากจะฟ้องร้องคนอื่นโดยไม่มีหลักฐานที่แน่ชัดก็สู้ระวังตัวไว้ก่อนจะดีกว่า

 

 

ไม่มีใครเอ่ยถึงข้อหายี่สิบหกคดีนั้นอีก ราวกับว่าเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้น แม้แต่ผู้ที่เพิ่งร่วมฟ้องในวังไท่จี๋ที่ต้องการศีรษะอวิ๋นเยี่ย ก็ยังยิ้มแย้มแจ่มใสประสานมือบอกลากัน ราวกับว่าไม่เคยรู้จักหวงโย่วที่ร้องไห้โฮโดนทหารคุมตัวไป อวิ๋นเยี่ยรู้สึกถึงการคุกคามสุดแสนจากรอยยิ้มอย่างเต็มที่จากพวกเขา

 

 

หลี่ไท่ถูกฮ่องเต้มีโองการให้พักผ่อนในวังหนึ่งเดือน รอให้ร่างกายฟื้นคืนสภาพแล้วจึงไปสถานศึกษาร่วมค้นคว้ากับอาจารย์กงซูมู่ได้ การที่บุคคลเก่งกาจหาได้ยากสองคนถูกทำลายเพราะผ้าชิ้นเดียวนั้นไม่สมควรยิ่งนัก

 

 

อวิ๋นเยี่ยไม่ได้ใส่ใจเงินปีเพราะตั้งแต่เขาเป็นขุนนาง ขอเพียงอยู่ในเมืองหลวงเงินปีมักโดนลงโทษจนไม่เหลืออะไรอยู่แล้ว สำหรับการเมืองต้นยุคเจินกวนที่มั่นคง เรื่องที่เกิดขึ้นสองวันนี้ถือว่าเป็นเรื่องสะเทือนขวัญมากที่สุดแล้ว

 

 

ยังดีที่เกิดขึ้นก่อนตัวเองจะเริ่มแย่งชิงเงินทอง ทำให้พวกอีกาที่น่ารังเกียจเหล่านี้หุบปากลงได้ หากครั้งนี้ได้เงินทองสำเร็จ ตัวเองจะเตรียมเดินทางไกลสักครั้งเพื่อหลบการปะทะของฝ่ายพุทธกับฝ่ายเต๋าที่กำลังจะเริ่มขึ้น

 

 

หลี่ฉุนเฟิงมาแล้วสามรอบ หวังให้อวิ๋นเยี่ยร่วมงานฉลองวันก่อตั้งสำนักเหล่าจวิงกวน ถึงเวลานั้นร่วมกันชมสุริยุปราคาเต็มดวง หวงเทียนกังเป็นผู้คำนวณสุริยุปราคาเต็มดวงในฉางอันครั้งนี้ ผลการคำนวณของหลี่ฉุนเฟิงศิษย์อาจารย์ร่วมกับผู้มีวิชาฝ่ายเต๋านับไม่ถ้วนนั้นต่างกันไม่เกินครึ่งชั่วยาม ตัวเลขนี้นับว่าแม่นจนน่ากลัว ควรรู้ว่าการคำนวณวงโคจรของดวงอาทิตย์หวงเต้ากับการคำนวณวงโคจรของดวงจันทร์ไป๋เต้า ต้องสิ้นเปลืองทรัพยากรทั้งสิ่งของและแรงงานมากมาย ในยุคที่ทุกคนต่างใช้วิธีคำนวณโดยการใช้ไม้นับจึงเป็นงานที่ยิ่งใหญ่มาก

 

 

ส่งตัวเลขให้อวิ๋นเยี่ยแล้ว อวิ๋นเยี่ยเปิดดูเครื่องมือถือของตัวเอง ได้วันที่เกิดสุริยุปราคาแน่นอนคือวันที่หนึ่งตามจันทรคติ จึงทำให้อวิ๋นเยี่ยมีโอกาสขี้เกียจได้ เพียงแค่คำนวณวงโคจรที่ตัดกันในวันนั้นก็เพียงพอแล้ว หากแม่นยำไปถึงนาทีก็ออกจะดูถูกสติปัญญาของฝ่ายเต๋า ช่วยไม่ได้ อวิ๋นเยี่ยจึงทำได้เพียงปรับความแม่นยำไปถึงชั่วหนึ่งกาชาก็พอ

