ภาคที่ 5 ตอนที่ 7 ปากคำของเจ้าสุนัข

กาลหนึ่งเคยมีเขากระบี่วิญญาณ

ตอนที่ 7 ปากคำของเจ้าสุนัข โดย Ink Stone_Fantasy

          ตอนที่หลิวหลีจอมทึ่มโจมตีใส่พวกเดียวกันอย่างรุนแรง หวังลู่ที่ไม่อาจต้านทานได้ทำได้เพียงยืนอึ้งอยู่ครู่หนึ่ง ทว่าชั่วขณะที่ชายหนุ่มใจลอยอยู่ก็เพียงพอให้ผู้บำเพ็ญเซียนหญิงทั้งสองของสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์ขยับตัว

          “ไป!”

          ทันใดนั้น ลำแสงสีทองก็สว่างขึ้นเมื่อยันต์ช่วยชีวิตที่ศิษย์ของสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์ทุกคนต้องมีติดตัวถูกจุดใช้ ผู้บำเพ็ญเซียนสาวทั้งสองถูกห่ออยู่ในลำแสงทรงกลมซึ่งพาพวกนางจากไป

          หลิวหลีมองตามลำแสงสีทองสองดวงที่ลอยหนีไป หากต้องการนางย่อมสามารถขัดขวางคนทั้งสองได้ ทว่าหญิงสาวกลับไม่ใส่ใจคนพวกนั้นสักนิด แต่หันกลับมามองหวังลู่ด้วยสายตาอ้อนวอนแทน

          หวังลู่ยื่นมือออกไปแปะหัวอีกฝ่ายอย่างเป็นกันเอง

          “เด็กโง่!”

          หลิวหลีคุ้นชินกับคำวิจารณ์ดังกล่าว จึงไม่รู้สึกว่าเป็นเรื่องแปลกแต่อย่างใด แต่กลับถามอย่างพาซื่อ “ขอโทษนะ ข้าทำอะไรผิดหรือ”

          หวังลู่ถอนหายใจ “สองอย่าง อย่างแรกเลยในหมู่พวกที่รุ่นราวคราวเดียวกัน เจ้าคือผู้บำเพ็ญเซียนกระบี่ที่เก่งกาจที่สุดในสำนักกระบี่วิญญาณหรือแม้กระทั่งในอาณาจักรเก้าแคว้น ดังนั้นเจ้าควรมีบุกคลิกที่น่าเกรงขาม หยิ่งทะนง อวลด้วยไอพลัง พูดสั้นๆ คืออย่าวุ่นวายและอย่าทำตัวเป็นเด็กเอาแต่ใจ อย่างที่สอง ข้าเหมือนคนที่กินทุกอย่างไม่เลือกหรือ”

          พูดจบ หวังลู่ก็ชี้ไปที่เจ้าสุนัขสีขาวตัวน้อยที่ผู้บำเพ็ญเซียนสาวทั้งสองทิ้งเอาไว้ “เจ้าสิ่งนี้คือเชลยของเรา คืนนี้เราจะกินอย่างอื่นแทน”

          หลิวหลีโล่งใจขึ้นมาในทันที “ข้ารู้อยู่แล้วว่าท่านดีที่สุด ท่านพี่”

          หวังลู่รู้สึกหนาวยะเยือกขึ้นมาฉับพลันจนแม้กระทั่งกระดูกกระบี่ไร้ลักษณ์ของเขาก็ไม่อาจต้านทานได้ “…อย่าเรียกข้าว่าท่านพี่”

          “แต่ท่านบอกเองว่าข้าคือน้องสาวท่าน”

          “น้องสาวข้าไม่อาจน่ารักได้ขนาดนี้หรอก จากนี้ไปให้เรียกข้าว่าศิษย์พี่ ยังไงซะข้าก็เป็นถึงตัวแทนหลัก สถานะของข้าสูงกว่าเจ้ากึ่งหนึ่ง”

          “อืม ก็ได้!” แม้เหตุผลนั้นจะไม่เข้าหัวหลิวหลีก็ตาม แต่นางก็มีข้อดีอยู่อย่างหนึ่งคือไม่ได้เป็นคนชอบถามซอกแซก

