ตอนที่ 173 ดื่มเหล้าองุ่นแก้วใหญ่

ลำนำสตรียอดเซียน

หลังจากคุยเกี่ยวกับเหตุการณ์อื่นๆ ที่ทั้งสองคนยกหัวข้อต่างๆ มาพูด เจียงซั่งหังก็ถามขึ้นว่า “ศิษย์น้องเยี่ย ในเมื่อเจ้าเป็นศิษย์โรงเรียนดังแล้วตอนนี้ เหตุใดเจ้าถึงมาที่กันดารอย่างเขตธารน้ำแข็งทางทิศเหนือสุดนี่เล่า”

 

 

“คือ… ข้าจะพูดตามตรงกับศิษย์พี่เจียง ข้าออกจากภูเขามาเพื่อท่องเที่ยว และเนื่องจากสำนักเจิ้งฝ่าและโรงเรียนเสวียนชิงของข้าทั้งคู่ต่างเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มเต๋า ข้าจึงลองมาที่นี่” สิ่งที่นางพูดนั้นจริงครึ่งไม่จริงครึ่ง เรื่องที่นางออกจากโรงเรียนเพื่อท่องเที่ยวนั้นเป็นเรื่องจริง ทว่าคงไม่เหมาะที่จะพูดมากเกินไปถึงชะตาลิขิตอย่างการที่นางเข้าไปถึงถ้ำเซียนของจื่อเวย

 

 

เป็นธรรมดาที่เจียงซั่งหังไม่รู้ว่านางกำลังปิดบังอะไรอยู่ ดังนั้นเมื่อเขาได้ยินคำตอบของนาง เขาจึงแค่พยักหน้า นี่เป็นเรื่องปกติมาก เพื่อจะหลีกเลี่ยงการมีสภาวะจิตใจไม่มั่นคงในระหว่างการบรรลุผ่านดินแดนและทำไม่สำเร็จ ศิษย์ส่วนใหญ่จากกลุ่มการฝึกตนใหญ่ๆ จึงมักจะออกไปข้างนอกเพื่อหาประสบการณ์ภาคสนามก่อนที่จะทำการบรรลุผ่านดินแดน โม่เทียนเกอตอนนี้อยู่ในจุดสูงสุดของขั้นกลางดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงาน ดังนั้นตามกฎแล้ว นางก็ต้องออกไปข้างนอกและหาประสบการณ์ก่อนที่นางจะสามารถลองทำการเข้าสู่ขั้นสุดท้ายของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงาน

 

 

“แล้วศิษย์พี่เจียงเล่า ทำไมตอนนี้ท่านไม่อยู่ในสำนักเจิ้งฝ่า”

 

 

เจียงซั่งหังยิ้มแต่ไม่ได้ตอบทันที มีร่องรอยของความลังเลในใบหน้าเขา แต่สุดท้ายเขาก็พูดช้าๆ ว่า “ข้าเองก็จะพูดตามตรงกับเจ้าเช่นกัน หลังจากข้าสร้างฐานแห่งพลังงาน มันคงจะยากมากสำหรับการฝึกตนของข้าที่จะพัฒนาไปด้วยต้นทุนของข้า เพราะเหตุนั้น ทุกวันนี้ข้าจึงไม่ได้อยู่ในสำนักตลอดเวลา ข้ามักจะออกไปข้างนอก มองหาพืชวิญญาณเพื่อปรุงยาวิเศษ ไม่เช่นนั้นด้วยต้นทุนที่ข้ามี มันจะยากมากสำหรับข้าที่จะ…” เขาหยุดก่อนจะพูดต่อ “นั่นก็เป็นเหตุผลว่าทำไมข้าถึงออกจากสำนักในครั้งนี้ เจ้าไม่ควรทึกทักเอาว่าเขตทิศเหนือสุดเป็นแค่ทุ่งหิมะที่ไร้ขอบเขต ที่จริงแล้วมีสิ่งดีๆ มากมายข้างนอกนั่น มันแค่ขึ้นอยู่กับว่าคนเราจะสามารถหามันเจอหรือไม่”

 

 

เมื่อเห็นรอยยิ้มลับๆ บนใบหน้าเจียงซั่งหัง โม่เทียนเกออดไม่ได้ที่ต้องถามว่า “ศิษย์พี่เจียงพอจะรู้หรือไม่…”

 

 

เจียงซั่งหังยังคงมีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้าเขา พูดว่า “หากศิษย์น้องเยี่ยสนใจ เราสามารถคุยรายละเอียดกันทีหลังได้ ในเมื่อศิษย์น้องเยี่ยก็มาถึงเขตธารน้ำแข็งทางทิศเหนือสุดแล้ว ข้าควรจะทำเต็มที่ในฐานะเจ้าบ้านและต้อนรับเจ้าเป็นอย่างดี”

