‘ดูให้ดี เจ้านี่นิสัยไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่หรอก แต่หากถอดชุดเครื่องแบบออกก็เป็นสาวสวยคนหนึ่งเลย’ 

 

 

นางยืนอยู่ตรงที่ที่ชานเคยพูดเช่นนั้น แล้วย่อตัวลงกำดินขึ้นมา แน่นอนว่ามันเป็นเพียงแค่ดินที่เย็นเฉียบ แต่ปากของมินอาก็ยิ้มแย้มอย่างอบอุ่น ตั้งแต่เกิดมานั่นเป็นครั้งแรกที่มีคนเรียกว่าสาวสวย แถมยังเป็นผู้ชายที่ตนเองแอบมีใจให้ด้วย ดังนั้นนั่นจึงเป็นครั้งแรกที่นางหน้าแดงต่อหน้าผู้ชายเช่นกัน มินอาหวนนึกถึงความทรงจำสักพัก และในที่สุดก็ลุกขึ้นยืน 

 

 

“จะเข้าพักใช่ไหมเจ้าคะ” 

 

 

เสียงอันสดใสของหญิงสาวดังขึ้นข้างหู ดูท่าจะเหม่อมากทีเดียวจึงไม่รับรู้แม้กระทั่งเสียงประตูเปิด มินอายิ้มเจื่อนแล้วหมุนตัวไปหาหญิงสาวที่ออกมาจากด้านใน ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีเพราะนางว่าจะพักที่นี่สักคืนอยู่แล้ว 

 

 

“ท่านองครักษ์” 

 

 

มินอาขมวดคิ้วเล็กน้อยกับการตอบสนองที่เหมือนกับรู้ว่าตนเองคือใคร รู้สึกเหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน ใครกันนะ มินอาพินิจมองนางตั้งแต่หัวจรดเท้าสักพัก ในที่สุดก็นึกออกว่าหญิงสาวคนนั้นคือใคร 

 

 

“โซยู?” 

 

 

“ท่านองครักษ์!” 

 

 

เมื่อเห็นว่าจำตัวเองได้ โซยูจึงยิ้มอย่างสดใส แต่ในไม่ช้ารอยยิ้มนั้นก็ปนไปด้วยความสงสัยและความสับสน ผู้ที่ควรจะคอยช่วยเหลือพระมเหสีอยู่ตอนนี้ทำไมถึงได้มาอยู่ที่นี่เพียงลำพัง แล้วการแต่งตัวนั่นมันอะไรกัน 

 

 

“คือว่า…ไม่สิ ข้านี่เสียมารยาทจริง เชิญเข้าด้านในก่อนเลยเจ้าค่ะ ให้ท่านผู้สูงศักดิ์มายืนรออยู่แบบนี้ ช่างเป็นการเสียมารยาทจริงๆ เจ้าค่ะ” 

 

 

แม้จะไม่ใช่ผู้สูงศักดิ์ แต่มินอาก็เก็บซ่อนความขมขื่นไว้ใต้ใบหน้าอันเฉยเมยตามความเคยชินก่อนจะเดินตามนางไป ห้องของโซยูที่คราวที่แล้วไม่ได้เข้ามาทั้งใหญ่และหรูหรายิ่งกว่าห้องนอนของรยูฮาในวังหลวงเสียอีก แต่ในทางกลับกันมันค่อนข้างเหมาะกับโซยูพอสมควร จึงไม่รู้สึกถึงความแปลกแยกใดๆ 

 

 

“มาถึงที่นี่ได้อย่างไรเจ้าคะ นอกจากนั้นแล้ว…ยัง…” 

 

 

“มีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมาย ข้าอยากจะพักที่นี่สักคืนนึง” 

 

 

“ได้เลยเจ้าค่ะ แต่ข้าควรเรียกท่านองครักษ์ว่า…” 

 

 

“เรียกตามที่เคยเรียกเถอะ” 

 

 

มินอาพูดอย่างแข็งกร้าวแล้วยกถ้วยชาขึ้นมาจิบ ชากลิ่นดีทีเดียว เบื้องหน้าของนางเริ่มพร่ามัวในเวลาเดียวกับที่คิดเช่นนั้น 

 

 

“ท่านองครักษ์! ท่านองครักษ์!” 