          เมื่อจัดการหลิวหลีเรียบร้อยแล้ว หวังลู่ก็สาดน้ำเย็นใส่เจ้าสุนัขสีขาวตัวน้อยที่เป็นเชลยเพื่อปลุกให้มันฟื้น หลังจากที่เจ้าลูกสุนัขได้สติ มันก็รู้ในทันทีว่ามีบางอย่างทะแม่งๆ ดังนั้นจึงพยายามเข้าสู่โหมดล่องหนเพื่อพรางตัว ทว่าขณะที่ตัวมันล่องหนไปได้เพียงครึ่งเดียว มันก็เห็นดวงตาสีแดงคู่หนึ่งจ้องมองมาจากด้านหน้า

          มันคือสุนัขภูตลายด่างที่มีขนาดตัวต่างจากลูกสุนัขสีขาวและดูเหมือนว่าสายพันธุ์ก็ต่างกันด้วยเช่นกัน เจ้านี่ดูทึ่มๆ แถมกระดูกหมักซีอิ๊วที่อยู่ในปากนั่นมันอะไรกัน ทว่าร่างเล็กๆ ของอีกฝ่ายดูเหมือนจะแอบซ่อนพลังที่น่าทึ่งซึ่งทำเอาพลังวิญญาณขั้นปฐมของเจ้าสุนัขสีขาวหดตัวลงดังนั้นคาถาที่มันร่ายอยู่จึงยุติลงไปด้วย

          เจ้าสุนัขลายด่างชำเลืองมองอีกฝ่าย ส่งเสียงร้องดูหมิ่นขณะที่ปากก็เคี้ยวกระดูกหมักซีอิ๊วไม่หยุด ราวกับจะกล่าวว่า หากเจ้าคิดหนี เจ้าจะเป็นเหมือนกระดูกนี่!

          เจ้าสุนัขตัวขาวครางหงิงๆ ออกมา มองหน้าหวังลู่และหลิวหลี ทำสีหน้าอ้อนวอนขอความเมตตาที่ดูน่าสงสารที่สุดใส่อีกฝ่าย

          เมื่อเห็นว่าเจ้าสุนัขตัวน้อยไม่คิดจะหนีอีก หวังลู่ก็พยักหน้าและกล่าวขึ้น “เจ้าพูดภาษามนุษย์ได้ไหม”

          เจ้าสุนัขสีขาวส่ายหัวอย่างหวาดกลัว

          “ช่างเถอะ ฮวาฮวาเจ้าแปลให้เราที” หวังลู่เตะเจ้าสุนัขหน้าโง่ เจ้าสุนัขจอมทึ่มไม่ยินดีกับหน้าที่นี้ แต่สุดท้ายแล้วมันก็ต้องพ่นกระดูกออกจากปากจนได้ “น่ารำคาญจริง”

          จากนั้นมันก็เห่าใส่เจ้าสุนัขตัวขาวยกใหญ่ อีกฝ่ายตัวสั่นเทาร้องหงิงๆ อยู่ครู่หนึ่ง และนั่งรออย่างน่าเวทนา หลังจากสนทนากันอยู่พักใหญ่ ฮวาฮวาก็พูดกับหวังลู่ “หลานตาของข้าตัวนี้ชื่อว่าเจ้าขาว เป็นสัตว์ภูตของผู้บำเพ็ญเซียนหญิงคนนั้น ตอนนี้มันอยากจะยอมแพ้แล้ว แต่ติดที่มันมีพันธะกับผู้เป็นนาย จึงไม่สามารถเผยความลับของเจ้านายรวมถึงความลับของสำนักเจ้านายได้”

          หวังลู่พึมพำออกมา “เจ้าสุนัขนี่ดูไม่เห็นจะซื่อสัตย์สักนิด ยอมแพ้ง่ายดายเชียว… ส่วนเรื่องพันธะอะไรนั่น เซียนเอ๋อร์ จัดการซิ”

          หลิวหลีเอื้อมมือไปสัมผัสหัวของเจ้าสุนัข ทันใดนั้นเจ้าสุนัขตัวน้อยก็รู้สึกถึงจิตกระบี่แหลมคมที่พุ่งเข้าไปในหัวของมันและตรงไปยังพลังวิญญาณขั้นปฐม จิตกระบี่นี้หลบหลีกอวัยวะสำคัญของมันอย่างช่ำชองและจากนั้นก็สร้างสายไยที่มองเห็นขึ้นมา

          อึดใจถัดมา เจ้าขาวก็รู้สึกว่าพลังวิญญาณขั้นปฐมของมันเป็นอิสระและสิ่งที่ผูกมัดมันไว้นานหลายปีก็มลายไป… พันธะระหว่างมันและผู้เป็นนายถูกยกเลิกเป็นที่เรียบร้อย!