 

 

เมื่อสังเกตเห็นว่าเจียงซั่งหังเปลี่ยนประเด็น โม่เทียนเกอก็รู้ทันทีว่าเขาไม่อยากจะพูดถึงมันในตอนนี้ นางจึงหยุดถามและเป็นฝ่ายพูดนำแทน นางพูดพร้อมพยักหน้า “ถ้าเช่นนั้นข้าคงจะต้องขอบคุณศิษย์พี่เจียง ในเขตธารน้ำแข็งทางทิศเหนือสุดนี้ ข้าเป็นแค่คนแปลกหน้าในต่างแดน การมีศิษย์พี่เจียงคอยอยู่เป็นเพื่อนก็คงจะดีไม่น้อย”

 

 

เจียงซั่งหังหัวเราะแล้วจึงพูดว่า “ศิษย์น้องเยี่ย ข้าคิดว่าเจ้าต้องเหนื่อยมากแน่ ถ้าเช่นนั้นเจ้าพักผ่อนก่อนดีไหม เมื่อเจ้าพักผ่อนเพียงพอแล้ว เราค่อยมาปรึกษากันถึงเรื่องที่เกี่ยวกับการฝึกตน หรือบางทีข้าอาจจะพาเจ้าไปดูทิวทัศน์ของเขตทิศเหนือสุดนี้ได้”

 

 

“เช่นนั้น… ข้าคงต้องรบกวนศิษย์พี่ด้วย”

 

 

เจียงซั่งหังพยักหน้าพร้อมกับรอยยิ้มแล้วจึงตะโกนเสียงดัง “ใครก็ได้!”

 

 

ครู่เดียวหลังจากนั้น หญิงคนที่ก่อนหน้านี้นำชามาให้พวกเขาเปิดประตูม่านเข้ามาอีกครั้ง นางทำความเคารพเขาแล้วจึงถามว่า “ท่านเทพเซียน ท่านมีอะไรจะสั่งการหรือเจ้าคะ”

 

 

เจียงซั่งหังพูด “เก็บกวาดบ้านพักแขกให้เรียบร้อย ดูแลสหายของข้าให้ดีล่ะ”

 

 

หญิงคนนั้นเหลือบมองโม่เทียนเกอ “เจ้าค่ะ” ทันทีหลังจากนั้น นางเดินมาหาโม่เทียนเกอ โค้งอย่างนอบน้อมแล้วจึงทำท่า “เชิญ” ด้วยมือของนาง “ท่านเทพธิดา เชิญมากับข้าน้อยเจ้าค่ะ”

 

 

โม่เทียนเกอประสานมือไปทางเจียงซั่งหังอีกครั้งแล้วจึงยืนขึ้นและตามหญิงผู้นั้นออกจากบ้านน้ำแข็งไป

 

 

มนุษย์หญิงผู้นั้นนำทางนาง เลี้ยวเข้าไปในห้องน้ำแข็งที่ไม่ห่างออกไปมากนัก ไม่มีความแตกต่างมากระหว่างบ้านน้ำแข็งหลังนี้และหลังที่เจียงซั่งหังอยู่ก่อนหน้านี้ ด้านนอกคือห้องนั่งเล่นเล็กๆ เหมือนกันและด้านในคือห้องนอนซึ่งถูกกั้นโดยประตูม่านจากห้องนั่งเล่น ประตูไม่เหมาะกับบ้านน้ำแข็งในเขตทิศเหนือสุดนี้ เพราะฉะนั้นเห็นได้ชัดว่าบ้านทุกหลังจึงใช้ประตูม่านที่ทำมาจากหนังสัตว์

 

 

หลังจากพานางมาที่นี่ มนุษย์หญิงโค้งอย่างนอบน้อมอีกครั้ง “ท่านเทพธิดาเชิญพักที่นี่เจ้าค่ะ หากท่านต้องการอะไร ท่านต้องทำเพียงแค่ตะโกนเรียกข้า”

 

 

“อืม” โม่เทียนเกอพูดพร้อมกับสำรวจดูบ้านน้ำแข็งหลังเล็ก

 

 

มนุษย์ผู้หญิงทำความเคารพนางแล้วจึงออกจากบ้านไป

 

 

โม่เทียนเกอนวดหน้าผากของนาง ถึงแม้นางจะรู้สึกเหนื่อยล้า แต่นางก็ยังระวังตัวมากพอที่จะวางม่านพลังป้องกันเอาไว้ภายในบ้านก่อนจะเข้าสู่โลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนของนาง

