ถังซ่งกำลังตรวจร่างกายให้เขา สักพักหนึ่งได้ยินแค่เสียงทุ้มต่ำของเขาถามขึ้น “มือ เป็นอะไรไป?” “หืม?” ถังซ่งมองมือตัวเองแวบหนึ่ง “มือฉันทำไม?” เย่เซียวไม่สบอารมณ์อย่างมาก “ใครถามนาย?” “นายถามไม่ชัดเจนนี่นา” ไม่นานถังซ่งก็เข้าใจทันที “ถามถึงไป๋ซู่เย่สินะ? นายสูญเสียความทรงจำไปหรือไง ไม่ใช่ว่าโดนนายยิงเหรอ? แต่ว่านายก็ไม่ต้องกังวลไป แผลกระสุนนั่นเทียบไม่ติดกับที่นายโดนเลย” “ฉันหมายถึงนิ้วมือ!” เขาพบว่าถังซ่งนี่ปากมากจริงๆ! ถังซ่งเชยตามองเขา “นิ้วมือโดนนายหักไง ฉันว่า นายนี่ทำได้ลงจริงๆ เลยนะ หักนิ้วทั้งอย่างนั้นเลย ไม่รู้เลยว่าจริงๆ แล้วมีผู้หญิงกี่คนที่ต้องมาตายในมือนาย” “…” ปล่อยให้ถังซ่งพล่ามไป เย่เซียวกลับไม่ได้พูดอีก แค่ตีหน้าขรึมทำท่าขบคิดบางอย่างแล้วทิ้งสายตาไปนอกหน้าต่าง หลังจากเงียบไปครู่ใหญ่ถึงเอ่ยขึ้นใหม่ “ให้คนเข้ามาปิดหน้าต่าง ปิดผ้าม่านด้วย เย็นนิดหน่อย” …………………… หลังไป๋ซู่เย่ตื่นมาเห็นแค่หน้าต่างอีกฟากที่ปิดสนิทอีกครั้ง นั่นเป็นความระแวงที่เย่เซียวมีต่อตน หัวใจดำดิ่งลงลึก สุดท้ายระหว่างพวกเขาก็ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าความเชื่อใจ เธอไม่มีสิทธิ์จะไปร้องขอ สามวันหลังจากนั้นไป๋ซู่เย่ไม่เคยเจอเย่เซียวอีก หรือไม่ได้ก้าวเข้าไปที่เรือนหลักแม้แต่ก้าวเดียว เช้าวันที่สี่หยูอันมาหาเธอด้วยตัวเอง “คุณไปได้แล้ว หน้าประตูมีรถรออยู่แล้ว” ไป๋ซู่เย่พยักหน้ารับโดยไม่ถามอะไร เดินตามหลังหยูอันไป ในเมื่อเธอสามารถกลับได้แล้วนั่นบ่งบอกว่าอาการของเย่เซียวค่อยๆ หายดี อย่างนี้ก็ดี ก่อนจากไปเธอทักทายถังซ่ง ถังซ่งส่งเธอตลอดทางจนถึงหน้าประตูเขตสวนหลวงของราชวงศ์ “จากนี้ไม่รู้เลยว่าจะมีโอกาสได้เจอกันอีกมั้ยไหม” ไป๋ซู่เย่บอกถังซ่งขณะที่ยืนอยู่หน้าประตู ลมพัดผ่านไป น้ำเสียงที่เธอแสร้งพูดด้วยท่าทีสบายๆ ยังคงจับความเศร้าหมองได้บ้าง ไม่อาจเจอถังซ่งอีก ยิ่งไม่อาจได้เจอเย่เซียวอีก… ถังซ่งล้วงมือในกระเป๋าเสื้อกาวน์สีขาว “ต่อจากนี้ไม่เจอกัน เป็นเรื่องที่ดีเรื่องหนึ่งทั้งคุณและเขา หนึ่งเดือนที่ผ่านมาของพวกคุณสองคน จำนวนครั้งที่บาดเจ็บไม่น้อยแล้ว ถ้ายังเจอกันอีก ผมกลัวว่าพวกคุณจะไม่เหลือแม้แต่ชีวิตตัวเอง ดังนั้น จะอยู่ให้ทรมานตัวเองไปอีกทำไม?” ไป๋ซู่เย่พรูลมหายใจออก “นั่นสิ ต่อจากนี้…” พูดถึงนี่จู่ๆ เธอก็พูดไม่ออก ความจริงไม่มีคำว่าต่อจากนี้… ระหว่างเธอกับเย่เซียวไม่มีอนาคตกันจริงๆ อีกแล้ว… “ช่างเถอะ ไม่มีอะไร” ส่ายศีรษะไม่พูดต่อแค่เปลี่ยนหัวข้อคุยอีกเรื่องแล้วถาม “เครื่องดักฟังที่ดักฟังเย่เซียว ติดตั้งไว้ตรงไหน คุณบอกฉันทีได้มั้ยไหม?” ถังซ่งใช้สายตาสงสัยมองเธอ “คุณไม่รู้จริงๆ เหรอ?” “คุณก็ถือว่าฉันกำลังแสดงละครก็ได้ บอกตำแหน่งที่ชัดเจนให้ฉันทีได้มั้ยไหม?” ท่าทางที่ถังซ่งมีต่อเธอคล้ายกับเย่เซียวไม่มีผิด เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งแต่ก็ยอมบอกความจริง “วันที่สองหลังจัดงานฉลองวันเกิดของตระกูลยวิ๋น เจอที่คลิปหนีบเนกไทเส้นหนึ่ง” “คลิปหนีบเนกไท? คลิปหนีบเนกไทที่น่าหลันให้เขา?” “อันนี้ผมก็ไม่รู้แล้ว แต่ได้ยินเย่เซียวบอกว่าคลิปหนีบเนกไทนั่น ไปเอาด้วยกันกับคุณที่บ้านคุณวันนั้น” “งั้นก็บังเอิญจริงๆ” ไป๋ซู่เย่แค่นหัวเราะที ดูเหมือนว่าคนของกระทรวงความมั่นคงเคยมาเยือนบ้านเธอแล้ว ติดตั้งเครื่องดักฟังเสร็จสรรพ แต่ว่าเธอกลับไม่ทันระวังตัว “ถ้าจะนับจริงๆ เรื่องนี้ก็ไม่พ้นเกี่ยวข้องกับฉันจริงๆ” “ในเมื่อมีส่วนเกี่ยวข้องกับคุณ งั้นผมหวังว่าจะไม่มีครั้งต่อไปอีก ไม่อย่างนั้นคิดว่าคุณน่าจะไม่หลุดพ้นเหมือนคราวนี้ไปง่ายๆ” ไป๋ซู่เย่พยักหน้า “ฉันรู้” คนของหยูอันได้ขับรถมาแล้ว ไป๋ซู่เย่ไม่ได้คุยอะไรไปกับถังซ่งมากกว่านี้ ก่อนจากไปเผลอหันไปมองที่ชั้นสามของเรือนหลักแวบหนึ่ง… ตรงนั้นหน้าต่างปิดสนิทดังเดิม ไม่ค้างนาน เธอก้าวขึ้นรถให้อีกฝ่ายส่งเธอถึงท่าเรือหู่ซัน รถของไป๋หลางกลับมารออยู่ตรงนั้นอยู่แล้ว “รัฐมนตรี!” ทันทีที่เห็นเธอไป๋หลางรีบลงจากรถ ดวงตาคู่นั้นไล่กวาดตาทั้งตัวของเธอด้วยความเป็นห่วง “นายมาอยู่ที่นี่ได้ไง?” “ได้รับคำแจ้งจากพวกเขาแต่เช้าให้ผมมารับคุณ คุณไม่เป็นไรนะ?” “ไม่เป็นไร” ไป๋ซู่เย่ส่ายศีรษะ แผลตรงไหล่กับนิ้วมือกำลังอยู่ในช่วงสมาน ไป๋หลางเลยจับผิดสังเกตไม่ได้ เห็นเธอสบายดีจริงๆ ไป๋หลางเองก็โล่งอกไปที เธอเข้าไปนั่งในรถเปิดโทรศัพท์พบว่ามีทั้งอีเมลและสายที่ไม่ได้รับเข้ามามากมาย อย่างที่คิดเมื่อในสายที่ไม่ได้รับนั้นเป็นสายจากปลัดกระทรวงอยู่ไม่น้อย สีหน้าเธอขรึมลงเล็กน้อย ไป๋หลางกล่าว “หลายวันนี้ปลัดตามหาคุณจนแทบบ้า