บทที่ 744 เหมือนกับเสด็จแม่ของเจ้า

องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ

องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 742 เหมือนกับเสด็จแม่ของเจ้า

ฉีเฟยอวิ๋นรอ ใบหน้าของฮั่วหลงบิดเบี้ยวม่วงคล้ำ ผ่านไปสักพักหนึ่งหนอนพิษกู่ก็ไร้เสียง ทนไม่ไหวจนคลานออกมา

แต่หนอนพิษกู่เล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวมาก เมื่อเข้าไปเป็นกาฝากในท้องคนแล้วไม่ยอมออกมา นอกจากนี้ยังมีแรงดึงดูดมหาศาลด้วย

และเวลานี้หนอนพิษกู่ได้รับการดึงดูด แต่ทว่ากลับง่ายต่อการตกใจ มันหยั่งเชิงเข้าออกจนฮั่วหลงจะไม่ไหวแล้ว

ฉีเฟยอวิ๋นรีบร้อน

หนานกงเย่มองฉีเฟยอวิ๋น คิ้วขมวดเข้าหากัน ฉีเฟยอวิ๋นใช้ปากบอกใบ้สิ่งเหล่านี้กับหนานกงเย่ว่า“ไม่ออกมาทั้งหมดนั้นไม่ได้ มันเข้าไปแล้วไม่มีทางออกมาอีก ต้องรอมันออกมา

หนอนพิษกู่ค่อยๆออกมา ยื่นมาได้ประมาณหนึ่งเมตร ฉีเฟยอวิ๋นถอยไปสองก้าว เลือดจนจะแห้งแล้ว หนอนพิษกู่ค่อนข้างรีบร้อน เคลื่อนไหวคล้ายดั่งงู ร่างกายของมันเหมือนลำไส้ที่เปื้อนเลือด เหม็นและน่าสะอิดสะเอียนอย่างมาก

ฉีเฟยอวิ๋นถอยหลังไปอีกสองก้าว ไม่นานหนอนพิษกู่ได้ตามออกมา

หางของมันมีกรงเล็บ กระทั่งกรงเล็บออกมา ฉีเฟยอวิ๋นยังถอยหลังอยู่

ห่างออกจากคนแล้ว หนอนพิษกู่เลยหันไปโจมตีฉีเฟยอวิ๋น

“ท่านอ๋อง….”

พอฉีเฟยอวิ๋นร้องขึ้น หนานกงเย่เลยรีบปกป้องฮั่วหลง ฉีเฟยอวิ๋นส่งเข็มเงินสามเล่มออกไป หนอนพิษกู่ถูกเข็มทิ่ม เลยหดตัวอยู่บนพื้น กองทัพชื่อจินจื่อที่อยู่บนพื้นจัดการกวาดล้างกินหนอนพิษกู่ทันที หนอนพิษกู่ส่งเสียงร้องโหยหวน แต่มันไม่สามารถกลับไปได้แล้ว

ราชาแมลงรีบปีนป่ายออกมา ร้องอยู่ข้างหูฉีเฟยอวิ๋น

ฉีเฟยอวิ๋นมองไปทางซูอู๋ซิน กล่าวว่า“ท่านก็มีหนอนตัวหนึ่งใช่หรือไม่?”

“แต่มันไม่ชอบเลือดของเจ้า”ซูอู๋ซินมองมือของบุตรสาวแล้วรู้สึกระทมสงสาร

“เช่นนั้นไม่จำเป็นแล้ว”ฉีเฟยอวิ๋นหยิบยาลูกกลอนออกมากินลงไป หน้าอกของซูอู๋ซินเคลื่อนไหวเล็กน้อย เขาทรมานถอยหลังไปหนึ่งก้าวแล้วจับกดบริเวณหน้าอก

“เจ้ากินอะไร?”