 

 

ในแคว้นจิ้น นางพบการผันผวนของพลังวิญญาณและตามมันมาจนกระทั่งนางมาถึงหุบเขามรสุมในภูเขาเก้าวิญญาณ ที่นั่นนางเข้าไปในถ้ำเซียนของจื่อเวย และสุดท้ายนางก็ถูกส่งมายังเขตธารน้ำแข็งทางทิศเหนือสุดโดยม่านพลังเคลื่อนย้าย ที่จริงแล้วทั้งหมดนี้เกิดขึ้นภายในระยะเวลาสามถึงสี่วัน สำหรับผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังงาน สามถึงสี่วันนั้นแทบไม่มีค่า แต่อย่างไรก็ตาม เพราะนางผ่านเหตุการณ์หลายต่อหลายสิ่งมาในช่วงเวลานั้น โม่เทียนเกอจึงรู้สึกเหนื่อยล้าจนทนไม่ไหว

 

 

ตอนนี้เมื่อนางเข้าสู่โลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนและรู้สึกปลอดภัยได้ในที่สุด โม่เทียนเกอไม่อยากจะทำอะไรทั้งนั้น นางนอนลงโดยตรงและหลับไปเกือบจะทันที

 

 

ครั้นถึงเวลาที่นางตื่นขึ้น นางไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเป็นเวลาเท่าไร จากนั้นนางจำได้ว่านางผ่านอะไรมาบ้างในถ้ำเซียนของจื่อเวย จากกระเป๋าเอกภพของนาง นางเอาหุ่นเชิดรูปปั้นหินสลักสองตัว หนังสือม่านพลังเสวียนจี และหินสุริยันออกมา

 

 

ในถ้ำเซียนของจื่อเวยนางได้รับของมาทั้งหมดห้าอย่าง รองเท้าย่ำเมฆาที่ใส่อยู่กับตัวนาง ส่วนสินแร่ที่ไม่รู้จักนั้น ถึงแม้นางจะบอกไม่ได้ว่าคืออะไร แต่ต้องไม่ใช่ของธรรมดาอย่างแน่นอน นางจึงเก็บมันไว้ก่อน นอกเหนือจากของสองอย่างนั้น ของอีกสามอย่างอยู่ต่อหน้านางแล้วตอนนี้

 

 

หุ่นเชิดรูปปั้นหินสลักสองตัวนี้อยู่ในดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงานขั้นสุดท้ายทั้งคู่ จากวิชาสำหรับควบคุมที่นักเดินทางจื่อเวยทิ้งไว้ในจิตใจนาง นางค้นพบว่าหุ่นเชิดพวกนี้จะซึมซับพลังวิญญาณรอบตัวมันโดยอัตโนมัติ ตราบใดที่มีพลังวิญญาณ มันก็จะสามารถใช้การได้เสมอ สำหรับตัวนางในปัจจุบัน การมีผู้ช่วยระดับการสร้างฐานแห่งพลังงานขั้นสุดท้ายสองตัวหมายความว่าพละกำลังของนางเพิ่มขึ้นมากกว่าครึ่ง ถ้านางสามารถควบคุมพวกมันได้อย่างดี นางไม่จำเป็นต้องกลัวผู้ฝึกตนคนไหนที่ระดับการฝึกตนต่ำกว่าดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลังเลยด้วยซ้ำ

 

 

ยังมีหินสุริยันอีกด้วย ตามคำของนักพรตฟางเจิ้ง สิ่งนี้สามารถผลิตไฟสุริยันซึ่งสามารถใช้ในการปรุงยาวิเศษได้ นางทิ้งเสี่ยวหั่วไว้กับเจินจีเพื่อให้แน่ใจว่าเขาปลอดภัย และไฟตานเถียนของผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังงานก็ไม่แกร่งมากพอ ดังนั้นนางจึงขาดไฟในการปรุงยาอยู่ ณ ตอนนี้ การมีหินสุริยันนี้จะทำให้สิ่งต่างๆ ง่ายสำหรับนางมากขึ้น

 

 

