เซี่ยฟางหวามีสีหน้าเปลี่ยนไป ก้าวขึ้นมาตรวจชีพจรให้ผู้อาวุโสคนนั้น
ทว่าเมื่อนางเดินเข้ามาใกล้ก็พบว่าผู้อาวุโสคนนั้นตายไปแล้ว
“เขาตายแล้ว!” นางเงยหน้าบอกฉินเจิง
“เพราะเหตุใด” ฉินเจิงหรี่ตาลง
เซี่ยฟางหวาตอบ “โดยปกติวิชาสะกดจิตที่ข้าใช้ไม่อาจคร่าชีวิตคนได้” พูดจบ นางก็มองไปยังหลี่อวิ๋นที่ยังอยู่ดี “ถึงแม้อายุมากแล้วก็ทำคนตายไม่ได้ เว้นเสียแต่…”
“เว้นแต่อันใด”
“เว้นแต่ชื่อของคนผู้นั้นกับเรื่องนี้เป็นความลับที่ไม่อาจบอกได้ ขณะต่อต้านก็เค้นสมองคิดหาทางแทบตาย พอลมหายใจขาดช่วงจึงสิ้นลม” เซี่ยฟางหวามองเขาแล้วเอ่ยตอบ
ฉินเจิงเลิกคิ้ว
“เขาพูดจาและมีสีหน้าหวาดกลัว แสดงให้เห็นถึงความกลัวในก้นบึ้งหัวใจ ผลของการบอกความจริงเกรงว่าจะยุ่งยากกว่าความตาย” เซี่ยฟางหวาเม้มปาก มองไปยังผู้อาวุโสที่สิ้นใจบนพื้น
ฉินเจิงแค่นหัวเราะขึ้นมา “ข้าอยากรู้นักว่าใต้หล้ายังมีเรื่องใดน่ากลัวกว่าความตายอีก” พูดจบก็ก้าวออกมาหาผู้อาวุโสอีกคนหนึ่งก่อนเอ่ยถามขึ้น “ตอบข้ามาว่าใครรับปากพวกเจ้า ขอเพียงลากหลูหย่งลงจากตำแหน่งได้ก็จะสนับสนุนลูกหลานที่มีความสามารถในตระกูลเจ้าขึ้นไปแทน?”
“คือ…คือ…คือ…” ผู้อาวุโสคนนั้นอ้าปากพะงาบ
เนิ่นนานก็ไม่ยอมกล่าวออกมา หน้าผากกลับมีเหงื่อเม็ดใหญ่ไหลลงมา สีหน้าเริ่มหวาดกลัวยิ่งกว่าเดิม
“ถ้าไม่ยอมหยุด คนผู้นี้ต้องตายตามไปด้วยเป็นแน่” เซี่ยฟางหวารีบเอ่ยขึ้น
“ตายก็ตาย!” ใบหน้าฉินเจิงเคร่งขรึม กระชากคอเสื้อผู้อาวุโสคนนั้นขึ้นมา “บอกมาว่าใคร หากเจ้าไม่บอก ข้าจะตัดสินว่าตระกูลหลูแห่งฟ่านหยางของพวกเจ้าวางแผนร้ายลับหลัง มีความผิดฐานปลุกปั่นค่ายทหาร ต้องประหารตระกูลหลูแห่งฟ่านหยางเก้าชั่วโคตร!”