 

 

โซยูตกใจกรีดร้องเสียงดังพร้อมกับรับตัวมินอาเอาไว้ ส่วนถ้วยชาที่ร่วงหล่นก็กลิ้งตกลงไปใต้โต๊ะ 

 

 

 

 

 

* * * 

 

 

 

 

 

รยูฮาหน้างอขึ้นนิดหน่อยหลังจากเห็นรถม้าที่วิ่งมาอย่างกระปรี้กระเปร่าจากอีกฝั่ง เพราะว่าถนนแคบลงจนม้าสองตัวแทบจะไม่สามารถวิ่งผ่านไปได้ ดังนั้นจึงเป็นเหตุที่ต้องสลับกันวิ่ง ทว่าฝั่งนั้นเองก็ลำบากเช่นกัน เพราะพวกเขาทั้งสองที่ไม่ว่าจะดูจากม้าที่ขี่อยู่หรือจะดูจากการแต่งตัวก็เป็นผู้สูงศักดิ์แน่นอน คนขับรถม้าจึงเป็นฝ่ายหลบทางให้ เขาลงจากม้าอย่างไม่มีทางเลือกและจับสายบังเ**ยนเพื่อให้ชิดข้างทางมากที่สุด 

 

 

“ไม่เป็นไร เดี๋ยวข้าหลบให้ เจ้าไปก่อนเลย” 

 

 

แม้กระทั่งโฮจินที่ไม่เคยคิดถึงอะไรก็ยังเดาะลิ้นไม่พอใจให้กับคำพูดของรยูฮาและหลบไปด้านข้าง สายตาของรยูฮาที่มองดูคนขับรถม้าที่โค้งคำนับหลายครั้งพร้อมกับบอกขอบคุณหรี่ลงเล็กน้อย เป็นเพียงรถม้าธรรมดาๆ ที่ดูราคาไม่แพง แต่ภายในนั้นปูด้วยเบาะรองนั่งนุ่มๆ ที่ดูเป็นของคุณภาพสูง 

 

 

“เจ้า หยุดก่อน!” 

 

 

“ว่าอย่างไรขอรับ นายหญิง” 

 

 

คนขับรถม้าตระหนกตกใจเพราะกลัวว่าจะโดนหาเรื่องจับผิดอะไรบางอย่างจึงรีบก้มหัวลงอย่างนอบน้อม แต่รยูฮาไม่ได้สนใจเขาแม้แต่น้อย นางลงจากม้าแล้วมองเข้าไปด้านในรถม้า ของใหม่ที่เพิ่งซื้อมาได้ไม่นาน ซึ่งไม่น่าจะใช่สิ่งที่จะอยู่ในรถม้าแบบนี้ แม้จะไม่มีการประดับประดาอย่างหรูหรา แต่สำหรับรยูฮาซึ่งถูกรายล้อมไปด้วยสิ่งของดีๆ มาทั้งชีวิต จึงมองออกว่านั่นคือผ้าไหมราคาแพงได้ไม่ยาก 

 

 

“เจ้ามาจากที่ไหนและกำลังจะไปที่ไหนหรือ” 

 

 

“มีลูกค้าที่จะไปที่ไกลๆ ข้าจึงพาไปส่งจากเมืองหลวงจนถึงหัวเมืองทางด้านนู่นน่ะขอรับ” 

 

 

“ใช่คนที่ยังอายุน้อย ส่วนสูงพอๆ กับข้า ไม่ยิ้มแย้ม พูดจาแข็งกระด้างและหน้าตาดีใช่หรือไม่” 

 

 

“โอ๊ะ ท่านรู้จักกับเขาหรือขอรับ” 

 

 

เจอตัวแล้ว มันต้องอย่างนี้สิ ริมฝีปากของรยูฮาเปื้อนยิ้มด้วยความพอใจ โฮจินที่เหลียวหลังมาแวบหนึ่งก็อมยิ้มขึ้นมาเล็กน้อยเช่นกัน 

 

 

“ขอบใจนะ เจ้ารีบไปเถอะ” 

 

 

“ขะ ขอรับ ขอบพระคุณขอรับ” 

 

 

หลังจากคลายความกังวลอันใหญ่หลวงได้ คนขับรถม้าก็รีบเร่งเพื่อให้หลุดพ้นจากชายหญิงผู้สูงศักดิ์ทั้งสองคนที่ดูทะแม่งๆ โดยเร็วที่สุด รยูฮาจ้องมองเบื้องหลังของเขาสักพักก็กระโดดขึ้นม้าอีกครั้ง ส่วนโฮจินก็จูงสายบังเ**ยนอยู่ข้างหลัง 

 

 

“พอรู้ว่าจะถูกจับได้ ก็เลยมาไกลถึงขนาดนี้เลยสินะ” 

 

 

