บทที่ 558 ไร้เดียงสาเกินไป

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

หลินเป่ยเฉินไม่ทันได้ส่งเสียงพูดคำใด

เด็กหนุ่มก็ต้องยืนตกตะลึงอยู่ตรงนั้น

เพราะว่า…

หลิงไท่ซวีชนะแล้วหรือ?

ในจังหวะที่ความตายเข้ามาประชิดตัว ชายชราก็ตวัดกระบี่เพียงครั้งเดียว แล้วปัญหาทุกอย่างก็คลี่คลาย?

ไม่ใช่เลย

มันไม่ใช่จังหวะที่ความตายเข้ามาประชิดตัว

ความจริงแล้ว นักรบหนอนทะเลเฉียนจงไม่สามารถทำอะไรอาจารย์ใหญ่หลิงไท่ซวีได้ตั้งแต่แรก

ระหว่างที่นักรบหนอนทะเลเคลื่อนไหวไปรอบกายเพื่อหลอกล่อให้คู่ต่อสู้ขาดสมาธิ หลิงไท่ซวีกลับใช้สายตาจดจ่ออยู่ที่ร่างกายของเฉียนจงโดยไม่สูญเสียสมาธิแม้แต่น้อย และนั่นก็ทำให้ชายชราสามารถตรวจพบช่องว่างเพื่อจู่โจมเข้าสู่จุดตายของเฉียนจงได้ในที่สุด

นี่คือความแข็งแกร่งที่แท้จริงของอาจารย์ใหญ่อย่างนั้นหรือ?

หลินเป่ยเฉินยืนปากอ้าตาค้าง

กระบี่ในมือของหลิงไท่ซวีเป็นเพียงกระบี่ราบเรียบธรรมดาเล่มหนึ่ง พลังลมปราณที่แผ่ออกมาจากร่างกายของหลิงไท่ซวีก็กลับคืนสู่ความปกติแล้ว

แต่หลินเป่ยเฉินสัมผัสได้อย่างชัดเจน

นี่คือการสังหารศัตรูด้วยกระบวนท่าเดียว

อาจารย์ใหญ่ต้องมีความแข็งแกร่งถึงระดับไหนกัน?

ให้ตายสิ

ตลอดเวลาที่ผ่านมา อาจารย์ใหญ่หลิงไท่ซวีปิดบังฝีมือที่แท้จริงอยู่หรือนี่

ผู้คนในเมืองนี้นี่มันยังไงกันนะ ทำไมถึงได้ชอบปิดบังฝีมือที่แท้จริงของตัวเองเหลือเกิน

เคยมีคำโบราณกล่าวไว้ว่าขิงยิ่งแก่ก็ยิ่งเผ็ด

หลินเป่ยเฉินยังไม่ทันได้เปิดการเชื่อมต่อสัญญาณไวไฟแบ่งปันพลังให้แก่อาจารย์ใหญ่เลยด้วยซ้ำ แต่อาจารย์ใหญ่ก็สามารถเอาชนะศัตรูได้ด้วยความสามารถของตนเองแล้ว

นี่จึงเป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง

ชาวเมืองหยุนเมิ่งพร้อมใจกันส่งเสียงโห่ร้องออกมาด้วยความสะใจ

กลายเป็นคลื่นเสียงที่สั่นสะเทือนไปรอบบริเวณ

นี่คือการต่อสู้ของตัวแทนห้าคู่จากฝ่ายละห้าคน

เดิมทีมนุษย์เป็นฝ่ายเสียเปรียบ มีเพียงปาฏิหาริย์เท่านั้นที่จะทำให้พวกเขาสามารถเอาชนะการต่อสู้ในครั้งนี้ได้ แต่การประลองดำเนินผ่านไปแล้วสองคู่ กลายเป็นว่าฝ่ายมนุษย์ยังคงเก็บชัยชนะได้อย่างต่อเนื่อง

ทำให้สถานการณ์ในตอนนี้ ฝ่ายชาวเมืองหยุนเมิ่งจึงมีคะแนนขึ้นนำชาวทะเลแล้ว

ขอแค่ชนะอีกครั้งเดียว ฝ่ายตัวแทนของเมืองหยุนเมิ่งก็จะสามารถคว้าชัยชนะได้อย่างเป็นทางการ…