“อย่า…” น้ำเสียงผู้อาวุโสคนนั้นสั่นเครือด้วยความกลัว
“บอกมา!” ฉินเจิงมองด้วยแววตาดุดัน
“คือ…ข้าไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร…” ผู้อาวุโสคนนั้นหวาดกลัวยิ่งกว่าเดิม “เขาร้ายกาจมาก สวมอาภรณ์สีดำปกปิดใบหน้าจึงมองไม่เห็นใบหน้าที่แท้จริง บนตัวเขามีโถหนึ่งใบ ข้างในมีหนอนตัวเล็กอยู่ ขอเพียงวางบนตัวใครก็ตาม จะทำให้คนผู้นั้นกระทำในสิ่งที่เขาต้องการได้…”
“เขามาหาตระกูลหลูแห่งฟ่านหยางเมื่อไร” ฉินเจิงไม่ผ่อนมือที่จับคอเสื้อเขา
“เมื่อ…เมื่อปีก่อน…” ผู้อาวุโสคนนั้นตอบ
“ตอนไหนของปีก่อน” ฉินเจิงถามอีก
“ตอนนี้ของปีก่อน…” ผู้อาวุโสคนนั้นตอบอีก
“ตระกูลหลูแห่งฟ่านหยางไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร นึกไม่ถึงว่าจะกล้าตัดอนาคตของคนทั้งตระกูล?” ฉินเจิงถามขึ้นอีก
“หลูหย่งเป็นจิ้งจอกตาขาวที่เลี้ยงไม่เชื่อง ตอนนั้นเพื่อตำแหน่งเสนาบดีของเขา ตระกูลต้องลำบากเพื่อเขาเท่าไร แต่เขาเล่า ที่ผ่านมาได้ให้อะไรกับตระกูลบ้าง ไม่เพียงแต่ไม่ช่วยเหลือต้นตระกูล กลับยังเหยียบไหล่คนตระกูลเดียวกันอีก เพลิดเพลินกับความร่ำรวยมีเกียรติ…” ผู้อาวุโสคนนั้นตอบ
“นี่ต้องถามว่าที่ผ่านมาตระกูลอยากให้ข้าทำสิ่งใด ข้ารับเงินเดือนจากผู้ใดย่อมต้องจงรักภักดีต่อผู้นั้น ต้องเห็นบ้านเมืองมาก่อนครอบครัว แต่ผู้อาวุโสในตระกูลเล่า อยากให้ข้าใช้อำนาจเพื่อแสวงหาประโยชน์ส่วนตน ไม่รู้จักพอดั่งงูร้ายหมายกลืนช้าง หลายปีมานี้ข้าให้การดูแลไปมากแล้ว หากไม่มีการดูแลจากข้า ตระกูลหลูแห่งฟ่านหยางคงเ**่ยวเฉาไร้อนาคตขึ้นทุกวัน ล่มสลายไปตั้งนานแล้ว” เสนาบดีฝ่ายซ้ายหลูหย่งซึ่งอยู่ด้านข้างทนไม่ไหวเอ่ยขึ้นอย่างโกรธเกรี้ยว
“เสนาบดีฝ่ายซ้ายร้อนตัวเกินไปแล้ว” ฉินเจิงผินหน้ามองหลูหย่งพลางเอ่ยเสียงเรียบ
เสนาบดีฝ่ายซ้ายหน้าหงาย ใบหน้าเขียวคล้ำไม่เอ่ยคำใดอีก
เซี่ยฟางหวามองหลูหย่งแวบหนึ่ง คิดในใจว่าวันนี้ความขัดแย้งระหว่างเขาผู้เป็นเสนาบดีฝ่ายซ้ายกับตระกูลหลูแห่งฟ่านหยางถูกเปิดโปงขึ้นแล้ว ดูท่าคงไม่อาจไกล่เกลี่ยได้อีก มิฉะนั้นผู้อาวุโสเหล่านี้คงไม่คิดอยากเหยียบย่ำหลูหย่งและแสวงหาทางเลือกอื่น ร่วมมือกับคนอื่นลับหลัง สร้างแผนการร้ายนี้ขึ้น นับว่าเขาเสื่อมเสียเกียรติจนสิ้นแล้ว
“ดังนั้นพวกเจ้าจึงไม่เสียดายหากต้องแลกด้วยชีวิตของคนในตระกูลเพื่อลากเสนาบดีฝ่ายซ้ายลงจากตำแหน่งรึ” ฉินเจิงเลิกคิ้ว “ชีวิตคนในตระกูล เทียบไม่ได้กับตำแหน่งของเสนาบดีฝ่ายซ้าย?”
