ตอนที่ 53 - 3 ราชินีน่ารักตะมุตะมิ

เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 1]

จิ่งเหิงปัวไม่ได้คิดลึกขนาดนั้น นางรู้สึกเพียงว่าการที่เหยียลี่ว์ฉีแล่นมาตอนนี้เป็นการวาดงูเติมขา[1] รบกวนการสื่อสารลับๆ ของนางกับกงอิ้นทำให้นางไม่สบอารมณ์นิดหน่อย แต่นางก็คิดว่าครั้งนี้เหยียลี่ว์ฉีให้เกียรตินาง แสดงไมตรีต่อนาง ใจคิดว่าจงอย่ายื่นมือตีผู้ยิ้มแย้ม ฉะนั้นจึงยังหันหน้าไปฝืนใจยิ้มแย้ม 

 

 

สีหน้าของกงอิ้นยังคงไม่เปลี่ยนแปลง เพียงแต่หว่างคิ้วเย็นชาลงมาโดยพลันดั่งปกคลุมด้วยน้ำค้างแข็งเบาบางชั้นหนึ่ง จิ่งเหิงปัวรู้สึกถึงฝ่ามือของเขาที่ยังชื้นจนอบอุ่นเมื่อครู่เย็นลงกะทันหันได้อย่างชัดเจน 

 

 

สัตว์เลือดเย็นหรือไง เย็นเร็วเหลือเกิน 

 

 

ถ้าไม่ใช่เพราะนางจับไว้แน่น นางคิดว่าเขาคงจะอยากสะบัดนางออกไปในทันที 

 

 

เจ้าคนนี้ทำนิสัยเอาใจยากอะไรอีกแล้ว จะโทษนางว่าไม่ได้สะบัดมือของเหยียลี่ว์ฉีออกเหรอ แต่สะบัดออกตอนนี้เลยเหรอ ต่อให้นางไม่สนใจตำแหน่งราชินีนี้ยังต้องครุ่นคิดผลลัพธ์แทนเขาหน่อยไหม 

 

 

จิ่งเหิงปัวพาลเหยียลี่ว์ฉีด้วยอารมณ์พยาบาท อาศัยคอเสื้อทรงสูงบังไว้ ถลึงตามองเขาแวบหนึ่ง 

 

 

เหยียลี่ว์ฉีกลับยิ่งยิ้มแย้มเปี่ยมเสน่ห์จนผกาผลิบาน เอ่ยเสียงแผ่วเบาว่า “ฝ่าบาททรงทอดพระเนตรกระหม่อมเช่นนี้ทุกครั้ง ทอดพระเนตรเสียจนกระหม่อมอกสั่นหวั่นไหว” 

 

 

เสียงไม่ดัง ทว่าพอให้กงอิ้นได้ยิน 

 

 

ในใจของจิ่งเหิงปัวร้องเศร้าโศกเสียงหนึ่ง 

 

 

ยามนี้ถึงบนพรมแดงแล้ว กงอิ้นปล่อยมืออย่างเป็นธรรมชาติยิ่งนักแล้วผายมือไปเบื้องหน้า เท้าถอยหลังไปครึ่งก้าวน้อยๆ สู่ข้างหลังจิ่งเหิงปัว 

 

 

ตำแหน่งการเดินนั้นของเขาชาญฉลาดยิ่งนัก แย่งชิงตำแหน่งของเหยียลี่ว์ฉีพอดี เหยียลี่ว์ฉีคงมิอาจเดินอ้อมผ่านเขาไปอีกฝั่งหนึ่ง จึงทำได้เพียงเดินตามข้างหลังเขา 

 

 

ตำแหน่งการเดินในสถานที่จัดงานขนาดใหญ่เป็นศาสตร์แขนงหนึ่งเช่นเดียวกัน เหล่าขุนนางที่รอคอยหวังเดินตามต่างหยุดฝีก้าว แววตาแฝงด้วยความนัยลึกล้ำ 

 

 

ทว่าเหยียลี่ว์ฉีเพียงแต่ยิ้มครั้งหนึ่ง ถอยออกไปอย่างเด็ดขาดยิ่ง มิได้เดินขึ้นไปบนพรมแดง ทว่ายิ้มแย้มพลางเอ่ยว่า “กระหม่อมจะน้อมต้อนรับขบวนเสด็จบนปะรำพิธี” 

 

 

ทุกคนถอนหายใจเฮือกหนึ่ง 

 

 

เสมอกันอีกครั้งแล้ว หรือเอ่ยว่าราชครูเหยียลี่ว์หลีกทางให้อย่างชาญฉลาดเฉกเช่นกาลก่อน 