 

 

เช่นนี้แล้วยังถูกหลี่ฉุนเฟิงยกย่องราวกับเป็นเทวดา เพียงคืนเดียวก็สามารถใช้ตัวเลขจำนวนมหาศาลนั้นจนมีผลออกมาได้ เป็นเรื่องที่เทวดาจึงจะทำได้ กำลังเตรียมกราบไหว้เทวดา ก็ถูกหลี่ไท่ที่กำลังนอนอยู่บนเก้าอี้โยกบอกเคล็ดวิธีของเขา “เขามีลูกคิด เร็วกว่าการใช้ไม้นับไม่รู้กี่สิบเท่า การคำนวณได้ในคืนเดียวไม่นับว่าแปลกหรอก”

 

 

อวิ๋นเยี่ยย่อมไม่บอกเรื่องจริงว่าตัวเองใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วยามก็คำนวณออกมาได้ ได้แค่ยอมรับว่าที่หลี่ไท่พูดนั้นเป็นความจริง ต้ายาเวลานี้อยู่ในห้องทำงานของอวิ๋นเยี่ยเรียนรู้ด้วยตัวเอง หากไม่เข้าใจอะไรก็จะวิ่งไปถามพวกหลี่กังกับอวี้ซัน อวิ๋นเยี่ยยังไม่กล้าพอที่จะให้ต้ายาไปอยู่ในห้องเรียนจึงพูดให้ดูดีว่ามาดูแลตัวเอง

 

 

อวิ๋นเยี่ยรับน้ำชาที่ต้ายาส่งให้แล้วนอนอยู่ข้างเก้าอี้นอนของหลี่ไท่ หันไปดูหลี่ฉุนเฟิงที่กำลังเหม่อลอยอยู่กับลูกคิดแล้วถามหลี่ไท่ว่า “ฝ่าบาทไม่ใช่ไม่ให้ท่านเที่ยววิ่งไปโน่นนี่หรือ ทำไมจึงยังมาที่อวี้ซันอีกเล่า สถานที่ทดลองโดนทหารปิดตายไปแล้วข้ายังเข้าไปไม่ได้ แล้วท่านยังกลับมาทำอะไร ปีหน้าท่านก็จะได้รับการแต่งตั้งให้เป็นอ๋องแห่งอาณาจักรแล้วควรต้องเตรียมตัวก่อน ไม่ใช่ไปถึงอาณาจักรตัวเองแล้วมืดแปดด้าน กลายเป็นไปสร้างบาปกรรมให้ราษฎรโดยไม่ได้ตั้งใจ”

 

 

“เยี่ยจื่อ เวลานี้ข้าเบื่อหน่ายการเมืองมาก พอเห็นพวกนั้นแล้วก็ปวดศีรษะ ที่เจ้าสั่งสอนข้าไม่ใช่มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ข้าหลงใหลในวิชาคณิตศาสตร์กับฟิสิกส์ เคมี ชีวะพวกนี้หรือ ข้ารู้ว่าเจ้าไม่อยากให้ข้าแย่งชิงราชบัลลังก์กับพี่ชายใหญ่ อีกทั้งเจ้าเองก็ไม่เคยปิดบังวัตถุประสงค์ของเจ้า เวลานี้ทำได้สำเร็จแล้ว ทำไมยังกลับมาบอกให้ข้าสนใจการเมืองอีกเล่า”

 

 

อวิ๋นเยี่ยพบว่าต้าถังมีคนโง่เพียงไม่กี่คนเท่านั้น ความจริงวัตถุประสงค์ของตัวเองถูกหลี่ไท่มองทะลุมานานแล้ว ไม่ใช่ว่าแผนการของอวิ๋นเยี่ยทำสำเร็จ แต่เพราะหลี่ไท่เลือกเส้นทางชีวิตของตัวเอง หากเขาไม่ชอบย่อมไม่มีเรื่องที่จะเกิดขึ้นในภายภาคหน้า

 

 