เรื่องราวนี้ยิ่งกว่าความฝันเสียอีก

หลินเป่ยเฉินกำลังประหลาดใจและตื่นเต้นในเวลาเดียวกัน

เมื่อเป็นเช่นนี้

คนต่อไปที่จะออกไปต่อสู้ก็ต้องเป็นเขาเอง

เพราะเขามีโอกาสเก็บชัยชนะมากที่สุด

ตราบใดที่สามารถชนะการต่อสู้คู่ต่อไปได้สำเร็จ การประลองที่มีชีวิตเป็นเดิมพันในวันนี้ ก็จะจบลงโดยทันที

ในเวลาเดียวกันนี้

แม่ทัพฉลามอู๋หยานั่งหน้าเครียดอยู่บนเก้าอี้ตัวใหญ่ ดวงตาที่มีความลึกล้ำดั่งมหาสมุทรปรากฏความพิศวงขึ้นมาอย่างไม่อาจปิดบังได้

มันไม่เคยคิดเคยฝันเลยว่าการต่อสู้คู่ที่สองจะจบลงเช่นนี้

นักรบหนอนทะเลเฉียนจงขึ้นชื่อเรื่องการเคลื่อนไหวที่รวดเร็ว ทุกครั้งที่ลงมือจัดการศัตรูเต็มไปด้วยความรอบคอบสุขุม ระดับพลังก็ไม่ต่ำต้อย แล้วเหตุไฉนถึงพ่ายแพ้ให้แก่หลิงไท่ซวีเสียอย่างนั้น?

สถานการณ์ย่ำแย่มากกว่าเดิม

หากตัวแทนจากฝ่ายชาวทะเลพ่ายแพ้ในการต่อสู้คู่ถัดไป ก็เท่ากับว่าการประลองในวันนี้จะจบลงด้วยความอับอายและภาพลักษณ์ที่เสียหายย่อยยับของเหล่านักสู้จากโลกดินแดนโพ้นทะเล

เหล่าตัวแทนนักรบชาวทะเลก็ตกตะลึงไม่น้อยเช่นกัน

เดิมทีการต่อสู้ในวันนี้ พวกมันรู้สึกว่าฝ่ายของตนเองสามารถบดขยี้พวกมนุษย์ผู้ต่ำต้อยได้อย่างง่ายดาย

ไม่มีใครคิดว่าตัวแทนจากฝ่ายชาวทะเลกลับต้องพ่ายแพ้สองคู่ติดๆ กัน

พวกมันรู้สึกอับอายยิ่ง

คณะทูตจากจักรวรรดิจี้กวงล้วนแสดงสีหน้าที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจและความตกตะลึง

พวกเขาสรุปเอาจากข้อมูลก่อนการประลองครั้งนี้ ว่าชาวทะเลมีเจตนาดูหมิ่นและทรมานชาวจักรวรรดิเป่ยไห่ให้ต้องอับอายต่อหน้าผู้คนของจักรวรรดิจี้กวง

แต่หารู้ไม่เลยว่าผู้คนชาวเป่ยไห่กลับซุกซ่อนเขี้ยวเล็บไว้ได้น่ากลัวถึงเพียงนี้

ในฐานะที่เป็นศัตรูเก่าแก่กันมาเนิ่นนาน พวกเขาก็อดรู้สึกสะท้อนใจขึ้นมาไม่ได้

เจ้าชายอวี้ชินหวังกำลังส่ายหน้าเล็กน้อย

ชาวทะเลไร้เดียงสาเกินไป

เขานึกว่าพวกมันจะทำการบ้าน ค้นคว้าข้อมูลของผู้คนในจักรวรรดิเป่ยไห่มาเป็นอย่างดี แต่เท่าที่เห็น ชาวทะเลยึดมั่นในศักดิ์ศรีของตนเองมากเกินไป จนสุดท้ายก็มองไม่เห็นมนุษย์อยู่ในสายตา

