ตอนที่ 1872 ที่มั่นตระกูล

A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน

ภิกษุเฒ่าจีวรสีทองมองไปยังเรือรบเหล่านั้น ทันใดนั้นรอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้า จากนั้นก็ส่งเสียงพูดออกไปไกลว่า

“ผู้ที่มาคือสหายหานลี่ใช่หรือไม่ อาตมาจินเย่ว์มารอที่นี่อยู่นานแล้ว”

เสียงพูดที่ออกจากปากของภิกษูจินเย่ว์ไม่ได้ดังมากนะ แต่เมื่อแว่วไปถึงเรือยักษ์สองสามลำนั้น ซึ่งอยู่ไกลออกไปอย่างมากกลับดังสนั่นก้อง ทรงพลานุภาพน่าเกรงขาม

“คิดไม่ถึงว่าไต้ซือจินเย่ว์จะออกมาต้อนรับด้วยตัวเอง ข้ารู้สึกยินดีและแปลกใจอย่างยิ่ง! ดูท่าข่าวที่แจ้งมาไม่กี่วันก่อนหน้านี้ ท่านไต้ซือคงได้รับแล้ว” ด้านหน้าของเรือยักษ์ลำที่เป็นหัวขบวนส่องแสงสีเขียว เงาร่างสีเขียวร่างหนึ่งปรากฏขึ้น ส่งเสียงพูดแว่วตามสายลมมาอย่างชัดเจน

ร่อนลงบนกำแพง ยังคงชัดเจนอย่างน่าประหลาดเช่นกัน ราวกับว่าเสียงนั้นดังอยู่ข้างหูของทุกคน

เงาร่างคนผู้นั้นก็คือหานลี่

เหล่าผู้บำเพ็ญทั้งหลายนั้นเมื่อได้ยิน ก็รู้สึกสะดุ้งอย่างมาก ต่างรู้สึกว่านี่ช่างสมคำเล่าขานกันอย่างยิ่ง

“ฮ่าๆ สหายพี่หานยินดีร่วมแรงช่วยเหลือเมืองเทียนหยวนของเรา อาตมาต่อให้ออกมาต้อนรับไกลนับหมื่นลี้ก็นับว่าสมควร” พระอาจารย์จินเย่ว์ตอบพลางหัวเราะลั่น

หานลี่ได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มขึ้นมาโดยไม่ได้พูดอะไรต่ออีก

เรือยักษ์สองสามลำชั่วครู่หนึ่งก็ขยับเคลื่อนเล็กน้อยมาถึงบนท้องฟ้าเหนือกำแพงเมือง เงาร่างหานลี่ขยับไหว จากนั้นก็ร่อนพริ้วลงมาด้านล่าง

“ไม่เจอกันหลายปี ไต้ซือยังคงสง่างามเหมือนเก่าเลยนะ” หานลี่กวาดสายตามองผู้คนปราดหนึ่ง ท้ายที่สุดสายตาก็ไปหยุดที่ภิกษุเฒ่า พูดขึ้นพลางประสานมือคำนับ

“อาตมาอายุปูนนี้จะเอาอะไรมาสง่างามเล่า แต่พี่หานลี่ได้กลับมาพบกันอีกครั้งหลังจากเวลาสั้นๆ เพียงไม่กี่ร้อยปี กลับไปสู่ช่วงกลางเสียแล้ว ทำให้คนชราอย่างพวกข้ารู้สึกละอายใจเสียจริง! เมื่อก่อนตอนอาตมาอายุเท่ากับสหาย เพิ่งจะเข้าสู่ระดับหลอมสุญตาเพียงเท่านั้นเอง” พระอาจารย์จินเย่ว์ถือวิสาสะตรวจสอบระดับของหานลี่แล้ว ก็รู้สึกตกใจขึ้นมา พูดขึ้นพลางคอแห้ง

