เล่มที่ 19 ตอนที่ 34

Memorize

ตอนที่ 34 โดย ProjectZyphon

ตึง!

เส้นผมสีดำมันเงากระจัดกระจายอยู่ทั่วผืนแผ่นดิน

โดยภายใต้เส้นผมที่พันกันอย่างยุ่งเหยิงนั้น มีเลือดสีแดงสดไหลเจิงนองออกมาไม่หยุด

“แฮ่ก…แฮ่ก”

ชายผู้นั้นหายใจหอบหนัก ราวกับจะสิ้นใจจากโลกนี้ไปในไม่ช้า หยดเลือดไหลรินออกมาจากมุมปากทุกครั้งที่หายใจเข้าออก

หลังจากนั้น ริมฝีปากอันแสนซีดเซียวจึงค่อยๆ เอื้อนเอ่ยออกมาอย่างยากลำบากว่า

“ซูฮยอน จำคำที่พี่เคยพูดไว้เมื่อก่อนได้ใช่ไหม ว่า…ยะ…อย่าช่วยพี่”

“พี่…?”

“ไม่ว่ายังไง นะ…นายจะต้องอยู่ต่อไป ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นายต้องอยู่ต่อ…จงไปให้สุดทาง…”

“พะ…”

ก่อนที่ชายหนุ่มผู้นั้นจะพูดอะไรออกมาอีกครั้งหนึ่ง จู่ๆ มือที่กำลังกอบกุมอยู่ก็ได้หยุดสั่นสะท้านไป

กระแสไฟสีเหลืองที่เกิดขึ้นบนร่างกาย ค่อยๆ เลือนลับหายไปอย่างช้าๆ

นัยน์ตาที่เคยไหวหวั่น มีน้ำหล่อเลี้ยงกลับดูไร้ซึ่งพลัง ไร้ซึ่งแสงใดๆ ในชั่วพริบตา

ตุ้บ!

ศีรษะและมือไร้ซึ่งพลังใดๆ ตกลงมาสู่ผืนดินเบื้องล่าง

และในตอนนั้น

“อ๊ากกก ไม่!”

เสียงกรีดร้องแห่งความคับแค้นใจ ความเศร้าโศกาได้ดังลั่นสนั่นจนฟ้าแทบจะถล่ม

* * *

ทุกอย่างจบสิ้นหมดแล้ว

อะไรบางอย่างที่เคยอัดแน่นอยู่เต็มหัวมาตลอดจนถึงเมื่อครู่ บัดนี้ผมรู้สึกได้ว่ามันได้หายวับไปจนหมดแล้ว

ผมถอนหายใจออกมาอย่างไม่เข้าใจตัวเอง ก่อนที่จะเงยหน้ามองท้องฟ้าเบื้องบน

บัดนี้ดวงอาทิตย์ได้ลอยอยู่กลางท้องฟ้าแล้ว หากมีสายฝนสดชื่นตกโปรยปรายลงมาคงดีไม่น้อย แต่ถึงอย่างนั้นท้องฟ้ายามเที่ยงก็ช่างแจ่มใส เจิดจ้ามากเกินคำบรรยาย ผมได้แต่เดินเหม่อมองท้องฟ้าไปเช่นนั้นเรื่อยๆ แล้วจู่ๆ ก็มีข้อความหลายข้อความปรากฏออกมาให้เห็นอยู่กลางอากาศ

[ผู้เล่นคิมซูฮยอนกำจัด ‘เทพเนอร์กัลแห่งสายลับ’ ได้สำเร็จ!

เทพเนอร์กัลแห่งสายลับ ถือเป็นส่วนหนึ่งในแผนการที่บีเอลซีบับที่ราชาแห่งปิศาจพยายามมาเนิ่นนาน หากไซม่อน ไครมส์กลับไปในสภาพเฉกเช่นนี้ บางทีทวีปของฮอลล์เพลนคงได้ประสบพบเจอแต่ความอลหม่านวุ่นวายจนไม่สามารถหยุดยั้งการกระทำเช่นนั้นได้เลย

ทว่าผู้เล่นคิมซูฮยอนสามารถสังหารผู้ตื่นรู้ที่ได้รับ ‘เมล็ดพันธุ์จากซาตาน’ ได้สำเร็จ ดังนั้นการที่ท่านสามารถขัดขวางแผนการร้ายของพวกปิศาจได้สำเร็จ จึงถือว่าเป็นการสร้างคุณงามความดีครั้งยิ่งใหญ่

เราได้พิจารณาจากประเด็นนี้ เพราะฉะนั้นจึงขอมอบคะแนน 500,000 โกลเด้นพอยต์ (Golden Point) ให้แก่ผู้เล่นคิมซูฮยอน!]