พอมั่นใจที่อยู่ของมินอาซึ่งไล่ตามมาจากการคาดเดาล้วนๆ แล้ว รยูฮาจึงกลับมารู้สึกผ่อนคลายได้อีกครั้ง จริงๆ แล้วก็กังวลเหมือนกันว่าหากมาจนถึงที่นี่แล้ว แต่กลับคาดเดาผิดจะทำอย่างไร ถ้านางไปที่ที่คาดไม่ถึงจะทำอย่างไร แต่ความกังวลนั้นสลายหายไปอย่างรวดเร็ว 

 

 

“นางมาทางนี้จริงๆ ด้วย” 

 

 

โฮจินที่ตามรยูฮามาด้วยความงงงวยอุทานออกมาในขณะที่ขี่ม้า 

 

 

“ถึงจะวิ่งไปไกลแค่ไหนก็อยู่ในกำมือข้าอยู่ดี” 

 

 

ทั้งสองวิ่งผ่านทุ่งกว้างราวกับสายลมในช่วงพลบค่ำแสนเย็นสบายไปถึงหัวเมืองที่มินอาอยู่ เมื่อเด็กๆ ที่อ้วนท้วนสมบูรณ์วิ่งกรูกันมาดูม้าสีนิลจึงต้องลงไปจูงม้าแทน แต่ฝีเท้านั้นเบาสบายมากทีเดียว ไปที่ไหนกันนะ รยูฮาคิดว่าควรจะต้องไปพบเจ้าเมืองก่อนจึงเปลี่ยนทิศทางไปยังจวนเจ้าเมือง แต่แล้วก็หยุดอยู่กับที่และหันไปมองเด็กๆ ที่เอียงอายอยู่ข้างๆ 

 

 

“มานี่หน่อยสิ” 

 

 

เสียงอันนุ่มนวลทำให้เด็กคนหนึ่งซึ่งน่าจะเป็นหัวหน้ากลุ่มก้าวออกมาข้างหน้าเล็กน้อยจากบรรดาเด็กที่มองตากันและกัน รยูฮาฝากสายบังเ**ยนไว้กับโฮจินและย่อตัวลงไปนั่งในระดับสายตาเดียวกับเด็ก 

 

 

“วันนี้มีแขกคนหนึ่งมาที่หัวเมืองนี้ใช่ไหม” 

 

 

“เอ่อ แขกคืออะไรหรือขอรับ” 

 

 

“หมายถึง มีคนแปลกหน้ามาใช่ไหม” 

 

 

“เอ๋? มาขอรับ ข้าเห็น!” 

 

 

“ข้าก็ด้วย! ข้าก็เห็นเหมือนกันขอรับ!” 

 

 

เมื่อถามว่าใครเห็นผู้สูงศักดิ์ที่ไม่ค่อยได้เห็นในชนบทบ้าง เด็กๆ จึงตื่นเต้นและวิ่งเบียดกันเข้ามากระโดดเหยงๆ ทุกคนต่างต้องการที่จะบอกสิ่งที่ตัวเองเห็นให้รยูฮา 

 

 

“ข้าเห็นนายท่านลงจากรถม้าเมื่อตอนกลางวันขอรับ!” 

 

 

“รูปงามมากเลยเจ้าค่ะ!” 

 

 

“เขาไปที่บ้านที่มีพวกพี่สาวสวยๆ อยู่เจ้าค่ะ!” 

 

 

คำพูดของเด็กผู้หญิงที่ตัวเล็กที่สุดในกลุ่มทำให้สายตาของรยูฮาหยุดมองที่นาง 

 

 

“พวกพี่สาวสวยๆ?” 

 

 

“ตรงนู้นคือบ้านที่พวกพี่สาวสวยๆ อยู่เจ้าค่ะ!” 

 

 

ยังไม่ทันได้ขอให้นำทางไป แต่เด็กผู้หญิงคนนั้นก็คว้ามือของรยูฮาหมับและเริ่มออกวิ่งราวกับเต้นระบำ จะถูกหลอกหรือเปล่านะ แต่รยูฮาก็ไม่ได้อารมณ์เสียที่ฝ่ามือซึ่งคล้ายกับใบเมเปิลจับมือของนางไว้แน่น เด็กผู้หญิงหยุดยืนตรงสถานที่หนึ่ง ก่อนจะปล่อยมือรยูฮาแล้วชี้บอกว่า “บ้านที่พวกพี่สาวสวยๆ อยู่” ด้วยใบหน้าภาคภูมิใจ 

 

 

“แต่ว่า แม่บอกข้าว่าห้ามข้ามตรงนี้ไปเจ้าค่ะ” 

 

 

“ยัยโง่ ก็แอบเข้าไปสิ!” 

 

 

“ไม่ได้นะ แม่บอกว่าต้องเชื่อฟังคำพูดของแม่ ถึงจะซื้อเสื้อผ้าสวยๆ ให้”