 

 

เช่นถึงถูกต้อง เช่นนี้ถึงคุ้นเคย ทั้งสองคนต้อนรับราชินีในขณะเดียวกันถึงทำให้คนไม่คุ้นเคย 

 

 

เรื่องราวเช่นการเมืองนี้ สิ่งที่ต้องการคือความสมดุลและมั่นคง มิต้อนรับการทำลายและล้มล้าง ด้วยเพราะการเปลี่ยนแปลงเล็กกระจ้อยทุกสิ่งต่างจะก่อเกิดการโต้ตอบซึ่งเชื่อมโยงกันนับมิถ้วนและผลลัพธ์ยากคาดการณ์ทุกรูปแบบ 

 

 

จิ่งเหิงปัวใช้แววหางตากวาดผ่านกงอิ้น มองไม่ออกว่าเขาโกรธหรือเปล่ากันแน่ 

 

 

ยามนี้เองนางไม่อาจเบนความสนใจไปคาดเดาความคิดของกงอิ้นอีกแล้ว เหล่าองครักษ์ปล่อยระยะแถวให้กว้าง ราษฎรที่ถูกความงามของราชินีพาให้ตะลึงพรึงเพริ้ดโห่ร้องยินดีพลางพุ่งเข้ามาแย่งชิงกันจดจ้องท่วงท่าสง่างามของราชินีองค์ใหม่ สายริบบิ้นหลากสีดอกไม้สดนับมิถ้วนถูกโยนขึ้นมาบนพรมแดง ทั่วท้องฟ้าโปรยปรายด้วยสายฝนมวลดอกไม้หลากหลายสีสัน 

 

 

จิ่งเหิงปัวที่เป็นคนธรรมดาในชาติก่อนจะเคยได้เสพสุขการต้อนรับแบบนี้ตอนไหน นางมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที ยิ้มแย้มกล่าวว่า “ฮัลโหล!” 

 

 

เหล่าราษฎรเงียบไปชั่วครู่ ไม่เข้าใจศัพท์การทักทายแบบใหม่นี้ ทว่าราษฎรต้าฮวงมีมารยาทยิ่งนัก จากนั้นจึงระเบิดเสียงขานรับคึกคักระลอกหนึ่งว่า “ฮัลโหล!” 

 

 

คลื่นเสียงสะเทือนนภา จิ่งเหิงปัวแทบจะโซซัดโซเซ 

 

 

ไม่ไหวแล้วแม่งเอ้ย ราษฎรต้าฮวงโคตรเป็นมิตร! 

 

 

รีบเร่งโบกมือ กล่าวเสียงดังยิ่งกว่าว่า “ฮัลโหล!” 

 

 

ราษฎรโบกมือร้องฮือฮาว่า “ฮัลโหล!” 

 

 

… 

 

 

เหล่าขุนนางมองหน้ากันไปมา…ยามราชินีเข้านครควรมีสีหน้าเคร่งขรึม สายตาไม่ชำเลืองมองสองข้าง มุ่งหน้าสู่ปะรำพิธี นี่ๆๆ… 

 

 

จ้องมองกันเสร็จรีบเร่งมองราชครู ราชครูไร้ซึ่งสีหน้า! 

 

 

กงอิ้นมองดูบางคนทำตนน่ารักใคร่อย่างไม่ประหลาดใจเลยแม้แต่น้อย 

 

 

รู้แต่แรกแล้วว่าจะเป็นเช่นนี้ 

 

 

นางดุจดังเพลิงกองหนึ่ง ไปถึงที่ใดลุกไหม้ถึงที่นั่น แม้ถมด้วยหิมะหนาหนึ่งกอง หากไม่ระวังแม้เพียงน้อยนางย่อมผุดเผยเปลวไฟออกมาได้ 

 

 

ไม่อยากสนใจแลไม่ยอมสนใจ วันเวลาต่อจากนี้จะมีอิสระน้อยลงไปมาก เหตุใดต้องควบคุมนางให้มากไปในยามนี้ 

 

 

จากนั้นนัยน์ตาของเขาก็หรี่ขึ้นมา 

 

 

ด้วยเพราะจิ่งเหิงปัวผู้ชอบโอ้อวดถูกบรรยากาศคึกคักของราษฎรแพร่เชื้อใส่ นางรีบก้าวไปยังริมพรมแดง นิ้วมือประทับลงบนริมฝีปากอย่างแผ่วเบา 

 

 

ราษฎรนิ่งเงียบ สายตาแพรวพราวเปี่ยมด้วยปรารถนา 

 

 

บุรุษผู้เคลิบเคลิ้มนับมิถ้วนใช้มือทั้งสองข้างประทับบนดวงใจ เอ่ยว่า “พระนางกำลังมองข้า! พระนางกำลังมองข้า!” 