“…”

ห้าแสนพอยต์เหรอ

ผมยืนมองข้อความเหล่านั้นด้วยความรู้สึกงุนงงเล็กน้อย ก่อนที่จะค่อยๆ หลับตาลงชั่วครู่

ห้าแสนโกลเด้นพอยต์

โกลเด้นพอยต์ที่มอบให้นั้นถือว่ามากมายพอสมควร สำหรับการจับปิศาจได้หนึ่งตน เพราะฉะนั้นจึงหมายความว่าการคาดการณ์ของผมถูกต้องหมดทุกอย่าง ผมได้คาดการณ์ไว้ว่า หากเบลเฟกอร์เป็นผลิตผลที่ถูกอัญเชิญเข้ามาด้วยความบังเอิญ เนอร์กัลก็คือว่าเป็นปัจจัยส่วนหนึ่งในแผนด้วย บางทีเขาอาจจะอ้างอิงจากจุดนี้ จึงมอบพอยต์ให้ผมก็ก็ได้

แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่ได้ให้ความสนใจอะไรเป็นพิเศษ มีครั้งหนึ่งผมเคยได้รับคะแนนจีพีมากมายจนนับไม่หวาดไม่ไหว ไม่รู้ว่าเพราะเป็นเช่นนั้นหรือไม่ จึงทำให้ผมไม่ได้รู้สึกตกตะลึงกับห้าแสนโกลเด้นพอยต์เลยแม้แต่น้อย ถึงแม้ว่านั่นจะเป็นคะแนนที่มากมายเอาเรื่องเลยก็ตาม

ผมหลุดพ้นออกมาจากป่าทึบของทุ่งกว้างนั้นได้โดยไม่รู้ตัว แล้วจึงเริ่มรู้สึกได้ถึงเสียงโหวกเหวกโวยวายของผู้คนจำนวนมากอยู่ตรงหน้าทางที่กำลังเดินก้าวเท้าเข้าไป

ผมลืมตาขึ้นอีกครั้ง ข้อความที่ค้างเติ่งอยู่บนกลางอากาศนั้นค่อยๆ หายไป ทันใดนั้น ผมจึงได้เห็นการต่อสู้ปะทะที่ตัวเองได้เดินผ่านมาก่อนอยู่ไกลลิบๆ

ไม่สิ ตอนนี้คงจะเรียกว่าเป็นการต่อสู้อีกต่อไปไม่ได้แล้ว

ผมมองผู้คนจำนวนมาก พลางก้าวเท้ากลับเข้าไปอีกครั้งหนึ่ง  แต่ทว่าความดุเดือดรุนแรงอย่างที่เคยรู้สึกมาตั้งแต่คราวก่อนนั้น บัดนี้ผมกลับไม่รู้สึกเช่นนั้นอีกต่อไปแล้ว

ดังนั้นผมจึงย่ำเท้าเดินเข้าไปต่อเรื่อยๆ เดิน เดิน และเดินเข้าไปยังสถานที่ที่มีผู้คนยืนอยู่ และได้เดินผ่านผู้คนเหล่านั้นไปเฉยๆ

ดวงอาทิตย์ที่ลอยเด่นอยู่กลางท้องฟ้าอันแจ่มใส กำลังส่องแสงเจิดจ้าลงมาสู่ทุ่งกว้างเบื้องล่างให้สุกสว่างมองเห็นได้อย่างชัดเจน

อากาศดีๆ เช่นนี้ช่างไม่เหมาะกับภาพทิวทัศน์ที่มีแต่ศพนอนเกลื่อนกลาดและเลือดไหลเจิ่งนองเลยแม้แต่นิดเดียว

แสงแดดที่ส่องลงมานั้นช่างเจิดจ้าเสียเหลือเกิน จนทำให้ผมเริ่มรู้สึกร้อนๆ บริเวณท้ายทอย และพอผมตระหนักได้ถึงสิ่งนั้น ก็ทำให้รู้ว่าตอนนี้ตัวเองกำลังเดินอยู่ตรงใจกลางของทุ่งกว้างผืนนี้เสียแล้ว

หลังจากนั้น ผมจึงค่อยๆ เดินผ่านผู้คนไป พลางกับได้ยินเสียงจากใครบางคน ณ บริเวณนั้นดังแว่วเข้ามาในหู

“ซูยอน! ซูยอน! ตอบสิ! ซูยอน!”

“ใครก็ได้ช่วยด้วย! ท่านนักบวชช่วยมาตรงนี้ด้วย!”

กลุ่มคนกำลังตามหาใครสักคนอย่างร้อนอกร้อนใจ และกลุ่มคนที่กำลังวิงวอนร้องขอความช่วยเหลือ

“โชคดีจริงๆ ที่รอดมาได้ โชคดีแล้วนะ พวกเรารอดตายแล้ว!”