“ไต้ซือไยต้องถ่อมตนด้วย หากผู้น้อยมองไม่ผิด ดวงตาทั้งคู่ของท่านไต้ซือเปล่งประกาย เห็นได้ชัดว่าเป็นเค้าลางการสำเร็จอิทธิฤทธิ์บางศาสตร์” หานลี่หัวเราะ แล้วพูดขึ้นด้วยใบหน้าดูเหมือนยิ้ม

“สายตาสหายช่างแหลมคมนัก ไม่นานมานี้อาตมาเพิ่งสำเร็จอิทธิฤทธิ์บางศาสตร์จริงๆ แต่ก็ไม่ได้มีค่าพอที่จะให้สหายกล่าวถึงหรอก เอาล่ะ พี่หานตามอาตมาไปที่อารามเก่าก่อนแล้วค่อยคุยละเอียดกันอีกที สำหรับพวกลูกศิษย์ของพี่หาน อาตมาจะสั่งให้คนไปจัดการดูแลให้เรียบร้อย” ภิกษุเฒ่าส่ายอย่างถ่อมตน จากนั้นก็หันกายออกแล้วพูด

“เช่นนั้นก็รบกวนท่านไต้ซือนำทางด้วย” หานลี่ไม่ได้รู้สึกเกรงใจ พยักหน้าตอบโดยไม่ลังเลแม้สักนิด

ครั้นแล้วพระอาจารย์จินเย่ว์ก็กำชับสั่งผู้บำเพ็ญพรตสองคนด้านหลัง แล้วนำทางเรือสองสามลำนั้นบินต่อเข้าไปภายในกำแพงเมือง จากนั้นก็บินขึ้นไปยังอีกด้านหนึ่งลึกเข้าไปในเมืองเทียนหยวนพร้อมกับหานลี่

ผ่านไปหนึ่งชั่วยาม หานลี่และพระอาจารย์จินเย่ว์ก็ปรากฏตัวในโถงพิธีแห่งหนึ่งกลางหอสูงตระหง่านหลังหนึ่ง

ในโถงพิธีแห่งนี้ไม่ว่าจะเก้าอี้หรือจะฝาผนัง ล้วนแต่เป็นสีขาวนวลสว่าง ราวกับว่าทั้งหมดถูกสร้างขึ้นจากหยกชั้นดีทุกกระเบียดนิ้ว

ณ ที่แห่งนี้นอกจากพวกหานลี่ทั้งสองคนที่ร่อนลงมาอยู่ด้านนอก ยังมีผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์อีกสามคนอยู่ด้วย

มีผู้เฒ่าในชุดสีขาวผมสีดอกเลาทั่วทั้งศีรษะแต่ใบหน้ากลับงดงามอ่อนเยาว์หนึ่งคน ชายฉกรรจ์ในชุดหนังสีดำทะมึนทั้งตัวหนึ่งคน และหญิงเส้นผมดำขลับยาวประบ่าใส่หน้ากากสีเงินอีกนางหนึ่ง

ในทั้งสามคนนี้ เห็นได้ชัดว่าผู้เฒ่าในชุดขาวนั้นมีระดับการบำเพ็ญสูงที่สุด สำเร็จระดับผสานอินทรีย์ช่วงกลาง ดูเหมือนว่าเพียงอีกนิดเดียวก็จะสามารถบรรลุสู่ช่วงปลายได้

ทว่าชายฉกรรจ์และหญิงสาวสวมหน้ากากอยู่ในระดับผสานอินทรีย์ช่วงต้น แต่ร่างกายทั้งสองคนนั้นมีพลังปราณประหลาด เห็นได้ชัดว่าต่างฝึกฝนเคล็ดวิชาประหลาดอะไรบางอย่าง

หานลี่ในเวลานี้นั่งลงบนเก้าอี้ ถึงแม้ว่าปากจะพูดจาปราศรัยกับคนอื่น แต่สายตากลับมองหญิงสาวใส่หน้ากากสีเงินนางนั้นไม่หยุด สีหน้าท่าทางดูประหลาดอยู่เล็กน้อย