          กระบี่กระจ่างใจของหลิวหลีสามารถทะลวงทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ รวมถึงพันธะของสัตว์ภูตจากสำนักชำนาญสรรพสัตว์ด้วย

          เมื่อไม่มีพันธะผูกมัด เจ้าขาวก็ไม่รู้สึกว่าตนเองทรยศผู้เป็นนายอีกต่อไปและเล่าทุกสิ่งทุกอย่างที่มันรู้ออกมา หวังลู่ไม่ใส่ใจเรื่องชีวิตส่วนตัวของหญิงวัยกลางคนทั้งสอง ทว่าเขากลับสนใจเหตุผลเบื้องหลังการพยายามขโมยสัตว์เลี้ยงอย่างโจ่งแจ้งของพวกนาง

          ความจริงพอได้ใคร่ครวญดูแล้ว หวังลู่ก็รู้สึกว่ามันไม่ใช่เรื่องผิดปกติที่ชาวบ้านในเมืองสว่างธรรมจะบ่นกันหลังจากที่คนของสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์เข้ามาในเมือง ทว่าย่อมมีแรงจูงใจขนาดใหญ่ในการที่ผู้บำเพ็ญเซียนหญิงทั้งสองจะโจรกรรมสัตว์เลี้ยงอย่างโจ่งแจ้ง อย่างไรเสียสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์ก็เป็นสำนักที่เที่ยงธรรม ดังนั้นจึงเป็นการเสี่ยงไม่น้อยที่ศิษย์ของสำนักคิดจะปล้นผู้บำเพ็ญเซียนจากตระกูลสูงศักดิ์ซึ่งๆ หน้า หากไม่มีแรงจูงใจที่รุนแรงพอก็ไม่มีทางที่ฝ่ายนั้นจะคิดทำอะไรเช่นนี้

          และจากคำบอกเล่าของเจ้าขาว หวังลู่ก็ได้รู้ว่าเมื่อไม่นานมานี้สำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์กำลังทำการใหญ่ ซึ่งต้องใช้แรงงานคนนับพันคนจากสาขาและสาขาย่อยทั้งหมด ทว่าหญิงที่มีใบหน้ากลมและศิษย์คนอื่นๆ กลับได้รับมอบหมายภารกิจแสนประหลาด นั่นคือการรวบรวมสุนัขภูตทุกสายพันธุ์กลับมายังเขาอวิ๋นไท่ หนำซ้ำภารกิจนี้ยังเป็นภารกิจเร่งด่วน ด้วยเหตุนี้ผู้อาวุโสที่ดูแลหญิงสาวใบหน้ากลมจึงกล่าวเรียบๆ ว่า “หากเป็นสุนัขที่ดี จงพาตัวมาให้ข้าไม่ว่าจะด้วยวิธีใด แล้วเจ้าจะได้รางวัลอย่างงาม หากจำเป็นจะใช้กำลังก็ย่อมได้ ถ้ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้น ข้าจะรับผิดชอบเอง!”

          การที่พวกเขากล้าโจรกรรมจากตระกูลผู้บำเพ็ญเซียนสูงศักดิ์เห็นได้ชัดว่าสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์กำลังขาดแคลนสุนัขภูตอย่างหนักจนถึงขั้นเข้าตาจน ทว่าเรื่องนี้ก็ยิ่งแปลกเข้าไปใหญ่ ในบรรดาสำนักนับหมื่นในพันธมิตรหมื่นเซียน ไม่มีสำนักไหนสู้สำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์ได้ในเรื่องการทำให้สัตว์ภูตเชื่อง หนำซ้ำสำนักสรรพสัตว์ยังเป็นพ่อค้ารายใหญ่ในตลาดค้าขายสัตว์ภูต แล้วเหตุใดพวกเขาจึงขาดแคลนสุนัขภูตจนถึงขนาดต้องทำอะไรที่จนตรอกขนาดนี้ด้วยเล่า