“ชิงเชวี่ย ข้าจะเล่านิทานให้ท่านฟังสักเรื่อง ท่านฟังแล้วแค่หัวเราะเฉยๆก็ได้ ในยุคโบราณนานมาแล้ว มีพระราชาที่ปราดเปรื่องมากคนหนึ่ง เขามีโอรสและธิดาจำนวนมาก ขณะที่พวกเขายังเล็กอยู่พระราชาบอกว่า โอรสตัวเองจะต้องเป็นเด็กที่เก่งกาจฉลาดเฉลียวมากที่สุดในโลก สวรรค์คุ้มครอง โอรสของเขาเก่งกาจตามที่เขาหวังไว้ แต่ปัญหาเกิดขึ้นตามมา ราชบัลลังก์มีเพียงหนึ่งเดียว ดังนั้น…

 

 

หลี่ไท่ฟังอย่างตั้งใจ ฟังจนกระทั่งพระราชาที่ปราดเปรื่องตายไปอย่างโดดเดี่ยวเดียวดาย อดไม่ได้น้ำตาไหลพราก “ปลูกแตงใต้นั่งร้าน แตงสุกลูกทิ้งห่าง เด็ดหนึ่งเพื่อแตงดี เด็ดสองเพื่อแข็งแรง เด็ดสามยังพอได้ เด็ดสี่ได้เพียงเถา” หลี่ไท่ท่องซ้ำแล้วซ้ำเล่าถึงคำรำพึงรำพันที่โศกเศร้าของพระราชาในนิทานเมื่อครู่นี้

 

 

“เยี่ยจื่อ ข้ารู้ว่าในโลกนี้อาจมีหินชนิดหนึ่งเรียกว่าหินสามชาติ สามารถมองเห็นอดีตและอนาคต ข้าสงสัยอยู่ตลอดเวลาถึงความเก่งกาจของเจ้า ไม่มีใครสามารถมีความรู้ได้กว้างขวางมากเท่าเจ้า ข้ายอมรับว่าตัวเองฉลาดเฉลียว ความจริงก็พิสูจน์ให้เห็นว่าข้าเป็นคนฉลาด แต่ข้าคิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเจ้าพอเห็นแค่เพียงจุดเริ่มต้นก็รู้ไปถึงตอนจบได้ เจ้าอาศัยอะไรที่มาตำหนิสิ่งที่ข้ายังไม่ได้ทำ บอกข้าสิ ในโลกนี้มีสิ่งที่เรียกว่าหินสามชาติหรือไม่”

 

 

ความจริงพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าหลี่ไท่เป็นนักฉวยโอกาส เพิ่งกำลังเศร้าโศกเสียใจอยู่ก็หักมุมได้ทันที ทั้งยังจะล้วงความลับที่เขาต้องการรู้อย่างที่สุดจากปากของอวิ๋นเยี่ย

 

 

“เสี่ยวไท่ พรุ่งนี้ข้าจะต้อนรับแขกคนหนึ่งที่มาจากทางไกลอย่างเอิกเกริก หากท่านสนใจก็มาด้วยกันได้ จำไว้ว่า ให้นำแต่หูมา อย่านำปากมาด้วย ให้เขาเล่าเรื่องที่ท่านยังไม่เคยได้ยินกับของที่ไม่เคยสัมผัสได้ เขาว่าจะมีของขวัญให้ข้าด้วย ข้าตั้งใจเฝ้ารออยู่ทีเดียว”

 

 

“เป็นเพื่อนเทวดาของเจ้าหรือ คืนนี้ข้าไม่กลับไปแล้วจะอยู่บ้านเจ้า ข้าไม่อยากพลาดเรื่องนี้แม้แต่ขั้นตอนเดียว ตั้งแต่เวลานี้ข้าจะไม่ออกห่างจากตัวเจ้า หากเจ้าจะแปลงร่างก็ให้แปลงร่างต่อหน้าข้า ข้าเตรียมตัวเตรียมใจไว้แล้ว”

 

 

