บันทึกมงกุฎขนนก (นิยายแปล)

บทที่ 19 เกิดเรื่องร้ายแรง

วันนี้ในชั้นเรียนที่ 4 อาจารย์ลู่ขอร้องให้ทุกคนวาดโครงเส้นบนเดือนทองแดงและเติมสีสันให้สวยงาม ก่อนส่งให้เป็นการบ้าน นางต้องการเลือกชิ้นที่มีผลงานดีหลายชิ้น เพื่อส่งไปให้ส่วนเตาเผาจัดการเผาชิ้นงานออกมา

ภาพลวดลายห่านป่าคู่คาบริบบิ้นของเซียะหรูอิง ลายเส้นภาพความสุขปรากฏขึ้นบนใบหน้าของหลินซี หวังจื่อหรงกับลายเส้นทางเดินแห่งไผ่มรกต บนเดือยทองแดงของทั้งสามล้านถูกอาจารย์ลู่เลือกทั้งสิ้น แต่เมื่อเห็นภาพพันธุ์ไม้เลื้อยเต็มสระที่อ่อนช้อยงดงามของฮวาหว่าน อาจารย์ลู่ถึงกับตะลึงงัน

แม้ว่าระดับความยากของภาพไม้เลื้อยเต็มสระจะไม่ได้ถือว่าเป็นรูปแบบยากที่สุด แต่เมื่อเทียบกับภาพอื่นๆ แล้วนับว่ามีความสลับซับซ้อนมากกว่าหลายเท่า

นิ้วมือของอาจารย์ลูบไปตามลวดลายเส้นบนเดือยทองแดง ยังมีจุดบกพร่องอยู่บ้าง การจัดการรายละเอียดปลีกย่อยยังไม่ค่อยเรียบร้อยสมบูรณ์นัก แต่ว่าการที่เพิ่งเป็นนักเรียนระดับต้น สามารถวาดลายเส้นของเส้นทองแดงให้มีระดับความราบรื่นได้ขนาดนี้นับว่าไม่ง่ายดายเลยทีเดียว โดยเฉพาะสีที่ใช้ก็สวยงามยิ่งนัก

อาจารย์ลู่ตะโกนเรียกฮวาหว่านให้มาที่ชั้นด้านหน้าห้องเอ่ยถามหลายประโยค เพื่อที่จะยืนยันให้แน่ใจว่าเดือยทองแดงนี้เป็นนางทำจนสมบูรณ์เพียงคนเดียวเท่านั้น การใช้สีด้านบนก็จะต้องไม่ได้รับคำแนะนำจากบุคคลอื่นอีกด้วย

หลังจากที่ถามเสร็จอาจารย์ลู่ไม่ลังเลแม้แต่น้อยที่จะนำเดือยทองแดงของฮวาหว่านไปยังโรงเผาอีกรูปแบบหนึ่ง ในใจเต้นระทึกเล็กน้อย อาศัยพรสวรรค์ด้านเทคนิคฝีมือทางศิลปะของฮวาหว่าน ถ้าหากว่าอาจารย์ส่งเสริมได้ถูกทางอีก ไม่ต้องรอให้ถึงหนึ่งปี ระดับฝีมือด้านศิลปะก็ไม่อาจที่จะคาดคำนวณได้แล้ว

เมื่อนำทองแดงลงลายเส้นทั้งหมดตรวจสอบเสร็จสิ้นแล้ว อาจารย์ลู่ก็เตรียมตัวหารือกับทุกคนในเรื่องเทคนิคต่างๆ คิดไม่ถึงว่าพอหมุนศีรษะเหลือบมองไปด้านข้างก็เห็นอาจารย์เฉินของชั้นเรียนที่ 3 ยื่นอยู่ตรงช่องหน้าต่างมองกลับมาที่นางด้วยสายตาโกรธเคือง

อาจารย์ลู่รู้สึกสงสัยจึงยกเปิดม่านไม้ไผ่ ทำความเคารพอาจารย์เฉินเล็กน้อย กล่าวถาม “ไม่ทราบว่าอาจารย์เฉินมีธุระอันใดหรือ?”