“คนผู้นั้นบอกว่าไม่มีทางพลาดโดยเด็ดขาด…” ผู้อาวุโสคนนั้นส่ายหน้า
“ไม่มีทางพลาดโดยเด็ดขาด” ฉินเจิงแค่นหัวเราะ “เหตุใดต้องเชื่อเขา แค่หนอนในโถที่เขามีอยู่รึ”
ผู้อาวุโสคนนั้นได้ยินคำว่าหนอนก็แสดงความหวาดกลัวขึ้นมาฉับพลันราวกับไม่อยากพูดต่ออีกแล้ว
“ถ้าไม่พูดข้าก็จะตัดสินโทษตระกูลหลูแห่งฟ่านหยางด้วยการประหารทั้งตระกูล เสนาบดีฝ่ายซ้ายยังคงดำรงตำแหน่งเดิมอันสูงส่ง ไม่ได้รับผลกระทบแม้แต่น้อย” ฉินเจิงเพิ่มแรงกระชากคอเสื้อเขา
“ข้า…ข้าเชื่อเขา…เพราะ…เพราะว่า…” คนผู้นั้นยกขาถีบกลางอากาศก่อนที่เสียงจะขาดหายไป
ฉินเจิงปล่อยมือ มองไปยังเซี่ยฟางหวา
“ตายแล้ว” เซี่ยฟางหวามองแล้วเอ่ยขึ้น
ทุกคนทอดถอนใจขึ้นมาเมื่อตายไปอีกหนึ่งศพ
ครั้งนี้ตระกูลหลูแห่งฟ่านหยางมาด้วยกันห้าคน ยามนี้ตายไปแล้วสองคน บนพื้นยังเหลืออีกสามคน
“ถึงตายแล้วก็ต้องตรวจสอบ!” ฉินเจิงกระชากคอเสื้อผู้อาวุโสอีกคนหนึ่ง “เหตุใดถึงเชื่อว่าเขาจะลากเสนาบดีฝ่ายซ้ายลงจากตำแหน่งได้ ทั้งให้ผลประโยชน์อย่างที่ตระกูลหลูแห่งฟ่านหยางต้องการ? ถ้าไม่ตอบ ข้าจะสังหารเจ้าเสียตอนนี้”
“อย่าสังหารข้า…” คนผู้นั้นหวาดกลัว
“ไม่สังหารก็ย่อมได้ พูดมา” ฉินเจิงบีบบังคับ
“ข้าพูด…พูด…ยอมพูดแล้ว…” ผู้อาวุโสคนนั้นต่อต้านพักหนึ่ง ก่อนถีบอากาศแล้วตายไปอีกคนเช่นกัน
ฉินเจิงย่นหัวคิ้ว ปล่อยมือลงด้วยใบหน้าเย็นยะเยือก
ไม่มีใครกล้าเอ่ยคำใดขึ้นภายในโถงตำหนัก แม้เป็นฤดูร้อน ทว่ากลับสัมผัสได้ถึงความหนาวเหน็บ
“วันนี้ข้าต้องรู้ให้ได้ว่าใครกันแน่ที่ทำให้พวกเขาหวาดกลัวได้ถึงขั้นนี้” ฉินเจิงเอื้อมมือไปกระชากคอเสื้อผู้อาวุโสอีกคน เอ่ยขึ้นด้วยเสียงเย็นชา
“เดาว่าถึงสองคนนี้ต้องตายก็คงไม่ยอมบอก มิสู้วกไปถามเรื่องอื่นแทนดีกว่า” เซี่ยฟางหวายกมือห้ามแล้วเอ่ยเสียงเบา
ฉินเจิงมองนาง
“อย่างเช่นคดีหมอหลวงซุนถูกสังหาร กลไกศิลายักษ์ ฝูงหมาป่าล้อมโจมตี และคดีการตายของใต้เท้าหาน” เซี่ยฟางหวาบอก
ฉินเจิงพยักหน้าแล้วเอ่ยถาม “หมอหลวงซุนถูกเจ้าสังหารใช่หรือไม่”
“ไม่ใช่” ผู้อาวุโสส่ายหน้า
“นอกจากส่งหลูอี้มาที่ค่ายทหาร ตระกูลหลูแห่งฟ่านหยางยังทำสิ่งใดไปอีกบ้าง” ฉินเจิงถามอีก
“รอจนกว่าหลูอี้ตาย พอตายไปแล้วตระกูลหลูแห่งฟ่านหยางจะหาแพะมารับผิด” ผู้อาวุโสตอบ
“ยังมีหรือไม่” ฉินเจิงมีสีหน้าเยือกเย็น
“ไม่…ไม่มีแล้ว…” ผู้อาวุโสตอบ
ฉินเจิงมองไปยังเซี่ยฟางหวา