”หนิงเซียงหวัน ใช้ในด้านความงาม”ฉีเฟยอวิ๋นมองหนานกงเย่ ล้วนทำเพื่อเขา ถึงได้ต้องการดูแลสุขภาพ คิดไม่ถึงว่าได้ใช้แล้ว

“ข้าขอลองดู หากว่ามันออกมาก็ออกมา ไม่ออกมาก็แล้วไป”

ซูอู๋ซินยิ้มกล่าวว่า“ได้”

ซูอู๋ซินมองมือเล็กน้อย ใช้นิ้วมือกดขีดบริเวณข้อมือ จากนั้นเลือดหยดออกมา ซูอู๋ซินเลยยื่นมือออกไป

ฉีเฟยอวิ๋นใช้กริชกรีดอีกครั้ง เลือดไหลออกอย่างรวดเร็ว ไม่เช่นนั้นบาดแผลของเธอก็จะสมานกันแล้ว

หนานกงเย่เอาฮั่วหลงวางไว้ด้านหนึ่ง แล้วมองฉีเฟยอวิ๋น แขนของซูอู๋ซินเริ่มชาแล้ว มีอะไรหล่นลงมา เคลื่อนไหลลงมาจากแขน

ฉีเฟยอวิ๋นเหลือบมองราชาแมลง ราชาแมลงได้กักเก็บตัว แมลงเป็นสีทอง คิดไม่ถึงว่าเป็นราชาแมลงอีกตัวหนึ่ง ฉีเฟยอวิ๋นแปลกใจมาก

ราชาแมลงสีทองบินไปทางฝ่ามือของฉีเฟยอวิ๋น ราชาแมลงที่อยู่บนตัวของเธอบินออกมากัดหนอนพิษกู่ทันที ทั้งสองตัวเกิดวิวาทกันขึ้นกลางอากาศ แต่สุดท้าย ราชาแมลงของฉีเฟยอวิ๋นได้เป็นฝ่ายชนะ ราชาแมลงกัดหนอนพิษกู่จนตาย กินอย่างเอร็ดอร่อยทีเดียวเชียว

ซูอู๋ซินยืนอยู่ที่เดิม มองหนอนที่ถูกกัดกินจนเสร็จอย่างสงบ

หนานกงเย่รีบเดินมาตรงหน้าของฉีเฟยอวิ๋น แล้วเอาผ้าพันทำแผลให้เธอ ฉีเฟยอวิ๋นทอดถอนหายใจออกมากล่าวว่า“ท่านอ๋อง ท่านเคยคิดว่าจะใช้เลือดของหม่อมฉันช่วยฮั่วหลงหรือไม่เพคะ?”

หนานกงเย่ชะงักงัน แล้วพันทำแผลต่อ กล่าวขึ้นว่า“เคยคิด แต่ข้าตัดใจไม่ลง ฮั่วหลงสามารถมีชีวิตอยู่ต่อได้ล้วนเป็นคุณงามความดีของอวิ๋นอวิ๋น หากเขามีชีวิตอยู่ ก็ค่อยๆรักษา….”

ฉีเฟยอวิ๋นลากดึงหนานกงเย่ไปดูฮั่วหลง จากนั้นกำที่มือของฮั่วหลงเพื่อจับแมะชีพจร มั่นใจแล้วว่าร่างกายของฮั่วหลงไม่มีหนอนพิษกู่ ถึงได้เอาเลือดให้ฮั่วหลงดื่ม

ฮั่วหลงไม่กล้า หนานกงเย่เลยกล่าวว่า“เจ้าดื่มเสีย เป็นยาพิษ ยาพิษที่อยู่ในร่างกายของพระชายาสามารถสังหารคนได้ เจ้าดื่มจะได้สุขภาพร่างกายแข็งแรงขึ้น”

แม้ว่าหนานกงเย่จะไม่รู้แน่ชัด ว่าเหตุใดถึงดื่มกินยาเลือดแล้วไม่ตาย แล้วฤทธิ์สารพิษรุนแรงด้วย

ฮั่วหลงไม่เข้าใจสถานการณ์ แต่เขาก็ดื่ม เพราะตั้งแต่ไหนแต่ไรเขาไม่เคยแย้งขัดคำสั่งของหนานกงเย่เลย

ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกว่าพอประมาณแล้ว จึงได้รีบห้ามเลือด

ราชแมลงกินอิ่มกลับมา ทะลวงเข้าไปในกระเป๋าพกติดตัวอยู่บริเวณหน้าอก นางก็อยากพักผ่อน

หนานกงเย่ประคองฉีเฟยอวิ๋น แล้วกล่าวว่า“ไม่เป็นไรใช่หรือไม่?”