เขาสั่งไว้ว่าถ้าคุณกลับมาให้รีบไปหาเขา” “นายส่งฉันไปที่ห้องทำงานเขา” “ตอนนี้?” “อืม ตอนนี้” ไป๋ซู่เย่หยักหน้ารับ ไป๋หลางเองจึงไม่ชักช้าขับรถไปที่กระทรวงความมั่นคงโดยตรง ………………………… ไป๋ซู่เย่แสกนนิ้วมือขึ้นไปชั้นบนสุด มาถึงหน้าห้องทำงานถูกเลขาของปลัดขวางไว้ “รัฐมนตรี คุณรอสักครู่ ท่านนายพลทั้งห้าคนมากันหมด ตอนนี้กำลังประชุมอยู่ข้างใน” ไป๋ซู่เย่หยักหน้ารับ “ได้ ฉันจะรออยู่ข้างนอก” เลขาผงกศีรษะเล็กน้อย เคาะประตูห้องทำงานก่อนได้ยินเสียงของปลัดถึงผลักประตูเข้าไป แค่หนึ่งนาทีหลังจากนั้นก็กลับออกมา “รัฐมนตรีไป๋ ท่านปลัดให้คุณเข้าไปตอนนี้เลย” ไป๋ซู่เย่ผลักประตูเข้าไป “สวัสดีค่ะท่านปลัด นายพล” ทักทายสั้นๆ ปลัดทำท่าเป็นเชิงให้เลขาข้างหลังถอยออกไปก่อน จากนั้นนิ้วกดที่ปุ่มข้างๆ โซฟา ผ้าม่านของห้องทำงานทั้งหมดถึงค่อยๆ เลื่อนปิดลง หัวใจของไป๋ซู่เย่วูบโหวง ได้ยินเพียงเขากล่าว “เชิญนั่ง” ไป๋ซู่เย่ไม่มีอะไรจะพูด นั่งลงตรงข้ามปลัดกระทรวง “รัฐมนตรีไป๋ ขอให้คุณรายงานการเคลื่อนไหวในหลายวันนี้ของคุณด้วยตัวเองก่อน” สีหน้าปลัดตึงเครียด “ถูกพวกเขากักบริเวณ” “ดังนั้นคุณได้เห็นเย่เซียวด้วยตัวเอง?” ปลัดกระทรวงถามต่อ “เห็นเองกับตาจริงๆ” ได้ยินเธอว่าเช่นนี้ปลัดกลับหัวเราะ ยกน้ำชาตรงหน้าขึ้นจิบเบาๆ สองคำ ข้างๆ ท่านนายพลอู๋เองก็ส่งสายตาปลื้มใจไปทางไป๋ซู่เย่พร้อมพูดไปพยักหน้าชื่นชมไป “ใครๆ ก็ล้วนบอกว่ารัฐมนตรีไป๋ทำงานเก่ง ดูเหมือนว่าครั้งนี้ก็ไม่เว้น หลายวันนี้มีคนอยากเจอเย่เซียวมากเหลือเกินแต่ไม่มีใครได้เจอ ไม่คิดว่ารัฐมนตรีไป๋กลับมาปุ๊บก็ทำภารกิจสำเร็จ” มือของไป๋ซู่เย่ที่วางไว้หน้าขากระชับแน่น เพราะใช้แรงเกินไปทำให้แรงเกร็งตัวไปกระเทือนให้แผลตรงไหล่ปวดแปลบขึ้นมา แต่เธอไม่ได้เอ่ยปากใดๆ เพียงรอพวกเขาบอกจุดประสงค์มาให้ชัดเจนก่อน ปลัดวางแก้วน้ำชาลง “ซู่เย่ คุณเป็นคนฉลาดมาโดยตลอด ผมเองก็ไม่อ้อมค้อมกับคุณแล้วกัน” หยุดชะงักไปชั่ววูบ สายตาหนักแน่น น้ำเสียงจริงจังตามลำดับ “สำหรับเย่เซียวแล้วคุณยังคงพิเศษเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยน ผมคิดว่าจุดนี้คุณน่าจะรู้สึกเองได้ จากรูปภาพที่เราถ่ายมาได้เหล่านี้ก็ดูออก แล้วก็…วันที่คุณท่านคุณหญิงตระกูลยวิ๋นจัดงานฉลองวันเกิด คุณอยู่ในห้องของเย่เซียวทั้งคืน…” …………………………