“คงได้เท่านี้ ปล่อยให้พวกเขาทั้งห้าตายหมดไม่ได้ เว้นสองคนนี้ไว้เถอะ” เซี่ยฟางหวาบอก
ฉินเจิงพยักหน้ารับ ผละตัวออกแล้วยืนขึ้น ก่อนมองไปยังเสนาบดีฝ่ายซ้าย “เสนาบดีฝ่ายซ้ายคิดว่าเรื่องนี้ควรจัดการเช่นไร”
“ในเมื่อการตายของหลูอี้ไม่เกี่ยวข้องกับหลี่อวิ๋น หลี่อวิ๋นก็ควรถูกปล่อยตัว แต่คดีการตายของหมอหลวงซุน กลไกศิลายักษ์ ฝูงหมาป่าล้อมโจมตี และคดีการตายของใต้เท้าหาน ผู้อยู่เบื้องหลังเป็นใครย่อมต้องตรวจสอบให้กระจ่าง” เสนาบดีฝ่ายซ้ายหลูหย่งสงบลงแล้วในยามนี้ เขาประสานมือตอบฉินเจิง
“เสนาบดีฝ่ายซ้ายคิดว่าลำดับต่อไปจะตรวจสอบเช่นนี้หรือ ถึงอย่างไรยามนี้ก็เกี่ยวข้องกับท่านด้วยแล้ว” ฉินเจิงพยักหน้า
“องค์รัชทายาททรงมอบอำนาจในการสืบคดีนี้ให้ท่านอ๋องน้อยทั้งหมด ท่านอ๋องน้อยอยากสืบเช่นไรก็สืบเช่นนั้น หากมีจุดใดที่ต้องการความร่วมมือจากข้า ข้าย่อมทุ่มสุดความสามารถ” สีหน้าของเสนาบดีฝ่ายซ้ายไม่ค่อยดีนัก
“ตระกูลหลูแห่งฟ่านหยาง…” ฉินเจิงเดินไปสองก้าวแล้วหันกลับมา “สองคนที่ยังมีชีวิตอยู่ ประเดี๋ยวตื่นขึ้นมาแล้วก็ยกให้เสนาบดีฝ่ายซ้ายจัดการแล้วกัน ส่วนอีกสามคนที่ตายไปแล้ว ท่านก็จัดการรวมไปด้วย”
“ท่านอ๋องน้อยตัดสินถูกแล้ว ถึงอย่างไรตระกูลหลูแห่งฟ่านหยางก็มีบรรพบุรุษเดียวกัน ข้าควรหลีกเลี่ยงการเป็นที่สงสัย” เสนาบดีฝ่ายซ้ายรีบกล่าว
“เสนาบดีฝ่ายซ้ายไม่ต้องเลี่ยง ทำผิดก็ว่าไปตามผิดถึงเป็นการจงรักภักดีต่อบ้านเมือง คดีนี้ก็ไม่ใช่เพราะวิชาสะกดจิตถึงจะทำให้เขาพวกเขาพูดความจริงออกมา พอจะเชื่อมโยงได้คร่าวๆ แล้ว ต้องรอให้ตรวจสอบคดีทั้งหมดจนกระจ่างแจ้งก่อน เมื่อความจริงปรากฏแล้วค่อยยื่นสาส์นต่อเสด็จอาเพื่อขอลดโทษ” ฉินเจิงยิ้ม
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ยกน้าอาทุกท่านให้ข้าจัดการเถอะ” เสนาบดีฝ่ายซ้ายผงกศีรษะ
ฉินเจิงเห็นว่าเขาเห็นด้วยก็บอกเซี่ยฟางหวา “ปลุกสองคนที่เหลือขึ้นมาเถอะ”
เซี่ยฟางหวาพยักหน้า ก่อนปลุกผู้อาวุโสที่ยังมีชีวิตอยู่ขึ้นมา
หลังผู้อาวุโสสองคนนั้นตื่นขึ้นมาก็มองไปรอบๆ ด้วยความงุนงง จากนั้นก็มองหน้ากัน ก่อนมองไปยังผู้อาวุโสอีกสามคนที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น ทันใดนั้นก็แสดงสีหน้าหวาดกลัวขึ้น “พวกเจ้า…พวกเจ้าทำอะไรกับพวกข้า”
“เสนาบดีฝ่ายซ้ายอยู่อธิบายเถอะ!” ฉินเจิงจูงมือเซี่ยฟางหวาเดินออกไป
“ท่านอ๋องน้อย!” ผู้อาวุโสตะโกนขึ้น