 

 

สายตาของกงอิ้นเข้มงวดขึ้นมา 

 

 

สตรีนางนี้จะทำอะไร 

 

 

คงจะไม่… 

 

 

กำลังคิดจะห้ามปราม นิ้วมือของจิ่งเหิงปัววาดออกไปอย่างเชื่องช้าสง่างาม แตะไปทางฝูงชนอย่างแผ่วเบา 

 

 

“ฮัลโหล! ข้ารักพวกเจ้า!” 

 

 

ส่งจูบครั้งหนึ่ง 

 

 

… 

 

 

เหล่าขุนนางไร้สรรพเสียง ต่างถูกสะท้านจนอกสั่นขวัญแขวน 

 

 

ราษฎรไร้สรรพเสียง เบิกตากว้างมองดูนิ้วมือสีขาวราวหิมะนั้นวาดราบรื่นผ่านกลางอากาศอย่างเหลือเชื่อ 

 

 

จากนั้นมีเสียงดังครืนเสียงหนึ่ง ฝูงชนพลุ่งพล่านแล้ว 

 

 

เสียงร้องตะโกนที่ดุดันเสียยิ่งกว่าคลื่นสมุทรแทบจะผันพลิกถนนใหญ่ทั้งเส้นในพริบตา 

 

 

“ฮัลโหล ฝ่าบาท!” 

 

 

คลื่นเสียงทะลักล้นปกคลุมทั่วนคร 

 

 

ที่สุดแล้วคนโบราณยังไม่ค่อยปลดปล่อยตน ผู้คนส่วนใหญ่ตะโกนออกมาเพียงว่าฝ่าบาท ตะขิดตะขวงใจจะเอ่ยคำหนึ่ง “คำนั้น” ทว่ายังมีคุณชายที่เจ้าชู้เสเพลหลายใจส่วนน้อยมากกู่ก้องร้องตะโกนกลางฝูงชนว่า “ฝ่าบาท พวกเรารักท่าน! พวกเรารักท่าน!” 

 

 

อีชีใช้มือทั้งสองข้างกุมดวงใจน้ำตาคลอเบ้าท่ามกลางฝูงชน เอ่ยว่า “นางกำลังเอ่ยกับข้า นางเพียงกำลังเอ่ยกับข้า ผู้ที่นางมองมีเพียงข้า!” 

 

 

เขายอมรับความรักที่เอิกเกริกคึกคักนี้ แลยอมรับการทุบตีที่เอิกเกริกคึกคักจากเหล่าศิษย์พี่ศิษย์น้องหกคน 

 

 

… 

 

 

ดวงตาสองข้างของจิ่งเหิงปัวเป็นประกาย แก้มแดงซ่าน ใจเต้นดุจรัวกลอง 

 

 

นางรู้สึกถึงพลังเลื่อมใสของมวลชนเป็นครั้งแรก พลังนั้นเร่งเร้าปลุกใจคนให้ฮึกเหิมเช่นนี้ ทำให้คนรู้สึกคล้ายมีวงแหวนล้อมรอบร่างกาย 

 

 

ถึงว่าคนมากมายขนาดนั้นถึงอยากเป็นซูเปอร์สตาร์ 

 

 

ดวงตาสองข้างของเหล่าราษฎรเป็นประกาย แก้มแดงซ่าน ใจเต้นดุจรัวกลองเช่นกัน 

 

 

สำหรับราษฎรแล้ว เมื่อเทียบกับราชินีผู้ครองตำแหน่งในอดีตที่ซึมเศร้าเก็บตนในภาพแห่งความทรงจำ ราชินีองค์ใหม่องค์นี้หาได้ยากแปลกใหม่เป็นกันเองน่าประทับใจหาใดเปรียบ นางร่าเริงดุจน้ำพุใส เพริศแพร้วดั่งผลท้อใหม่ ทิวทัศน์สวยงามโดยกำเนิดสายหนึ่งขัดเกลาท้องนภาของนครตี้เกอที่อึมครึมเล็กน้อยมาโดยตลอดให้สว่างไสว ที่ซึ่งมีนางดำรงอยู่ แม้แต่บึงโคลนเหนียวหนับมืดมิดห่างไกลต่างคล้ายกำลังหลั่งไหลเป็นท่วงทำนองเพลง 

 

 

ดวงตาสองข้างของกงอิ้นมืดมน สีหน้าขาวราวหิมะ หน้าผากดุจประดับด้วยน้ำค้างแข็ง 

 

 

เมื่อครู่นั่นมันกิริยาท่าทางอะไร 

 

 

เมื่อครู่นั่นมันคำว่าอะไร 

 

 

รัก 

 

 

รักหรือ! 