“ไม่เป็นไรเพคะ เลือดนิดเดียว ท่านก็ใช่ว่าไม่เคยดื่ม”ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวยั่วแหย่ หนานกงเย่มองฮั่วหลง เป็นอย่างที่คิดฮั่วหลงฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว เขาก็มองร่างกายของตนเองอย่างตื่นตะลึง ไม่นานร่างกายก็ไม่บวมแล้ว ฉีเฟยอวิ๋นเลยยิ้มร่า

ฮั่วหลงลุกขึ้นยืน กำกำปั้นกล่าวว่า“นายท่าน กระหม่อมมีแรงด้วยพ่ะย่ะค่ะ”

“อืม ออกไปก่อน”

หนานกงเย่กล่าวแล้วเดินออกไปด้านนอก แต่ซูอู๋ซินไร้การเคลื่อนไหว

ฉีเฟยอวิ๋นหันไปถามว่า“ทำไมท่านถึงยังไม่ออกมา?”

“อืม”

ซูอู๋ซินถึงได้เดินตามออกไป

คนจำนวนหนึ่งเดินออกจากสุสาน ซูอู๋ซินเหลือบมองไปอีกด้านของสุสาน ฉีเฟยอวิ๋นถามว่า“ด้านนั้นมีอะไรหรือ?”

“ด้านนั้นเป็นสุสานของเสด็จปู่เจ้า เจ้าไปเยี่ยมดูหน่อยก็ดี”

พูดจบซูอู๋ซินก็ไม่ได้สนใจว่าเธอจะตอบตกลงไปหรือไม่ เขาเลยเอียงตัวเคาะประตู จากนั้นประตูเลยเปิดออก

ฉีเฟยอวิ๋นชะงักงัน ซูอู๋ซินสาวเท้าก้าวเข้าไป ความเยือกเย็นของด้านในโผมากระทบ ราชาหนอนดันกางไม่ไหวเลยออกมา

ฉีเฟยอวิ๋นเหลือบมองหนานกงเย่กล่าวว่า“ท่านอ๋อง หม่อมฉันจะไปดู ท่านอ๋องส่งฮั่วหลงออกไป หม่อมฉันคือลูกสาวของเขา เขาไม่มีทางที่จะทำร้ายหม่อมฉันหรอกเพคะ”

“ไม่ได้ ข้าไม่วางใจ”

“ท่านอ๋องไปก่อน หม่อมฉันดูแลตัวเองได้ ถ้าฟ้าสางแล้ว ใครก็ไปไหนไม่ได้แล้ว”

หนานกงเย่มองฮั่วหลง แม้ฮั่วหลงจะฟื้นฟูแล้ว แต่จะให้เขากลับไปลำพังก็ไม่ได้

ซูอู๋ซินกล่าวว่า“ช่วงเวลายามสามพวกเขาจะมา เจ้าออกไปก่อน ข้าจะดูแลอวิ๋นอวิ๋นเอง”

หนานกงเย่กล่าวว่า”ท่านต้องการนานเท่าไหร่?”

“ไม่แน่ใจ เจ้าไปก่อนเลย”

ฉีเฟยอวิ๋นดันหนานกงเย่ กล่าวขึ้นว่า“ท่านอ๋องกลับไปก่อนเถิดเพคะ”

“ข้ากลับไปแล้วจะมา”

“ไม่ได้ ท่านอ๋องรออยู่ที่เรือน หากหม่อมฉันเป็นอะไร จะรายงานท่านอ๋องแน่”

หนานกงเย่ดึงมือของฉีเฟยอวิ๋นมาจูบ กล่าวว่า“ก่อนเช้ายังไม่กลับมา ข้าจะมาตามหาที่นี่ หากหาที่นี้ไม่เจอข้าจะไปหาที่พระราชวังปีกใต้”

“เพคะ”