การบอกเรื่องที่จริงจังให้หลี่ไท่รู้เป็นความผิดพลาดสมบูรณ์แบบ เนื่องจากเขาจะเอาความเข้าใจของตัวเองใส่เข้าไปด้วยจนทำให้เรื่องจริงจังของท่านเละเป็นโจ๊ก ไม่แน่ว่านักวิทยาศาสตร์ที่เก่งกาจต่างมีนิสัยเช่นนี้

 

 

เตรียมการให้หลี่ไท่สอนลูกคิดแก่หลี่ฉุนเฟิงแล้ว ตัวอวิ๋นเยี่ยเดินมาที่หน้าต่างผลักบานหน้าต่างไม้สลักลายสองบานออก เขาอวี้ซันทั้งหมดราวกับโผเข้ามาในอ้อมกอดตัวเองทันที อยากแปลงร่างเป็นลมโถมเข้าไปด้วยจริงๆ

 

 

จากขบวนคนสองร้อยคนมีเหลือรอดชีวิตกลับมาเพียงซีถงคนเดียว นอกนั้นต่างฝังร่างในแผ่นดินรกร้างตั้งแต่ครั้งโบราณกาล อวิ๋นเยี่ยรู้ว่านี่เป็นบาปเคราะห์จากตัวเอง ดังนั้นเขาจึงปฏิเสธคำขอร้องของซีถงที่ต้องการพบเขาแบบสบายๆ พรุ่งนี้ในเวลาเดียวกับที่ดวงอาทิตย์ขึ้น ประตูใหญ่ตระกูลอวิ๋นจะเปิดออกเพื่อเตรียมต้อนรับผู้กล้าหาญที่สุดในโลกนี้ ไม่ได้สนใจเลยว่าเขาเป็นนักโทษสำคัญที่ราชสำนักกำลังติดตามจับตัว

 

 

อวิ๋นเยี่ยไม่รู้ว่าพวกเขาผ่านช่วงกลางคืนตลอดเวลาได้อย่างไร และไม่รู้ว่าพวกเขามีชีวิตอยู่ทั้งปีได้อย่างไรในแผ่นดินรกร้าง ไม่ว่าจุดประสงค์ของพวกเขาเป็นอย่างไร ล้วนเป็นวีรบุรุษทุกคน

 

 

“พี่ชาย ท่านร้องไห้ทำไม” ต้ายายืนอยู่เบื้องหลัง นางยังไม่เคยเห็นพี่ชายใหญ่ร้องไห้จึงเป็นห่วงมาก

 

 

“พี่ชายเพียงแค่คิดถึงพวกเพื่อนเก่าหลายคนที่ตายไป พวกเขาทุกคนต่างกล้าหาญมาก พี่ชายเป็นคนขี้ขลาดใช้ไม่ได้ที่สุดในกลุ่มนี้” หากว่าจะสำรวจโลกใหม่แล้วอวิ๋นเยี่ยย่อมเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดอย่างไม่มีข้อสงสัย เขาใช้เป้าประสงค์ที่เห็นแก่ตัวส่งกลุ่มเถียนเซียงจื่อไปสู่พื้นที่มรณะ ให้พวกเขาตายไปทีละคนในแผ่นดินรกร้างภายใต้ความหวังที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ไม่รู้ว่าขณะที่เถียนเซียงจื่อตายได้หลับตาทั้งสองข้างหรือไม่

 

 

เวลาแห่งความเศร้าโศกจะยาวนานไม่ได้ ไม่เช่นนั้นจะถลำลึกลงไป แค่ไว้อาลัยเถียนเซียงจื่อสักพักก็พอแล้ว อีกทั้งเมื่อครู่นี้ยังเสียน้ำตาไป ถือว่าเพียงพอต่อการชดใช้บาปกรรมของตัวเองแล้ว

 

 

ชวีจัวหิ้วถังน้ำผ่านสายตาอวิ๋นเยี่ยไปสามรอบแล้ว ขณะที่เขากำลังแอบย่องผ่านเป็นรอบที่สี่ โดนอวิ๋นเยี่ยเรียกให้หยุด “ชวีจัว เจ้าไม่ไปกำจัดหญ้าทางโน้น กลับหิ้วถังน้ำวิ่งไปวิ่งมาเพราะอะไรกัน”

 

 