ฉินเจิงแสร้งไม่ได้ยิน กางร่มพาเซี่ยฟางหวาออกจากตำหนัก
“เราไปดูตรงนั้นกัน” เมื่อมาถึงนอกตำหนัก เขาก็ชี้ไปยังจุดหนึ่ง
เซี่ยฟางหวามองตามนิ้วเขา พบว่าเป็นใต้หน้าต่างห้องที่หานซู่พักอาศัย นางพยักหน้าแล้วเดินตามไป
ทั้งคู่มาถึงใต้หน้าต่าง มองไล่ไปตามกำแพงริมหน้าต่างพักหนึ่ง
“เห็นสิ่งใดบ้างหรือไม่” ฉินเจิงถาม
“ไม่มีร่องรอยใดเลย” เซี่ยฟางหวาส่ายหน้า
“องครักษ์ลับร้อยคนที่ฉินอวี้วางกำลังไว้ เจ้ามีวิธีใดสืบหาตัวหรือไม่” ฉินเจิงเอ่ยเสียงทุ้มต่ำ
“องครักษ์ลับได้รับการฝึกฝนมาตั้งแต่เด็กจึงมีจิตใจและสติปัญญาไม่เหมือนคนอื่น ยิ่งไปกว่านั้นองครักษ์ลับราชสำนักก็แข็งแกร่งกว่าองครักษ์ลับในจวนทั่วไปด้วย ทั้งต้านวิชาจำพวกสะกดจิตได้ วิชาสะกดจิตใช้กับพวกเขาไม่ได้ผล ยิ่งไปกว่านั้นหนึ่งร้อยคน…” เซี่ยฟางหวาเม้มปาก ครุ่นคิดแล้วเอ่ยขึ้น
“ไม่ต้องใช้วิชาสะกดจิตของเจ้าแล้ว เปลืองแรงเปล่า” ฉินเจิงเอ่ยขัด
“เช่นนั้นเรียกองครักษ์ลับพวกนั้นมาก่อนดีกว่า เราลองประเมินดูรอบหนึ่ง” เซี่ยฟางหวามองเขา
ฉินเจิงพยักหน้าก่อนตะโกนเสียงเบา “เยว่ลั่ว”
“ท่านอ๋องน้อย!” เยว่ลั่วขานรับแล้วปรากฏตัวขึ้นข้างหลังฉินเจิง
“เรียกองครักษ์ลับหนึ่งร้อยคนนั้นมา” ฉินเจิงออกคำสั่ง
เยว่ลั่วปรายตามองรอบทิศก่อนพยักหน้า เพียงดีดนิ้วแผ่วเบา บุรุษชุดดำหนึ่งร้อยคนก็ปรากฏตัวขึ้นรอบทิศทาง ทั้งหมดสวมอาภรณ์สีดำปกปิดใบหน้า เหลือไว้เพียงดวงตาสองข้างเท่านั้น
“เมื่อคืนพวกเจ้าเฝ้าอยู่ที่นี่ เห็นว่ามีคนใช้เข็มสังหารหานซู่หน้าเตียงบ้างหรือไม่” ฉินเจิงกางร่ม มองพวกเขาผ่านม่านสายฝน
“ไม่เห็นขอรับ” ทั้งหนึ่งร้อยคนส่ายหน้าตอบเป็นเสียงเดียวกัน
“ถ้าไม่มี แล้วเข็มมาจากที่ใดกัน” ฉินเจิงเลิกคิ้ว
หนึ่งร้อยคนส่ายหน้าพร้อมเพรียงกัน
“เมื่อคืนเจ้าก็อยู่ด้วยใช่ไหม?” ฉินเจิงมองเยว่ลั่ว
“เรียนท่านอ๋องน้อย เมื่อคืนข้าก็อยู่ด้วย แต่ไม่ได้ยินการเคลื่อนไหวใดจากห้องใต้เท้าหานเลยจริงๆ” เยว่ลั่วผงกศีรษะ ไม่เข้าใจเช่นกัน
ฉินเจิงกวาดตามองทั้งร้อยคน จากนั้นก็หันกลับมาสั่งงาน “ใครก็ได้ ไปเรียกทหารที่เข้าเวรเฝ้ารอบตำหนักแห่งนี้เมื่อคืนมาเข้าแถว”
มีคนขานรับแล้วรีบออกไป
ไม่นาน ทหารห้าร้อยนายก็ทยอยออกมายืนเข้าแถว
ฉินเจิงจูงมือเซี่ยฟางหวาใต้คันร่ม เดินไปยังทหารห้าร้อยนาย สำรวจผ่านไปแถวแล้วแถวเล่า
เมื่อเดินดูทหารทั้งหมดครบรอบหนึ่งแล้วก็หันกลับมาให้สัญญาณหัวหน้า “แยกย้ายได้!”