          โชคร้ายที่เจ้าขาวไม่รู้ข้อมูลเพิ่มเติมมากกว่านี้ อย่างไรเสียมันก็เป็นเพียงสุนัข จึงไม่อาจเข้าใจเนื้อหาที่ซับซ้อนได้ ทว่าข้อมูลที่ได้มาก็เพียงพอต่อหวังลู่แล้ว

          “ในเมื่อความต้องการสุนัขภูตของพวกเขามาถึงจุดที่หิวกระหาย… เราก็คงไม่จำเป็นต้องทำอะไร เดี๋ยวพวกระดับสูงก็จะลงจากเขามาตามหาเราเอง”

——

          ในขณะเดียวกันที่ยอดเขาอวิ๋นไท่ เฉินตงจื้อและศิษย์น้องหญิงก็กำลังก้มหัวรับคำบริภาษของผู้เป็นอาจารย์อยู่

          “ถ้าข้าเข้าใจไม่ผิด แทนที่จะได้เจ้าสุนัขล้ำค่าแปลกตานั่นกลับมา เจ้ากลับเสียสุนัขภูตของตัวเองไปด้วยงั้นสินะ”

          ชายร่างสูงรูปร่างล่ำสันเปลือยท่อนบนอวดกล้ามเนื้อไต่ถามผู้เป็นศิษย์ด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ

          เฉินตงจื้อตอบอย่างสั่นกลัว “ศิษย์ไร้ความสามารถ ทำให้สำนักต้องขายหน้า ศิษย์น้อมรับการลงโทษจากท่านอาจารย์”

          ชายหนุ่มร่างกำยำเหยียดยิ้ม “ลงโทษ? ต่อให้เจ้าสองคนโดนทึ้งเป็นชิ้นๆ แล้วจะมีประโยชน์อะไร หากเจ้าคิดจะทำตามกฎของสำนักจริงๆ เจ้าก็ต้องร้องไห้คร่ำครวญและตะโกนขอความเมตตาต่างหาก!”

          จิตใจของศิษย์พี่และศิษย์น้องหนักอึ้งไปในทันที พวกนางคิดมาตลอดว่าควรคุกเข่าร้องขอความเมตตาหรือไม่

          “ช่างเถอะ ครั้งนี้ฝ่ายตรงข้ามแข็งแกร่งกว่าพวกเจ้านัก… พวกเขาสามารถตัดพันธะสัตว์เลี้ยงของสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์ของเราได้ ไม่แปลกอะไรที่พวกเจ้าจะสู้ไม่ได้ ข้าก็แค่สงสัยว่าตระกูลเยวี่ยแห่งทะเลสาบวารีสวรรค์มีลูกศิษย์ที่แข็งแกร่งเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน”

          ขณะที่ผู้อาวุโสเริ่มรำพึงกับตัวเอง คิ้วของเขาขมวดเข้าหากันจนเกือบจะกลายเป็นเส้นเดียว

          ผู้เป็นศิษย์น้องกล่าวอย่างกล้าหาญ “ท่านอาจารย์ แม้สองคนนั้นจะฝีมือร้ายกาจ แต่ขั้นตบะของพวกเขาก็ยังต่ำเตี้ย ดังนั้นจึงไม่น่าห่วงอะไร และแม้พวกเขาจะคิดว่าตัวเองฉลาดที่เลือกเล่นเล่ห์โดยการตัดพันธะของเจ้าขาวทิ้ง แต่พวกเขากลับเผยจุดอ่อนของตัวเองออกมา เจ้าขาวมาจากสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์ของเรา ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องยากที่จะตามรอยมัน หากเราตามรอยเจ้าขาวไป เราย่อมพบสุนัขภูตแปลกตาตัวนั้นแน่!”

          ผู้อาวุโสกล้ามโตปรายตามอง “พวกเจ้าจะเป็นคนไปหา?”