“ฮึก ฮือออ…”

กลุ่มคนที่ทั้งโล่งใจ และดีใจที่ตัวเองได้มีชีวิตอยู่ต่อ

“พี่! พี่! หลับตาทำไม! ลืมตาสิ ลืมตา! เอ๋? พี่? พี่!”

กลุ่มคนที่กำลังคร่ำครวญอยู่ตรงเบื้องหน้าผู้เล่นที่สิ้นใจ

“ปล่อย! บอกให้ปล่อยไงวะ! ฉันจะฆ่าแกไอ้พวกสวะ!”

“อดทนหน่อยนะ! อดทนไว้! พวกเราเป็นเชลยที่ยอมแพ้แล้วนะ! ตอนนี้มันจบลงแล้วไม่ใช่หรือไงเล่า!”

“ใครอนุญาตให้แกเป็นเชลยวะ! สงครามมันยังไม่จบแค่นี้หรอกเว้ย! ไอ้XX!”

กลุ่มคนที่กำลังเผชิญหน้าต่อความตาย และกลุ่มคนที่อารมณ์กำลังเดือดดาล

“ท่านพี่! ท่านพี่! ไม่จริงใช่ไหม โกหกกันใช่ไหม โธ่โว้ย! ท่านพี่!”

และกลุ่มคนที่กำลังโศกเศร้ากับการจากไปของคนรู้จัก…

เอ๋?

ผมรู้สึงคุ้นเคยกับเสียงๆ หนึ่งที่ดังแว่วเข้ามาในหูอย่างประหลาด จึงได้เผลอหยุดการเคลื่อนไหวไปโดยไม่รู้ตัว แล้วจึงค่อยๆ หันหน้าไปมอง จึงพบว่ามีผู้คนหลายสิบคนกำลังรวมตัวกันอยู่ ณ จุดใดจุดหนึ่ง บนหน้าอกของพวกเขาเหล่านั้น ส่วนใหญ่แล้วมีลวดลายที่แสดงให้เห็นว่าเป็นสมาชิกเผ่าโครยอปรากฏอยู่ด้วย

“โธ่เว้ย! ไหนว่าสัญญากันแล้วไงครับ สัญญากันแล้วไม่ใช่เหรอ ว่าจะอยู่ด้วยกันจนนาทีสุดท้าย! มะ…ไม่… ต้องไม่ใช่ตอนนี้สิ นักบวชตรงนั้นน่ะ มัวทำอะไรอยู่! รีบมาร่ายเวทรักษาเร็วเข้า!

“ผู้เล่นโจซองโฮ! แคลนลอร์ดโครยอเสียชีวิตแล้วครับ ขอแสดงความเสียใจต่อการจากไปครั้งนี้ด้วย ก่อนอื่นผมต้องขอให้คุณทำใจให้สงบ…”

ณ วินาทีที่ได้ยินประโยคนั้น ผมรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างกำลังพุ่งเข้ามาเตือนสติอยู่น้อยๆ

แคลนลอร์ดโครยอเสียชีวิต?

ถ้าอย่างนั้นแล้วก็คงเสียชีวิตเหมือนคราวรอบที่แรกกระมัง

…ผมไม่รู้ว่าเขาตายได้อย่างไร ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ได้ตายอย่างเสียเปล่า เพราะคงได้รับการประเมินดีๆ ต่อไปในภายหลัง ผมคิดได้เช่นนั้น

ผมถอนหายใจเบาๆ ก่อนที่จะเดินผ่านผู้คนที่กำลังร้องไห้คร่ำครวญไป

ยิ่งผ่านเลยไปเท่าไหร่ ผมยิ่งรู้สึกได้ว่าเสียงอันดังลั่นทั่วอาณาบริเวณก็ค่อยๆ ทุเลาลงไปมากขึ้นเท่านั้น

และแล้วผมก็ได้มาถึงสถานที่ต่อมา นั่นก็คือ ที่ที่ได้เจอกันเมื่อตอนช่วยเหลือพวกเด็กๆ ทั้งหลายนั่นเอง

สถานที่ที่อันซลได้บรรลุการตื่นรู้ และสถานที่ที่ชินซังยงได้ลาจากโลกใบนี้ไป

ไม่มีใครยืนอยู่ ณ ที่แห่งนั้นเลยแม้แต่คนเดียว หลงเหลือเพียงแค่ศพหลายศพ และร่องรอยต่างๆ ก็เท่านั้น ดูเหมือนโกยอนจูจะทำตามคำสั่งของผมเป็นอย่างดี

“…”

รอยเลือดที่เลอะเลือนเปรอะเปื้อนไปทั่วอยู่ตรงหน้านี้ คงจะมีเลือดของชินซังยงผสมปนเปอยู่ด้วย ผมทอดสายตาจ้องมองไปยัง ณ ที่แห่งนั้นสักพักหนึ่ง ก่อนที่จะเริ่มเดินเข้าไปอีกครั้ง