หัวหน้านำทหารห้าร้อยนายแยกย้ายออกไป
ฉินเจิงยืนมององครักษ์ลับหนึ่งร้อยคนกลางสายฝนอีกพักใหญ่ ก่อนยกมือสั่งเยว่ลั่ว “พวกเจ้าก็แยกย้ายได้”
เยว่ลั่วตวัดฝ่ามือ หนึ่งร้อยคนนั้นแยกย้ายกันไปทันที เขากลับยังอยู่ที่เดิมแล้วเอ่ยบอกฉินเจิง “ท่านอ๋องน้อย องครักษ์ลับหนึ่งร้อยคนมีหน้าที่คุ้มครองความปลอดภัยให้องค์รัชทายาท รับคำสั่งจากรัชทายาทเพียงผู้เดียว และติดตามรัชทายาทมาตั้งแต่เด็ก การตายของใต้เท้าหานไม่เกี่ยวข้องกับพวกเขาเป็นแน่”
“เช่นนั้นเจ้าบอกข้ามา ใครกันที่หลบสายตาขององครักษ์ลับหนึ่งร้อยคนและทหารห้าร้อยนายไปได้ แล้วทำการสังหารใต้เท้าหานอย่างเงียบเชียบ” ฉินเจิงมองเขา
เยว่ลั่วมองไปยังห้องพักของหานซู่ ฝนยังคงตกหนักเหมือนเดิม เขาคาดเดาไม่ได้ชั่วขณะ
“กลางดึกฝนตกหนักถึงเพียงนี้ แม้ไม่มีฝนฟ้าคะนอง ถึงอย่างไรก็มีเสียงฝนคอยกลบ ดังนั้นถ้าเป็นการเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อยย่อมไม่ได้ยิน” เซี่ยฟางหวาเอ่ยขึ้น “เพียงแต่หากปัญหาไม่ได้อยู่ที่องครักษ์ลับหนึ่งร้อยคน…” หยุดชั่วครู่แล้วแค่นหัวเราะขึ้นมา “เข็มที่ปักหัวใจใต้เท้าหานจากข้างหลังนั้นย่อมไม่อาจเข้าไปเองได้”
ยามนี้หลี่มู่ชิงก็กางร่มเดินออกมา “บางที ใช่พวกเราไตร่ตรองผิดจุดหรือไม่”
“หือ” ฉินเจิงมองเขา
เซี่ยฟางหวาก็มองไปยังเขา
“ใต้เท้าหานเปิดหน้าต่างมองแวบหนึ่ง จากนั้นก็ปิดหน้าต่างลงแล้วกลับไปนอน แต่หากสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ฆาตกรอยากให้คิดเช่นนั้น บางทีคำตอบอาจต้องไปหาที่ห้องพักใต้เท้าหาน อย่างเช่นห้องลับ หรือกลไกอื่นๆ” หลี่มู่ชิงตอบ
“มีเหตุผล” ฉินเจิงพยักหน้า “องครักษ์ลับหนึ่งร้อยคนเป็นคนของฉินอวี้ ไม่ได้มีไว้ประดับเฉยๆ แน่”
“ถูกต้อง บางทีข้าอาจวิเคราะห์ผิด แม้คาดการณ์ได้ว่าใต้เท้าหานเปิดหน้าต่าง เสื้อผ้าจึงเปียกชื้น ก็ไม่แน่ว่าจะถูกเข็มสังหารในเวลานั้น” เซี่ยฟางหวาบอกฉินเจิง “เรากลับไปดูที่ห้องใต้เท้าหานอีกรอบเถอะ”