ช่วงต้นของยามซื่อ (09:00 – 11:00 น.) เป็นช่วงเวลาเข้าเรียน ตามระเบียบแล้ว ผู้อื่นไม่สามารถรบกวนการสอนได้

อาจารย์ขมวดคิ้วเอ่ยปาก “ชั้นเรียนที่ 4 ของท่านมีนักเรียนที่ชื่อฮวาหว่านใช่หรือไม่?”

พอเห็นว่าอาจารย์ลู่พงกศีรษะผงกศีรษะ อาจารย์เฉินก็ทำปิ่นไม้จันทร์ไม้จันทน์ร่วงหล่นใส่ทันที อาจารย์ลู่รีบยื่นมือรับ

“ท่านดูแล้วกัน”

ภาพดอกบัวปกคลุม นกเป็ดน้ำคู่หนึ่งทะยานปีกกระทบผิวน้ำ คลอเคลียอิงแอบแนบชิดกัน ฝีมือประณีตน่าชื่นชม อาจารย์ลู่ชมเชยจนต้องเอ่ยปากขึ้นเป็นครั้งแรก “วัสดุที่ดีนัก อาจารย์เฉินนำมาให้ข้าร่วมชื่นชมกระนั้นหรือ?”

อาจารย์เฉินกลับไร้อารมณ์ ถลึงตามองอาจารย์ลู่ “ยังวหัวเราะออกมาได้อีก ฮวาหว่านของพวกเจ้าชั้นเรียนที่ 4 ช่างก่อเรื่องร้ายแรงนักนะ อันนี้คือสิ่งที่นางแกะสลัก……”

อาจารย์หัวใจดิ่งวูบ เมื่อฟังจบอาจารย์เฉินบรรยายผลลัพธ์ที่มาที่ไปจนจบ สีหน้าไม่สบายอกสบายใจเหมือนก่อนหน้านี้อีกแล้ว

เดิมทีตงเยว่หลานของชั้นเรียนที่ 3 เป็นญาติห่างๆ ของคนในที่ว่าการของผู้ว่าการเส้า ซึ่งมีตำแหน่งเป็นถึงจู่ปู้ (เลขานุการเขต) ซึ่งนามของจู่ปู้ผู้นั้นก็คือตงยู่ ตงยู่ผู้นี้เองที่ไปคุยโวโอ่อวดต่อหน้าบิดาของตงเย่วหลานว่า ทั้งยังให้คำมั่นสัญญาว่าจะพาตงเย่วหลานเข้าฝ่ายเครื่องไม้ของสำนักอักษรได้อย่างแน่นอน

จากวันนี้ไปการเลือกคนเข้าในทั้งหกสำนักยังมีเวลาเหลืออีกครึ่งปี ตงยู่ค้นพบว่าเรื่องของการเลือกคนนั้นเขาแค่คนเดียวทำไม่ได้ทั้งหมด ผู้ดูแลและเหล่าหัวหน้าของทั้งหกสำนักเหล่านั้น ต่างล้วนมีความสามารถทางศิลปะเป็นของตนเองทั้งนั้น ล้วนแต่สามารถได้รับการเรียกเข้าพบจากคนทั้งในและนอกวังไม่ว่าจะเป็นฮ่องเต้หรือเชื้อพระวงศ์ชั้นสูง ดังนั้นจึงจำเป็นจะต้องเล็งการณ์ไกล บางครั้งแม้แต่ผู้ว่าการเส้ายังกล้าที่จะพวกเขาก็ยังกล้าที่จะปะทะ

ตงยู่แม้จะกลัดกลุ้มใจแต่ก็ไม่มีทางเลือกอื่น ได้แต่ทำเป็นไม่ได้ตั้งใจเอ่ยเรื่องตงเย่วหลานผู้ซึ่งเป็นหลานสาวห่างๆ ต่อหน้าหัวหน้าฝ่ายเครื่องไม้ เพื่อให้หัวหน้าฝ่ายเครื่องไม้เกิดความประทับใจในตัวตงเย่วหลานเป็นลำดับแรกๆ