“อาจารย์หวางสู่ต้องการต่อน้ำจากลำธารไปที่ร้านตัวเอง เขาตัดลำไผ่จำนวนมากแล้วตีทะลุปล้องไผ่ทุกลำ เตรียมต่อให้ยาวทั้งหมดเพื่อรับน้ำจากน้ำตก บอกว่าน้ำจากแม่น้ำตงหยางเวลานี้มีรสเปรี้ยวคล้ายรองเท้า ดังนั้นข้าน้อยจึงวิ่งมากเที่ยวหน่อย เตรียมนำน้ำจากบ้านอาจารย์หวางสู่ชงน้ำชาให้เหล่าอาจารย์หลังจากต่อน้ำเสร็จแล้ว

 

 

“มารดาเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง ตอนนี้เดินได้แล้วยัง”

 

 

“ยังไม่ได้ อาจารย์ซุนบอกว่าถึงอย่างไรก็ต้องรออีกสามเดือน เวลานี้เริ่มมีความรู้สึกที่ขาแล้ว ข้าน้อยรับงานตัดเย็บเล็กน้อยจากสถานศึกษาให้มารดา เวลานี้พวกเรามีความเป็นอยู่ที่ดีมาก ขอบคุณอาจารย์มาก”

 

 

เห็นชวีจัวหิ้วถังไปไกลแล้ว อวิ๋นเยี่ยรู้สึกว่าความกลัดกลุ้มของตัวเองก็หายไปหมด หรือตามที่พูดกันว่าหากทำความชั่วแล้วรีบทำความดี จะสามารถรักษาบาดแผลหัวใจของตัวเองอย่างได้ผล มิน่าที่ฝ่ายพุทธบอกว่า วางดาบฆ่าคนแล้วบังเกิดดวงตาเห็นธรรม ขอเพียงให้ตัวเองจิตใจโปร่งโล่ง แม้ไม่มีดวงตาเห็นธรรมก็ต้องเห็นธรรม

 

 

การคาดเดาของหลี่ไท่เกี่ยวกับหินสามชาติวันนี้อาจจะถูกต้อง ตัวเองไม่แน่ว่าอาจเป็นวิญญาณดวงหนึ่งที่หนีพ้นยมบาลออกมาได้ บนหินสามชาติจึงไม่มีชื่อของข้าอยู่ด้วย

 

 

ทุกครั้งที่สัมผัสกับเถียนเซียงจื่อ รากฐานทฤษฎีไร้ศาสนาของอวิ๋นเยี่ยที่วนเวียนในสมองก็จะอ่อนแรงลง ยังดีที่เขาได้ตายไปแล้ว

 

 

เพียงแค่คิดว่าคนยิ่งใหญ่เช่นนั้นจะต้องทิ้งชีวิตไว้ในแผ่นดินรกร้าง ไม่พูดไม่ได้ว่าเป็นความเสียใจอย่างหนึ่ง หลี่กังทำใจได้ดีมาก เพียงขอโลงไม้หนานมู่ขลิบทองโลงหนึ่งจากอวิ๋นเยี่ยเท่านั้น นอกจากนี้แล้วไม่ได้ต้องการของอื่นใดอีก

 

 

คนที่คิดมีชีวิตอมตะได้ตายไปแล้ว แต่คนที่พร้อมจะตาย เวลานี้อยู่จนผมดำงอกใหม่ออกมาจากหนังศีรษะ หลี่ซื่อหมินได้เขียนหนังสือเป็นพิเศษให้ปรากฏการณ์มงคลนี้บนป้ายว่า ‘เทพอมตะ’

 

 

พรุ่งนี้พบหน้าซีถงแล้วไม่รู้จะสามารถรั้งตัวเขาไว้ได้หรือไม่ พเนจรมาแล้วครึ่งชีวิตย่อมต้องการที่ดินสักผืนเพื่อใช้พำนักได้ ครั้งนี้ไม่ต้องคิดมาใช้คำพูดที่น่าทุเรศว่าเพื่อให้ข้าใช้งานอีก คิดเพียงแค่ให้เขามีพื้นที่ว่างของเขาเอง ให้เขาสามารถเลียแผลของเขาได้