ฉีเฟยอวิ๋นพยักหน้า หนานกงเย่ถึงได้กลับไป มองเห็นหนานกงเย่กลับไปแล้วเธอถึงได้ตามซูอู๋ซินเข้าไป

ซูอู๋ซินเข้าไปรอฉีเฟยอวิ๋น ฉีเฟยอวิ๋นเดินไปอยู่ข้างกายของซูอู๋ซิน ซูอู๋ซินก้มศีรษะลงมองฉีเฟยอวิ๋น กล่าวขึ้นว่า“เจ้าเหมือนกับเสด็จแม่ของเจ้ามาก ชอบสวมใส่ชุดผู้ชาย จำได้ครั้งแรกที่เจอนาง ก็ที่ปีกใต้ พ่อเจอนางครั้งนั้น นางคิดว่าดูไม่ออกว่านางเป็นหญิง นางติดตามอยู่ข้างกายพ่อดื่มเหล้ากินอาหาร แล้วไปที่ซ่องโสเภณี

วันนั้นพวกเรานอนด้วยกัน นางตกใจเป็นอย่างมาก!”

ซูอู๋ซินกล่าวเต็มไปด้วยรอยยิ้ม เขาหมุนตัวเข้าด้านใน ฉีเฟยอวิ๋นค่อนข้างห่อเหี่ยวใจ เธอไม่ใช่แบบนี้ เพียงแต่สถานการณ์บังคับ พอได้ยินซูอู๋ซินพูด คล้ายดั่งว่าเจ้าของร่างเดิมไม่เหมือนพวกเขาสักนิดหนึ่งเลย แต่คล้ายดอกไม้ที่งดงามอย่างมหัศจรรย์

สภาพแวดล้อมมีผลกระทบไม่ง่ายที่จะประเมินต่ำเกินไป

ฉีเฟยอวิ๋นไม่พูดไม่จาเดินตาม ซูอู๋ซินกล่าวด้วยความขำขันว่า“เจ้านี่นะ จริงๆเลย เหมือนกับเสด็จแม่เจ้า เสด็จแม่ของเจ้าถูกคนพูดจี้ใจ ก็เดินตามไม่พูดไม่จา”

“วันนี้ข้างกายขององค์จักรพรรดิณีมีสามพระตำหนักหกเรือนเจ็ดสิบสองนางสนมกำนัลใน”ฉีเฟยอวิ๋นก็ไม่รู้ว่าทำไม พอคิดถึงนึกได้ก็เลยพูดขึ้นมา

ซูอู๋ซินหยุดฝีเท้าลง มองฉีเฟยอวิ๋นและกล่าวว่า“เจ้าเรียกจักรพรรดิณี พวกเจ้าไม่สนิทสนมกันหรือ?”

“ท่านมองข้ามสิ่งที่ข้าต้องการจะพูด?”ฉีเฟยอวิ๋นเตือน

ซูอู๋ซินยิ้มราวกับสายลมยามวสันตฤดู“อารมณ์ของเจ้ากับเสด็จแม่ของเจ้าเหมือนกันเลย ความสามารถไม่มีเท่าไหร่ ความกล้าหาญไม่น้อย กล้าที่จะท้าทาย ยุให้รำ ตำให้รั่วนี่เก่งมาก!”

ซูอู๋ซินหมุนตัวเดินไป โดยไม่ได้สนใจคำพูดฉีเฟยอวิ๋นเลย ฉีเฟยอวิ๋นตามอยู่ด้านหลังก็ไม่มีอะไรจะพูด

ทั้งสองคนเดินเข้าไปในห้องสุสาน ด้านในมีสิ่งของที่ฝังไว้กับศพเป็นจำนวนมากนับไม่ถ้วน เช่นไข่มุกหินโมรา หยกมรกตอัญมณี และเมื่อสมัยก่อนบนพระศพจะถือเฉาจูเป็นสร้อยลูกประคำอยู่ในมือ มันงดงามมาก แม้ว่าฉีเฟยอวิ๋นจะเคยเห็นมาก่อน แต่พอมาถึงที่นี่ก็ไม่เพียงแต่ตื่นตะลึง