 

 

… 

 

 

จิ่งเหิงปัวผู้ชอบโอ้อวดถูกเสียงร้องตะโกนซัดสาดของฝูงชนกระตุ้นจนแทบจะเป็นบ้า ปลายเท้าเขย่งขึ้น มือทั้งสองข้างประทับบนริมฝีปาก ตระเตรียมส่งจูบสายฟ้าฟาดติดต่อกันทั่วทุกสารทิศรอบทิศทางชุดหนึ่งให้ราษฎรต้าฮวงที่เป็นมิตร 

 

 

มือข้างหนึ่งคว้ามือทั้งสองข้างของนางลงมาได้ทันเวลา 

 

 

จิ่งเหิงปัวหันหน้ากลับมาอย่างไม่พอใจ ตวาดเขาว่า “ทำอะไรน่ะ มันเป็นธรรมเนียม!” 

 

 

หัวคิ้วของกงอิ้นขมวดเพียงน้อย อยากต่อว่านาง อยากเรียกให้นางมองดูสีหน้ายามนี้ของเหล่าขุนนาง ทว่ายามสายตาทอดลงบนแก้มแดงซ่านและนัยน์ตาทอประกายของนาง ในใจอ่อนลงโดยพลัน 

 

 

คล้ายตั้งแต่เริ่มรู้จักนาง นางหยอกล้อหยอกเล่น หัวเราะสนุกสนานเป็นธรรมชาติหรืออาละวาดหรือร้องไห้หรือหัวเราะหรือบ้าคลั่ง เขาเคยเห็นสีหน้ามากมายของนาง ทว่ายังไม่เคยเห็นนางตื่นเต้นดีอกดีใจจริงๆ เช่นนี้มาก่อน 

 

 

สตรีพิเศษเฉกเช่นปริศนานางนี้ หรือว่าชั่วครู่หนึ่งนี้ถึงเป็นตัวตนแท้จริงของนาง 

 

 

เขาสูดหายใจ ที่สุดแล้วไม่ได้เอ่ยอะไรทั้งนั้น ส่งมือของนางกลับไปยังแขนเสื้อแล้วฉวยมือใช้แพรขาวในฝ่ามือเช็ดฝ่ามือของนางครั้งแล้วครั้งเล่า 

 

 

“ทำอะไรน่ะ” จิ่งเหิงปัวถูกเช็ดจนคันยุบยิบ หัวเราะแผ่วเบาพลางกล่าวว่า “ข้าแตะลงบนปากตนเอง เจ้าเช็ดมือข้าทำอะไร” 

 

 

แตะบนปากตนเอง ส่งให้ประชาราษฎร์ทั่วโลกหล้า! 

 

 

กงอิ้นมองนางอย่างเย็นชาปราดหนึ่ง…ยิ้ม ยังมีหน้ามายิ้มอีก หากเขาอยากจะไปเช็ดหน้าทุกผู้คนริมทางจะทำได้หรือ 

 

 

มองดูสีหน้ายังคงไม่สะทกสะท้านของนาง เขาค่อยๆ หลุบตาลง นิ้วมือขยับครั้งหนึ่งสอดสิ่งของกลมกลึงมันขลับสิ่งหนึ่งเข้าไปในแขนเสื้อของนาง 

 

 

“สิ่งใดหรือ” นางอยากจะล้วงออกมาดู 

 

 

“ห้ามดู” เขาเอ่ยว่า “ประเดี๋ยวหากเจ้าไม่มีวิธีดีๆ ใดแล้วจริงๆ จงนำมันออกมา” 

 

 

จิ่งเหิงปัวชะงักไปชั่วครู่แล้วเงยหน้ามองเขา กงอิ้นกลับหลบหลีกสายตาออกไปมองดูเหล่าขุนนางและฝูงชนผู้มีท่าทางเคร่งขรึมที่ห่างออกไปอย่างเฉื่อยเนือย 

 

 

  

 

 

 

 

 

[1] วาดงูเติมขา หมายถึง ของเดิมที่ดีอยู่แล้วถูกแต่งเติมมากจนเกินไป