หลังจากนั้น สมรภูมิรบที่เคยเงียบสงัด พอยิ่งสาวเท้าก้าวเข้าไปเรื่อยๆ เท่าไหร่ ก็กลับได้ยินเสียงดังเจี๊ยวจ๊าวดังลั่นเข้ามาในหู

ตึก ตึก ตึก

จังหวะการก้าวย่างยังคงเชื่องช้าเหมือนเดิม ผมก้าวเท้าช้ามาก ราวกับคนไม่มีแรง ช้าจนแทบคิดไม่ถึงเลยว่าจะเป็นคนๆ เดียวกันกับที่วิ่งเร็วฉิวในสงครามเมื่อครู่นี้ เหมือนเดินไปเรื่อยๆ อย่างไร้จุดหมายเลยมั้ง

ผมเดินข้ามทุ่งกว้างผืนนั้นไปเท่าไหร่แล้วนะ

จากที่ตอนแรกผมเห็นอยู่ไกลๆ ตอนนี้กลับได้เห็นเหล่าผู้เล่นกำลังยืนรวมตัวกันอยู่ที่จุดใดจุดหนึ่งเข้าเสียที และ ณ วินาทีนั้น ผมจึงได้หยุดการเคลื่อนไหวไปโดยไม่รู้ตัว เหล่าผู้เล่นที่เห็นคือ สมาชิกเผ่าเมอร์เซนต์นี่นั่นเอง

ในตอนแรก ผมเองก็ไม่รู้เช่นกันว่าทำไมตัวเองถึงเดินช้า แต่แล้วพอได้เห็นสมาชิกเผ่าทั้งหลาย ความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นมาในหัวทันที และแล้วผมจึงได้พบกับคำตอบของคำถามนั้นในที่สุด

เมื่อสมัยก่อน ตอนที่เผ่าเมอร์เซนต์นารี่อยู่ในช่วงเพิ่งเริ่มต้นนั้น จำได้ว่าพอเราเสร็จสิ้นการออกสำรวจและเดินทางกลับกันนั้น เราได้พบกับผู้เล่นกลุ่มหนึ่ง พวกเขาก็เพิ่งเสร็จสิ้นภารกิจการออกสำรวจ และกำลังเดินทางกลับด้วยเช่นกัน พวกเราต่างดีอกดีใจกันมาก เพราะการออกสำรวจในครั้งนั้นประสบความสำเร็จด้วยดี แต่แล้วกลับจำได้ว่าอีกเผ่าบรรยากาศเศร้าสลด ซึ่งต่างจากอารมณ์ของเผ่าเราโดยสิ้นเชิง เหตุผลช่างง่ายแสนง่าย เพราะภารกิจการออกสำรวจก็ทำได้ไม่สำเร็จ และยังต้องสูญเสียสหายร่วมเดินทางไปอีกด้วย

ตอนนั้นพวกเด็กๆ ถึงกับหยุดคุยโม้โอ้อวด และทำได้แต่เฝ้ามองพวกเขาเหล่านั้น ผมก็สงสัยเหมือนกันว่าพวกเด็กๆ กำลังคิดอะไรอยู่ในหัว พลางให้คำมั่นสัญญากับตัวเองไว้ด้วย ว่าอย่างไรก็ต้องทำให้สำเร็จจงได้ เพื่อที่จะได้ไม่ต้องมาพบเจอกับเรื่องราวแบบนั้น จะต้องทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อไม่ให้เผ่าเมอร์เซนต์นารี่ตกอยู่ในบรรยากาศแห่งความเศร้าโศกเช่นนั้น

แต่ผลลัพธ์ที่ได้กลับล้มเหลวไม่เป็นท่า หากมองในมุมของตัวเอง จะเห็นได้ว่าผมได้บรรลุเป้าหมายสำเร็จหมดแล้ว แต่หากมองในมุมมองของเผ่า… สมาชิกเผ่าทุกคนกลับต้องตกอยู่ในอันตราย ซ้ำร้ายยังต้องสูญเสียคนไปหนึ่งคนอีกด้วย

เมื่อครั้งที่คัดเลือกบุคคลที่เหมาะสมสำหรับไปสู้ศึกในสงคราม ชินซังยงได้ถูกละเว้นไป ซึ่งผมได้รับการร้องขอเป็นการส่วนตัว เขาจึงสามารถเข้าร่วมสงครามครั้งนี้ได้ แต่สิ่งที่ผมได้ตัดสินใจลงไปนั้น ทำให้รู้ว่าตัวเองเลือกผิดมหันต์ ผิดที่ยอมให้เขาเข้าสงคราม ผิดจนไม่มีคำใดจะแก้ตัว

น่าจะมาคนเดียวเสียตั้งแต่แรก