มองจากในระยะยาวการกระทำนี้ของตงยู่ กลับมีประโยชน์นัก กระตุ้นให้หัวหน้าฝ่ายเครื่องไม้เกิดความใคร่รู้ ถึงกับสั่งให้หลานสาวของตงยู่นำผลงานแกะสลักไม้ที่ปรกติทำในเวลาเข้าเรียนไปให้เขาพิจารณา

ตงยู่ดีใจมากเมื่อมองไปข้างหน้า จึงตั้งใจเสาะหาไม้จันทร์ไม้จันทน์แดงโบราณล้ำค่าราคาแพง ส่งมอบให้หลานสาวเพื่อให้นางคว้าโอกาสที่ดีนี้ไว้ให้ได้ จะต้องใช้ใจแกะสลักให้ดี แกะสลักให้ประณีต ทั้งยังต้องแกะสลักให้สำเร็จ หัวหน้าฝ่ายเครื่องไม้จะได้มองนางในมุมมองใหม่

หากตงเย่วหลานมีความสามารถจริง ๆ แล้วก็คงไม่เป็นไรนัก แม้ว่านางจะเข้ามาอยู่ที่โรงเรียนช่างศิลป์หลายเดือนแล้วก็ตาม ยามเบื่อๆ กลับไม่ตั้งใจฝึกฝน ซึ่งดูจากพื้นฐานแล้วนางเองก็คงไม่สามารถที่จะแกะสลักงานไม้ที่จะเข้าตาของหัวหน้าฝ่ายเครื่องไม้ได้เป็นแน่

ดังนั้นตงเย่วหลานคิดไปคิดมา จึงได้แต่ให้ฮวาหว่านเป็นคนออกความคิด

หัวหน้าฝ่ายเครื่องไม้เมื่อพิจารณาปิ่นปักผมไม้จันทร์ไม้จันทน์แดงแล้วก็พบว่าคนแกะสลักมีคุณสมบัติซ่อนเร้นบางอย่าง แต่ว่าเข้ากลับไม่ไปพบกับตงยู่กลับเรียกอาจารย์เฉินชั้นเรียนที่ 3 ของตงเย่าเยว่หลานมาซักถาม อาจารย์เฉินนั้นมีความคุ้นเคยกับระดับฝีมือของนักเรียนในชั้นตนเองเป็นอย่างดี จึงรู้ถึงความผิดพลาดในทันทีว่าไม่ใช่ฝีมือการประดิษฐ์ของตงเยว่หลาน

เรื่องนี้หากจะตรวจสอบความชัดเจนนั้นไม่ง่ายดายนัก ฮวาหว่านนั้นแม้จะไม่มีความผิดแต่ก็เข้าข่ายสมรู้ร่วมคิด

อาจารย์เฉินกล่าวอย่างเย็นชา “หัวหน้าฝ่ายเครื่องไม้เหตุเพราะเรื่องนี้จึงได้เข้าพบกับท่านราชครู และท่านราชครูก็โกรธเป็นอย่างมาก ให้ร้ายว่ากฎเกณฑ์ของนักเรียนในโรงเรียนช่างศิลป์จะต้องถูกถอดถอนกำจัดให้หมด คำพูดของตงเย่วหลานที่ว่าเป็นฮวาหว่านออกความคิดนั้น เนื่องจากฮวาหว่านเป็นคนเสนอความคิดแกะสลักปิ่นปักผมนั้นให้กับนางเอง นางก็แค่ถูกหลอกให้คล้อยตามเท่านั้น”

อาจารย์ลู่กล่าวอย่างไม่พอใจ “คำพูดไร้สาระนี้ ฮวาหว่านเองไม่เคยรู้จักกับตงเย่วหลานเลยสักนิด จะมาพูดว่าเป็นนางคนออกความคิดที่จะเสนอตัวแกะสลักปิ่นปักผมนั้นได้อย่างไรกันเล่า?”