          ศิษย์น้องพูดไม่ออกในทันใด “ข้า…ศิษย์มีขั้นตบะต่ำต้อย ข้าเกรงว่า…”

          “เกรงว่าจะไม่ใช่คู่ต่อกรของคนพวกนั้น จึงอยากให้อาจารย์จัดการเรื่องนี้เอง หึ ศิษย์จากตระกูลชั้นสูงพวกนี้เป็นตัวปัญหาที่สุด หากเราตีพวกตัวเล็กๆ เดี๋ยวตัวใหญ่ๆ ก็จะออกมา แม้ว่ากันว่าแถบทะเลสาบวารีสวรรค์ ตระกูลเยวี่ยเป็นเพียงตระกูลเล็กๆ แต่ในเมื่อพวกเขาสามารถผลิตศิษย์ที่แข็งแกร่งเช่นนั้นออกมา ทำไมพวกเขาจึงยังทำตัวสงบเสงี่ยมอยู่ได้ แต่ในเมื่อตอนนี้สาขาของเรามีภารกิจสำคัญที่ต้องทำ จึงไม่ใช่เวลาที่จะมาทำอะไรให้ซับซ้อน แต่ก็น่าแปลกไม่น้อยว่าพวกเขามาทำอะไรที่เขาอวิ๋นไท่นี่”

          ผู้เป็นศิษย์น้องรวบรวมความกล้าและกล่าวขึ้น “ข้าจำได้ชายคนนั้นกล่าวว่ากำลังตามหานักบวชเซนชื่อโกวรั่ว”

          “นักบวชเซนโกวรั่ว?” ผู้อาวุโสขมวดคิ้วและพึมพำชื่อนั้นอีกหลายครั้ง ทันใดนั้นสีหน้าของเขาก็พลันเปลี่ยนไป “นักบวชเซนโกวรั่ว!? ระยำ ต้องเป็นนักบวชเซนโกวรั่ว (นักบวชเซนเนื้อสุนัข) สารเลวนั่นแน่! รีบบอกรายละเอียดของสองคนนั้นมาเร็ว!”

          หลังฟังเรื่องราวจากศิษย์ทั้งสอง ผู้อาวุโสก็ยังไม่พบเบาะแสอยู่ดี ทว่าหลังจากคิดทบทวนอยู่พักใหญ่ สุดท้ายแล้วความโกรธก็มีอำนาจเหนือสติ “ช่างมัน ค่อยถามอีกทีตอนจับตัวสองคนนั้นได้ก็แล้วกัน ถ้าข้าแขวนคอเจ้าสารเลวนั่นได้งั้นก็ดีไป แต่ถ้าหากว่าผิดตัว ก็ถือว่าเรื่องใหญ่ แต่ข้าก็แค่ต้องไปที่ทะเลสาบวารีสวรรค์ ถึงตอนนั้นตระกูลเยวี่ยย่อมไม่อาจพูดอะไรได้แน่”

          ศิษย์ทั้งสองรู้สึกโล่งใจขึ้นมาในทันใด ศิษย์น้องกรอกตาจากนั้นก็ถามผู้เป็นอาจารย์ “ท่านอาจารย์ สุนัขภูตลายด่างแปลกตานั่น…”

          “ฮ่ะๆ คนของทะเลสาบวารีสวรรค์ไม่เอาไหนเรื่องทำให้สัตว์เชื่อง ถ้าปล่อยไว้ในมือคนพวกนั้น สัตว์ภูตล้ำค่าเช่นนั้นย่อมเสียเปล่าแน่ ถ้าพวกเขารักเจ้าสุนัขภูตนั่นจริง พวกเขาก็สมควรปล่อยมันไป”

          ความหมายโดยนัยของคำพูดนี้นั้นแจ่มชัด ภายหลังพอจับตัวสองคนนั้นได้ สุนัขภูตตัวนั้นย่อมตกเป็นของพวกเขาอย่างแน่แท้

          เมื่อเห็นว่าผู้เป็นอาจารย์ตกลงรับเรื่องนี้ไปจัดการเอง ผู้บำเพ็ญเซียนสาวใบหน้ากลมก็รู้สึกสะเทือนใจขึ้นมา อาวุธวิเศษของนางถูกหลิวหลีทำลาย ซึ่งเป็นเรื่องที่ทำให้นางเจ็บปวดใจยิ่งนัก ดังนั้นหลังจากที่คิดบางอย่างขึ้นมาได้ นางจึงแนะขึ้น “ท่านอาจารย์ ข้าว่ากระบี่บินของเยวี่ยเซียนนั่นไม่ธรรมดาเลย ทำไมเราไม่…”

          ผู้อาวุโสคำราม “สำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์ของเราไม่ใช่สำนักโจร หากเราคิดจะเอาสุนัขภูตนั่นมาเป็นของตัวเอง เรายังพอจะหาเหตุผลไปอ้างได้ ทว่าหากเราคิดจะเอาอาวุธวิเศษของผู้อื่น แล้วจะอธิบายเรื่องนี้ยังไง!?”