“ทำไมหรือ พี่หานเคยเห็นท่านเซียนหยินกวงมาก่อนหรือ!” ผู้เฒ่าชุดขาวเห็นเช่นนั้น ก็ถามขึ้นด้วยรอยยิ้ม

“ถ้าเองก็มีข้อสงสัยเช่นนั้นในใจเช่นกัน พี่หาน สามารถไขข้อข้องใจให้ได้หรือไม่” หญิงสาวสวมหน้ากากผู้นั้นถูกหานลี่ที่เพิ่งเดินเข้าประตูมามองเช่นนั้น ก็พูดขึ้นด้วยความรู้สึกขุ่นเคืองเล็กน้อย

“ข้าเจอท่านเซียนเป็นครั้งแรก แต่กลิ่นอายของสหายหยินกวงกลับเหมือนสหายเก่าแก่ที่รู้จักกันเมื่อก่อน ไม่รู้ว่าท่านเซียนเกิดในเผ่าพันธุ์ปีศาจเผ่าพันธุ์ไหนหรือ” สายตาหานลี่ส่องประกาย ถามขึ้นราวกับกำลังคิดอะไรบางอย่าง

“กลิ่นอายคล้ายกันหรือ! ดูท่าสหายเก่าแก่คู่นั้นของสหายคงจะเป็นคนเผ่าหมาป่าเงิน สหายหยินกวงคือหนึ่งในสองผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ของเผ่าหมาป่าเงินเลยนะ!” ชายฉกรรจ์ในชุดสีดำผู้นั้นชิงตอบด้วยท่าทีตื่นตระหนกเล็กน้อย

“เช่นนั้นนั่นเอง คำพูดของพี่เยียนเป็นความจริง ข้าถือกำเนิดในเผ่าหมาป่าเงินจริง ไม่แน่ว่าสหายเก่าแก่ผู้นั้นของสหาย ข้าอาจจะรู้จักก็ได้” เซียนหยินกวงได้ยิน สีหน้าก็คลายลง แล้วถามกลับด้วยความใคร่รู้

“ในเมื่อท่านเซียนเป็นคนเผ่าหมาป่าเงินจริง ข้าก็คงไม่คิดจะถามอะไรต่อแล้ว ไม่รู้ว่าท่านเซียนจะพอรู้จักสหายท่านหนึ่งชื่อว่าหลิงหลงจากเผ่าของท่านหรือเปล่า ตอนนี้นางยังอยู่ดีหรือไม่” หานลี่สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่ก็เอ่ยปากขึ้นมาถามถึงเรื่องราวของหยินเย่ว์

ด้วยระดับการบำเพ็ญเพียรของเขาในตอนนี้ ย่อมไม่จำเป็นต้องรู้สึกกลัวราชาหมาป่าเทียนขุยอะไรอีก จึงถามออกไปอย่างชัดแจ้ง

ข่าวเกี่ยวกับหยินเย่ว์ หลังจากเขาเข้าสู่ระดับผสานอินทรีย์ก็ได้ตั้งใจไปสืบถามมาบ้าง แต่ที่อยู่ของเผ่าหมาป่าเงินนั้นลึกลับอย่างยิ่ง คนในเผ่านั้นน้อยมากที่จะไปมาหาสู่กับคนภายนอก ดังนั้นคนที่เคยถามถ้าไม่ใช่ไม่รู้อะไรเลยสักนิด ก็มีข่าวคราวให้น้อยเสียยิ่งกว่าน้อย ไม่อาจที่จะรู้สภาพจริงๆของหยินเย่ว์ได้เลยแม้สักนิด

ตอนนี้ได้พบผู้อยู่ในระดับผสานอินทรีย์เผ่าหมาป่าเงินคนนี้ หานลี่ย่อมต้องสอบถามโดยไม่ยอมให้พลาดโอกาส