อาจารย์เฉินกวาดสายตามองอาจารย์ลู่ “ข้าทราบแล้ว หากแต่จะอย่างไรได้เล่า? ท่านลุงของตงเย่วหลานเป็นคนของผู้ว่าการเส้า คาดเดาได้เลยว่าก็ต้องปกป้องกัน ส่วนฮวาหว่านนั้นเล่า เจ้าก็จัดการเองก็แล้วกัน”

อาจารย์ลู่ส่ายศีรษะ ถอนใจช้าๆ ยังคงกลับเข้าชั้นเรียนที่ 4 เพื่อสอนวิธีการแกะสลักลายเส้นต่อ”

เสียงกลองดังขึ้นหกครั้งบอกเวลาเลิกเรียน อาจารย์ลู่เรียกให้ฮวาหว่านอยู่กับนางก่อนเพื่อพูดคุยกันตามลำพัง หลินซีดึงชายเสื้อของฮวาหว่าน กระซิบกระซาบที่ข้างหู “อาจารย์จะต้องชมเจ้าแน่นอนเลย ลวดลายพันธุ์ไม้เลื้อยเต็มสระนั้น มีแต่เจ้าเท่านั้นที่จะคิดขึ้นมาได้ ข้าไม่รอเจ้าดีกว่า ขอไปโรงอาหารก่อนแล้วกันนะ”

ฮวาหว่านเขินอายจนต้องหัวเราะแหะแหะ หลังจากกล่าวอำลากับหลินซีแล้วก็รีบไปที่ข้างกายของอาจารย์ลู่

อาจารย์ลู่เคร่งขรึมอยู่ครู่ใหญ่ ชั้นเรียนที่ 4 เหลือเพียงแค่พวกนางสองคน นอกหน้าต่างมีเสียงร้องของจักจั่นแว่วเข้ามา ยิ่งขับเน้นให้บรรยากาศของชั้นเรียนที่ 4 มีความกดดันขึ้นอีก

“ท่านอาจารย์ลู่?” ฮวาหว่านสังเกตเห็นถึงความไม่ถูกต้อง จึงตะโกนเรียกอย่างขลาดเขลา

หางคิ้วของอาจารย์กระดกขึ้น กล่าวเสียงเย็นชา “ได้ยินมาว่าช่วงนี้เจ้ารู้สึกเบื่อหน่าย จนต้องไปช่วยแกะสลักให้ผู้อื่นไปทั่ว ได้รับคำเยินยอสรรเสริญมาไม่น้อยสินะ ผู้คนรอบทิศถึงล้วนมารายงานชื่นชมว่าเจ้าช่างเป็นพรสวรรค์นัก”

ฮวาหว่านตื่นตกใจ นางตอบสนองอย่างโง่เขลาทั้งยังฟังออกว่าอาจารย์ลู่กำลังใช้ถ้อยคำเสียดสีและถากถางนางอยู่ ดวงตานางเริ่มร้อนผ่าว รีบกล่าวคำสำนึกผิด “ท่านอาจารย์ลู่ ข้าขอโทษ ศิษย์เข้าใจผิดว่าว่านั่นเป็นของขวัญที่เพื่อนร่วมโรงเรียนมอบให้ด้วยไมตรีจิต ไม่เคยคิดที่จะต้องการคำเยินยอชมเชยอันใดทั้งสิ้น ศติสติปัญญาของศิษย์ก็แค่ธรรมดาเท่านั้น ไม่เคยคิดทำตัวโง่เขลาอวดฉลาด ยามปกติก็แค่พยายามฝึกฝนให้มากขึ้นก็เท่านั้น ศิษย์ทำเรื่องยุ่งยากวุ่นวายให้ท่านอาจารย์ลู่เสียแล้ว ต่อไปภายหลังศิษย์ไม่กล้าทำอีกแล้ว”

ในใจของอาจารย์ลู่สั่นไหว ฮวาหว่านไม่ได้เถียงข้างๆ คูๆ เลยสักนิดหากแต่ยอมรับและสำนึกผิด ความจริงแล้วเรื่องนี้นางเองก็รู้ดีว่าฮวาหว่านไม่มีความผิด หากจะหาความผิดพลาดแล้วล่ะก็ละก็ คงเป็นเพราะเหตุที่นางไม่รู้จักที่จะปฏิเสธ ไม่รู้ว่าเมื่ออยู่ในโรงเรียนช่างศิลป์สิ่งที่ไม่มีความจำเป็นที่สุดก็คือการอุ้มชูผู้อื่นหรือถูกยกชูให้เป็น ‘ผู้ช่วยเหลือ’