          เฉินตงจื้อตกตะลึงจนพูดไม่ออก

          ทว่าศิษย์น้องหญิงผู้เฉลียวฉลาดกลับพูดขึ้น “สองคนนั้นมีสุนัขภูตและอาวุธวิเศษระดับสูง ดังนั้นน่าจะสันนิษฐานได้ว่าพวกเขาเป็นศิษย์มากความสามารถที่ตระกูลเยวี่ยเอาใจใส่เป็นอย่างดี พวกเขาจึงติดนิสัยหยิ่งยโส ตอนทำภารกิจพวกเขาก็ดูไม่ได้ใส่ใจคุณค่าของสิ่งของ ดังนั้นหากอาวุธวิเศษของพวกเขาเกิดความเสียหายบ้าง ก็คงไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร”

          พอได้ยินดังนั้น เฉินตงจื้อกลับคิดว่าคำพูดของศิษย์น้องช่างไร้สาระ ทว่าเมื่อนางหันไปมองผู้เป็นอาจารย์ นางกลับเห็นอีกฝ่ายยิ้มน้อยๆ โดยไม่ได้กล่าวอะไร ซึ่งทำให้นางรู้สึกหม่นหมองยิ่งนัก เฉินตงจื้อถอนหายใจให้กับความห่างชั้นที่เป็นอยู่นี้! ไม่แปลกเลยที่แม้นางจะมีพรสวรรค์เหนือกว่า แต่ขั้นตบะของคนทั้งคู่กลับอยู่ในระดับเดียวกัน หนำซ้ำอาจารย์ยังชื่นชอบศิษย์น้องมากกว่าด้วยซ้ำ

          “เอาละ งั้นมาดูกันหน่อยว่าผู้ที่มีพรสวรรค์ทั้งสองของตระกูลเยวี่ยจะเก่งกาจสักแค่ไหนกัน!”

          ทันทีที่พูดจบ สีหน้าของชายรูปร่างกำยำผู้นี้ก็เปลี่ยนไปเพราะเขาได้ยินเสียงเรียกรวมตัวของผู้อาวุโสที่เป็นหัวหน้าสาขา

          “หา? เป้าหมายปรากฏตัว? ดี ข้าจะไปเดี๋ยวนี้!”

          เขาหันหน้ามาและพูดกับลูกศิษย์ทั้งสอง “ศิษย์พี่เรียกตัวข้า และข้าปฏิเสธไม่ได้ พวกเจ้าสองคน… ให้หยินเป้ย (หลังเงิน) ตามไปด้วยแล้วกัน”

          พูดจบผู้อาวุโสก็ส่งพลังไปที่เท้า จากนั้นก็พุ่งตัวขึ้นไปบนท้องฟ้าและเหาะออกไปราวกับเป็นกระสุนปืนใหญ่

          ผู้บำเพ็ญเซียนหญิงทั้งสองได้แต่ยืนอึ้งเหม่อมองไปที่นอกอาคาร ขณะที่กอริลล่าขนาดใหญ่ยิ่งกว่าอาจารย์ของพวกนางกำลังเดินเข้ามาอย่างช้าๆ ทุกย่างก้าวของมันสร้างความสั่นสะเทือนให้กับห้อง เจ้ากอริลล่ามาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าผู้บำเพ็ญเซียนทั้งสอง สายตาของมันเต็มไปด้วยความดูหมิ่นและขัดเคือง

          หญิงสาวทั้งสองทักทายอีกฝ่ายด้วยเสียงสั่นเทา

          “คารวะท่านอาหยินเป้ย”

          “ฮึ ข้าได้ยินที่ศิษย์พี่พูดแล้ว พวกเจ้าแค่นำทางไป ส่วนเจ้าเด็กสองคนและสุนัขภูตนั่นเดี๋ยวข้าจัดการเอง”