ฉินเจิงพยักหน้าแล้วเอ่ยบอกเยว่ลั่ว “เจ้าก็ตามมาด้วย”
“ขอรับ!” เย่วลั่วผงกศีรษะ
ทั้งหมดกลับไปยังตำหนักในค่ายอีกครั้ง
เมื่อเข้ามาข้างใน ผู้อาวุโสที่ตายไปทั้งสามคนถูกคลุมด้วยผ้าสีดำแล้ว นอกจากนี้ผู้อาวุโสอีกสองคนที่เหลืออยู่ก็คุกเข่าอยู่บนพื้นด้วยใบหน้าสิ้นหวัง ร้องไห้อ้อนวอนต่อเสนาบดีฝ่ายซ้าย เสนาบดีฝ่ายซ้ายในตอนนี้มีสีหน้าไม่น่ามองยิ่ง
ฉินเจิงปรายตามองโดยไม่เอ่ยคำใด จูงมือเซี่ยฟางหวาตรงไปยังห้องพักของหานซู่
เมื่อมาถึงห้องพักหานซู่ ฉินเจิงก็เอ่ยบอกเยว่ลั่ว “ย้ายศพใต้เท้าหานลงจากเตียงก่อน ตรวจสอบให้ทั่ว”
เยว่ลั่วพยักหน้าก่อนย้ายศพหานซู่ลงมาวางข้างล่าง จากนั้นก็เริ่มตรวจสอบห้องนี้
เซี่ยฟางหวาไปร่วมกับเยว่ลั่วด้วย ตั้งแต่เตียง ผนังห้อง จนถึงพื้น กระทั่งย้ายเตียงหลังใหญ่ออก เครื่องเรือนทั้งหมดในห้องต่างตรวจสอบหมดแล้วรอบหนึ่ง ทว่ายังไม่พบเบาะแสใดแม้แต่น้อย
ฉินเจิงมีสีหน้าเคร่งขรึม
“น่าแปลกใจยิ่งนัก” หลี่มู่ชิงเองก็สงสัย
เซี่ยฟางหวาเดินมาหยุดที่ริมหน้าต่าง เปิดหน้าต่างแล้วมองออกไปข้างหน้าพักหนึ่ง ก่อนเอ่ยขึ้น “การสังหารคนต้องมีแรงจูงใจ มีคนสังหารใต้เท้าหาน แล้วแรงจูงใจคือสิ่งใด”
ฉินเจิงพลันหรี่ตาลง
“อย่างเช่นหมอหลวงซุนถูกสังหาร ข้าถูกขัดขวาง ทั้งหมดก็เพราะศพหลูอี้จึงอยากทำลายหลักฐาน เมื่อพิสูจน์ศพไม่ได้ก็ใส่ร้ายตระกูลหลี่แห่งจ้าวจวิ้น แล้วเป้าหมายที่ใส่ร้ายตระกูลหลี่แห่งจ้าวจวิ้นเล่า ตระกูลหลูแห่งฟ่านหยางรบเร้าเพื่อต้องการให้ชดใช้ด้วยชีวิต พอเป็นเรื่องใหญ่แล้วจะลากเสนาบดีฝ่ายซ้ายลงจากตำแหน่งได้อย่างไรเล่า นอกจากนี้ ใต้เท้าหานเล่า แม้รัชทายาทบอกว่ามอบคดีนี้ให้ใต้เท้าหานจัดการ แต่ใต้เท้าหานยังไม่ได้เริ่มสืบคดีเลย เหตุใดถึงโดนสังหารได้” เซี่ยฟางหวาพูดต่อ
ฉินเจิงย่นหัวคิ้วไตร่ตรองตาม
หลี่มู่ชิงครุ่นคิดแล้วเอ่ยขึ้น “ใต้เท้าหานมีเหตุผลที่ต้องตายแน่นอน ดังนั้นจึงทำการสังหารเขา”