“หลิงหลงหรือ สหายเก่าแก่ของสหายก็คือน้องหลิงหลงนั่นเอง! ใช่แล้ว ได้ยินว่าพี่หานเป็นผู้บำเพ็ญเพียรที่ก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว หรือว่าท่านจะคือ…” เซียนหยินกวงได้ยินคำพูดของหานลี่ ก็รู้สึกจะสะดุ้งขึ้นมา แต่เมื่อพูดออกมาเพียงครึ่งเดียว ก็ยั้งปากราวกับนึกถึงข้อห้ามอะไรบางอย่างขึ้นได้ สายตาที่มองไปยังหานลี่ดูแปลกประหลาดยิ่งขึ้น

“ดูท่าสหายหยินกวงจะรู้จักกับหลิงหลงจริงๆ สินะ?” หานลี่ได้ยิน ก็รู้สึกยินดีขึ้นมาในใจ แต่พูดขึ้นโดยรักษาสีหน้าสงบนิ่งเอาไว้

“ในสมัยก่อนน้องหลิงหลงกับข้าเติบโตด้วยกันมาตั้งแต่เด็ก ข้าจะไม่รู้จักได้อย่างไรเล่า แต่เรื่องราวเกี่ยวกับหลิงหลงถึงแม้ข้าจะพอรู้อยู่บ้าง แต่คงบอกอะไรกับสหายหานมากไม่ได้ คงบอกกับสหายได้เพียงว่า หลิงหลงตอนนี้อยู่สุขสบายดี อีกทั้งยังเข้าสู่ระดับหลอมสุญตาช่วงปลายแล้ว” เซียนหยินกวงพูดพลางถอนหายใจเบาๆ

“บอกมากไม่ได้ บนโลกนี้มีเรื่องอะไรอีกหรือที่ไม่สามารถบอกให้ชัดแจ้งได้ เอาเช่นนี้แล้วกัน ที่แห่งนี้ไม่ควรที่จะพูดถึงเรื่องนี้ รอพ้นสักสองวัน ถ้าจะไปเยี่ยมเยียนท่านเซียนโดยลำพัง ค่อยถามเรื่องราวรายละเอียดเกี่ยวกับหลิงหลง” แววตาหานลี่เยือกเย็น สีหน้าบึ้งตึงเล็กน้อย ขยับริมฝีปากเบาๆ พูดออกไป

เซียนหยินกวงได้ยินเช่นนั้น สีหน้าก็ลังเลขึ้นมาทันที แต่ในที่สุดก็พยักหน้าตอบรับช้าๆ

ผู้เฒ่าในชุดขาวและคนอื่นเห็นท่าทีหานลี่และเซียนหยินกวงเช่นนั้น ในใจถึงแม้จะรู้สึกสงสัย แต่ผู้คนเหล่านี้ต่างเป็นคนที่มีความคิดแยบคาย ไม่เพียงแต่ไม่มีใครพูดถึงเรื่องนี้อีกหลังจากนั้น มิหนำซ้ำต่างก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนาไปคุยเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเคราะห์มารในครั้งนี้ อีกทั้งพูดต้อนรับการเข้ามาร่วมช่วยเหลือของหานลี่ในครั้งนี้

หานลี่ก่อนที่จะมาถึงที่แห่งนี้ ได้บอกกับผู้อาวุโสเมืองเทียนหยวนเหล่านี้ว่าจะใช้ยันต์หมื่นลี้ช่วยป้องกันการโจมตีเมืองเทียนหยวนจากเผ่ามารเท่าที่จะทำได้ในปีต้นๆ เมื่อเคราะห์มารปะทุขึ้น เพื่อแลกกับเงื่อนไขที่จะให้เหล่าลูกศิษย์จะได้รับการคุ้มครอง

การโจมตีอันหนักหน่วงของเผ่ามารนั้นก็คือการโจมตีระลอกแรกๆ เมื่อเคราะห์มารปะทุขึ้น ด้วยเหตุนี้ผู้อาวุโสเหล่านี้ย่อมยินดีเป็นอย่างยิ่ง จึงตอบรับทันที