ตัวอย่างชัดเจนที่สุดก็คือ การเก็บข้อมูลเกี่ยวกับหลิงไท่ซวีของชาวทะเล

เห็นได้ชัดว่าพวกมันสนใจแต่เพียงภาพลักษณ์ภายนอกของชายชราเท่านั้น

พวกมันไม่รับรู้เลยว่าอดีตเทพเจ้าแห่งการสังหารผู้นี้ มีความน่ากลัวซุกซ่อนอยู่มากแค่ไหน

เจ้าชายอวี้ชินหวังจ้องมองไปที่หลิงไท่ซวี

ในหัวใจเกิดความรู้สึกแปลกประหลาดขึ้นมาชนิดหนึ่ง

เมื่ออยู่บนเวทีประลอง ชายชรามีสง่าราศีเหมือนเทพเจ้าที่โบยบินลงมาจากสรวงสวรรค์ แม้แต่พลังที่แผ่ออกมาจากร่างกายก็ผิดแผกแตกต่างไปจากเดิม

ไม่เหลือเค้ารางของการเป็นเทพเจ้าแห่งการสังหารในสมรภูมิแห่งความตายแม้แต่นิดเดียว

ราวกับว่าชายชราได้เริ่มต้นชีวิตใหม่

แต่เพราะเหตุใดกัน หลิงไท่ซวีถึงกลายเป็นบุคคลเช่นนี้?

เพราะเหตุใด เขาถึงละทิ้งศักดิ์ศรีและความยิ่งใหญ่ของนักรบผู้มีสถานะเป็นเทพเจ้าแห่งสงคราม?

หรือว่าหลิงไท่ซวีต้องการจะทำอะไรบางอย่าง?

เจ้าชายอวี้ชินหวังให้ความเคารพจากใจจริงว่าหลิงไท่ซวีเป็นศัตรูผู้แข็งแกร่งที่สุดสำหรับจักรวรรดิของเขา

ทันใดนั้น…

ครืน!

พลังลมปราณที่รุนแรงสายหนึ่งก็แผ่ปกคลุมผืนฟ้า ลานจัตุรัสตกอยู่ภายใต้พลังกดดันที่หนักหน่วง คล้ายกับว่าเทพเจ้าแห่งความตายกำลังคืบคลานขึ้นมาจากขุมนรก และพร้อมแล้วที่จะกระชากวิญญาณทุกคนออกจากร่างกาย

พลังลมปราณเหล่านั้นมีสีดำเข้มเหมือนวิญญาณร้าย

แม่ทัพฉลามอู๋หยาทิ้งตัวลงไปยืนอยู่บนเวที

เขายกมือขึ้นกระดิกนิ้วเรียกหลินเป่ยเฉิน

“การต่อสู้คู่ที่สามจะเป็นเจ้ากับข้า” เสียงพูดเย็นเยียบยิ่งกว่าธารน้ำแข็งหมื่นปีที่ไม่มีวันละลาย

ทุกคนที่ได้ยินคำพูดนั้นอดตัวสั่นเทาขึ้นมาไม่ได้

หลินเป่ยเฉินสูดหายใจลึกๆ

เขาดึงปืนไรเฟิล 98k กลับมาจากมือของเซียวปิง

“เสี่ยวจี้ ช่วยสแกนคิวอาร์โค้ดหาจุดอ่อนของแม่ทัพฉลามตัวนี้ให้หน่อย”

เด็กหนุ่มออกคำสั่งอยู่ในใจ

นี่คือการต่อสู้ที่มีความสำคัญมากที่สุดของวันนี้

หลินเป่ยเฉินจำเป็นต้องระมัดระวังตัวให้มากที่สุด และก่อนขึ้นเวที เขาก็ต้องรู้เสียก่อนว่าฝ่ายตรงข้ามมีจุดอ่อนอยู่ที่ตรงไหน

เพราะว่าเมื่อขึ้นไปอยู่บนเวทีประลอง หลินเป่ยเฉินก็มั่นใจว่าตนเองคงไม่มีเวลาได้สแกนร่างกายของแม่ทัพฉลามอู๋หยาแน่ๆ

ไม่กี่ลมหายใจต่อมา ผลการสแกนก็ออกมาว่า…