โรงเรียนช่างศิลป์กับสำนักอักษรหก็เช่นเดียวกัน ทุกคนล้วนแล้วแต่ต้องพึ่งพาอาศัยความขยันหมั่นเพียรของตนเอง ถึงจะสามารถเรียนรู้ได้ถึงความสามารถที่แท้จริงของตนเอง

อาจารย์ลู่ก้มศีรษะลงหยิบลูกบอลน้ำมันหอมระเหยไม้ที่แกะสลักเป็นรูปห่านป่าขึ้นมาเล่น กล่าวน้ำเสียงจืดชืด “ช่วยทำปิ่นปักผมไม้แกะสลักแทนตงเย่วหลานของชั้นเรียนที่ 3 จนทำให้เกิดเรื่องร้าบยร้ายแรงขึ้น” เรื่องนี้พัวพันไปถึงของสำนักผู้ว่าการรัฐเส้าและสำนักอักษร ท่านราชครูเองต้องการให้เจ้าถอยออกจากเรื่องนี้อย่างใสสะอาด ตอนบ่ายก็ไม่ต้องไปที่ชั้นเรียนที่ 4 แล้ว”

ประกายตาของฮวาหว่านโง่งม ราวร่วงหล่นไปในน้ำจนท่วมตัวทั้งเยือกเย็นทั้งหนาวสั่น ตากลมโตทั้งคู่กระพริบกะพริบประกายหยดน้ำตา นางเองอยากจะลงไปคุกเข่าตรงอาจารย์ลู่สะอึกสะอื้นกล่าว “ท่านอาจารย์ลู่ ศิษย์ผิดไปแล้ว จากนี้ไปจะไม่กล้ารับปากผู้อื่นตามอำเภอใจอีกแล้ว จะไม่แกะสลักปิ่นปักผมไม้แทนผู้อื่น ขอร้องท่านอาจารย์อย่าไล่ศิษย์ออกไปเลย”

อาจารย์ลู่มองฮวาหว่านอย่างประหลาดใจ “ใครพูดกันเล่าว่าจะขับไล่เจ้าออกไป? เพียงแต่ข้าเองที่ต่ำต้อย อีกทั้งเจ้าเป็นคนที่ท่านหัวหน้าหลัวแนะนำให้เข้ามาที่นี่ ท่านราชครูโกรธเคือง อย่างไรก็ต้องมีคำชี้แจง ดังนั้นบ่ายนี้เจ้าเองก็ปิดประตูใคร่ครวญให้ดีแล้วกัน อย่ามาที่ชั้นเรียนที่ 4 อีก”

ฮวาหว่านรีบร้อนลนลานพงกศีรษะผงกศีรษะ หัวใจเต้นตูมตามอย่างรุนแรง “ขอบคุณท่านอาจารย์ลู่ ศิษย์ต้องคิดทบทวนให้จริงจังอย่างแน่นอน”

“อยู่ในโรงเรียนช่างศิลป์ เจ้าคิดว่าตัวเองช่วยเหลือผู้อื่น หากแต่ความจริงแล้วกลับกลายเป็นทำร้ายทั้งตนเองและทำร้ายทั้งผู้อื่น กลับไปซะเถอะ บทเรียนครั้งนี้ก็จำให้ขึ้นใจ” อาจารย์ลู่โบกมือ ไม่สนใจในตัวของฮวาหว่านอีก

ฮวาหว่านโค้งคำนับต่ำ ในใจถดถอย ประโยคสุดท้ายที่ท่านอาจารย์ลู่กล่าวนั้น ฮวาหว่านเองยังไม่สามารถเข้าใจได้ทั้งหมด แต่ก็รับทราบถึงเจตนานั้น

ที่สุดแล้วก็คือทำเรื่องผิดพลาด แก้มทั้งสองข้างของฮวาหว่านร้อนผ่าว จิตใจสับสนวุ่นวาย ทั้งยังไม่อยากไปกินอาหารกลางวันที่โรงอาหารอีกแล้ว จึงได้แต่มุ่งตรงไปที่ห้องพัก