ดังนั้น เขาและบรรดาผู้อาวุโสเหล่านี้ต่างพูดคุยกันได้อย่างราบรื่น อีกทั้งยังแลกเปลี่ยนแผนการรับมือกับเคราะห์มาร ท้ายที่สุดก็ลุกขึ้นกล่าวลา

เมื่อเห็นร่างของหานลี่หายลับไปที่ประตู ใบหน้าที่อยู่ใต้หน้ากากของเซียนหยินกวงก็บูดบึ้งขึ้นมาถึงที่สุด…

 สองวันให้หลัง หานลี่ก็ไปยังที่พำนักของเซียนหยินกวงเพียงลำพัง เมื่อเข้าไปก็รออยู่ครึ่งวันเต็มๆ ถึงได้เดินออกมาด้วยสีหน้าบึ้งตึง

เขาหยุดอยู่ที่ประตูทางเข้า จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าสีครามสุดลูกหูลูกตาอยู่ครู่หนึ่ง แล้วแค่นเสียงหัวเราะหนึ่งที กลายร่างเป็นรุ้งสีเขียวลอยพุ่งจากไป

ที่ซึ่งหานลี่พำนักอยู่คือหอสีขาวโดดเดี่ยวหลังหนึ่งกลางเมืองเทียนหยวน ถึงแม้ว่าหอแห่งนี้เมื่อเทียบกับหอยักษ์หลังอื่นแล้ว พื้นที่ใหญ่เพียงหนึ่งในสิบ  แต่ก็เพียงพอที่จะให้พวกหานลี่อยู่พำนักกันได้

และที่พำนักชั่วคราวของตัวหานลี่เองอยู่ที่ชั้นยอดสุดของหอยักษ์

แต่ทว่า นี่ไม่ได้หมายความว่าเขาจะอาศัยอยู่ที่แห่งนี้เป็นเวลานานจริงๆ เวลาสั้นๆ เพียงสิบกว่าวันผ่านพ้นไป หานลี่ก็เรียกลูกศิษย์ทั้งสามคน เมื่อกำชับสั่งเรื่องราวต่างๆ ดีแล้ว ก็แปลงร่างเป็นรุ้งสีเขียวจากหอแห่งนี้ไป

ก่อนเคราะห์มารจะปะทุขึ้น เขายังมีเรื่องหนึ่งจำเป็นต้องทำ ดังนั้นจึงเดินทางโดยไม่หยุดแม้สักนิด ตรงไปยังเขตอาคมส่งตัวเมืองเทียนหยวน เมื่อกำชับสั่งแล้ว ก็ถูกองครักษ์ที่ดูแลเรื่องการส่งตัว ส่งตัวตรงไปยังกลางเมืองขนาดมหึมาแห่งหนึ่งไกลออกไปหลายหมื่นลี้

หานลี่ไม่ได้ใส่ใจสายตาของผู้บำเพ็ญเพียรที่เฝ้าดูแลเขตอาคมทรงตัวที่นี่ว่ายำเกรงหรือว่าตื่นกลัว เขาบินไปจากเมืองขนาดมหึมาแห่งนี้โดยตรง บินพุ่งไปยังทิศทางหนึ่งโดยไม่หยุดพักแม้เพียงนิดเดียว

เวลาผ่านไปราวสองเดือน หานลี่จู่ๆ ก็ปรากฏตัวอยู่ที่เทือกเขาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยภยันตราย ดูน่าหวาดกลัว

เทือกเขาแห่งนี้ทอดยาวใหญ่โตนับพันนับหมื่นลี้ กลางเทือกเขาเห็นเมืองน้อยใหญ่สิบกว่าแห่งอยู่รำไรรายล้อมสลับไปมาเป็นวงขนาดยักษ์วงหนึ่ง มีป้อมสนามแบบต่างๆ เชื่อมโยงติดกันอย่างแน่นหนา

นอกป้อมสนามไกลออกไป มีเขตอาคมสว่างบ้างมืดบ้างกระจายอยู่ไปทั่วที่ต่างๆ ของเทือกเขา ทั้งเทือกเขาดูราวกับกลายเป็นป้อมปราการขนาดมโหฬารแห่งหนึ่ง

กลางเทือกเขา มีองครักษ์ใส่ชุดเกราะสีต่างๆ หลายขบวน ขบวนใหญ่มีคนนับร้อย ขบวนเล็กมีเพียงสิบกว่าคน คอยลาดตระเวนอยู่ไม่ขาด

แต่ด้วยระดับการบำเพ็ญเพียรอันน่าตกตะลึงของหานลี่ ตลอดทางจึงสามารถเข้าไปในส่วนที่ลึกที่สุดของเทือกเขาได้โดยไม่มีอุปสรรค และได้หยุดพักที่เมืองที่ใหญ่ที่สุดในบรรดาเมืองสิบกว่าเมืองเหล่านี้

เขาลอยต่ำอยู่กลางอากาศมองไกลออกไปยังตัวอักษร “หล่ง” ขนาดใหญ่บนธงที่แขวนอยู่บนเสาธงต้นเขื่องต้นหนึ่งบนกำแพงเมือง

หานลี่หรี่ตาทั้งคู่ลง เรื่องราวเกี่ยวกับเมืองเหล่านี้เขาได้สืบถามมาตั้งแต่อยู่ที่เมืองเทียนหยวนแล้ว

ที่แห่งนี้ก็คือกลุ่มที่มั่นซึ่งตระกูลหล่งร่วมมือกับตระกูลอื่นอีกสิบกว่าตระกูล ช่วยกันสร้างขึ้นมาเพื่อต้านทานเผ่ามาร

ตระกูลเหล่านี้ถึงแม้ว่าขนาดจะไม่เท่ากัน อีกทั้งบางตระกูลยังไม่ใช่ตระกูลวิญญาณแท้ แต่พลานุภาพนับว่าไม่น้อยเลยทีเดียว มิเช่นนั้นแล้วคงไม่มีความมั่นใจอย่างเปี่ยมล้นที่จะตั้งมั่นต้านทานเคราะห์มารในครั้งนี้ในที่แห่งนี้

แน่นอนความมั่นใจสูงสุดของพวกเขานั้น นั่นเป็นเพราะยังมีบรรพชนตระกูลหล่งสองสามคนซึ่งพอจะนับว่าเป็นกำลังสำคัญที่สุดของเผ่าพันธุ์มนุษย์อยู่

แต่เมื่อพวกเขาได้รู้ผู้ซึ่งถูกมองว่าเป็นที่พึ่งพิงอาศัย จะจากที่แห่งนี้ไปก่อนเคราะห์มารจะจบสิ้นลงโดยไม่รีรอ เมื่อเข้าสู่แดนมารแล้ว จะทำสีหน้าเช่นใดกัน

คิดเยาะเย้ยเหน็บแนมอยู่ในใจสักครู่หนึ่งแล้ว ทันใดนั้นหานลี่ก็พลิกฝ่ามือข้างหนึ่ง ยันต์สีเหลืองทองใบหนึ่งก็ปรากฏขึ้นกลางฝ่ามือ โบกไหวอยู่ชั่วครู่ ก็กลายเป็นแสงสีทองลูกหนึ่งพุ่งออกไป จากนั้นก็หายวับลับตาไป

จากนั้นเขาก็เปล่งแสงกะพริบ ร่อนลงไปบนยอดเขาลูกเล็กๆ ที่อยู่ใกล้ลูกหนึ่ง แล้วนั่งขัดสมาธิอยู่บนก้อนหินก้อนหนึ่ง แล้วหลับตาลงอย่างสงบนิ่ง