แต่ถึงอย่างนั้น สิ่งสำคัญที่สุดในทั้งหมดนี้คือหนังสือม่านพลังเสวียนจี ภายในถ้ำเซียนของจื่อเวย นางได้เจอมากับตัวเองถึงพลังที่น่าเกรงกลัวของม่านพลังมายาแล้ว และนักเดินทางจื่อเวยยังพูดว่าเขาอ่อนข้อให้พวกนางในม่านพลังนั้น ถ้าเขาไม่ปรานี ม่านพลังนั้นจะน่ากลัวมากแค่ไหน ถ้าเป็นเช่นนั้น เมื่อใดที่นางศึกษาหนังสือม่านพลังเสวียนจีจนเสร็จเรียบร้อยแล้ว มันก็คงไม่เป็นการพูดเกินจริงหากจะพูดว่านางจะสามารถสู้กับศัตรูได้หลายคนพร้อมกันในคราวเดียวได้แน่ถ้านางมีการเตรียมตัวมากพอ ต่อให้ศัตรูของนางจะเป็นผู้ฝึกตนระดับสูง แต่นางก็คงไม่ลงเอยด้วยการหมดหนทางช่วยชีวิตตัวเองแน่นอน

 

 

นางใส่จิตสัมผัสลงไปในหยกบันทึกเรียบร้อยแล้วและเตรียมพร้อมจะศึกษาหนังสือม่านพลังเสวียนจี แต่จู่ๆ นางก็ได้ยินเสียงดังมาจากภายนอกโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน “ท่านเทพธิดา ท่านเทพธิดา”

 

 

โม่เทียนเกอชี้ไปที่พื้นที่ว่างตรงหว่างคิ้วและในเวลาเสี้ยววินาทีถัดมา นางก็ออกจากโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน จากนั้นนางเปิดม่านพลังและพูดว่า “เข้ามาได้!”

 

 

ใครบางคนยกประตูม่านเปิดขึ้นข้างนอกและเดินเข้ามา แต่แล้วก็หยุดอยู่นอกประตูด้านใน ในไม่ช้า เสียงของผู้หญิงคนเมื่อวานดังผ่านเข้ามา “ท่านเทพธิดา ท่านเทพเซียนของเราต้องการขอพบท่าน ท่านเทพธิดามีเวลาพบเขาหรือไม่เจ้าคะ”

 

 

ปรากฏว่าเจียงซั่งหังต้องการจะพบนาง! โม่เทียนเกอพยักหน้า “ได้สิ ไปกัน”

 

 

หญิงคนนั้นทำความเคารพนางอีกครั้งก่อนจะเดินนำนางกลับไปที่บ้านน้ำแข็งที่นางแวะไปเมื่อวาน

 

 

เมื่อพวกเขาเปิดประตูม่าน นางเห็นเจียงซั่งหังกำลังคอยนางอยู่แล้วในห้องนั่งเล่น พอเห็นนางเดินเข้ามา เจียงซั่งหังยืนขึ้นและทักทายนาง “ศิษย์น้องเยี่ย ข้าไม่ได้รบกวนเจ้าใช่ไหม”

 

 

โม่เทียนเกอยิ้ม “ไม่หรอก ข้าไม่มีอะไรทำพอดี”

 

 

เจียงซั่งหังยิ้มกลับ “เช่นนั้นก็ดีเลย ศิษย์น้องเยี่ย ข้าพูดว่าข้าจะพาเจ้าไปดูทิวทัศน์ในเขตทิศเหนือสุด บังเอิญว่าอากาศวันนี้แจ่มใสดี เพราะฉะนั้นเราออกไปเดินเล่นกันไหม”

 

 

“ได้สิ” ในเมื่อเจ้าบ้านเชิญนาง มีเหตุผลอะไรที่นางจะปฏิเสธด้วยหรือ

 

 

ทั้งสองคนออกจากบ้านน้ำแข็ง รายล้อมไปด้วยมนุษย์ชาวเผ่าที่ล้วนหมอบอยู่กับพื้นเมื่อเห็นพวกเขา ต่างใช้เครื่องมือเวทบินได้ของตัวเองและเหาะขึ้นไปในอากาศ

 

 

พวกมนุษย์ด้านล่างกำลังมองพวกเขาทั้งด้วยความเคารพและความอิจฉา โม่เทียนเกอถึงขนาดเห็นแม่คนหนึ่งอุ้มลูกที่อายุราวๆ สามถึงสี่ขวบของนางขึ้นและบอกเขาอย่างจริงใจว่า “เสี่ยวเฟิง เจ้าเห็นไหม เขาเป็นท่านเทพเซียน! ท่านเทพเซียนบอกว่าเจ้ามีรากวิญญาณและถึงแม้รากวิญญาณของเจ้าจะไม่ดีนักแต่เจ้าก็ยังฝึกตนได้ เจ้าต้องขยันฝึกตนอย่างพากเพียร เมื่อเจ้าโตขึ้นเจ้าจะสามารถเหาะได้เหมือนอย่างท่านเทพเซียน!”

 

 

คาดว่าเจียงซั่งหังคงได้ยินสิ่งที่แม่คนนั้นพูดเช่นกันเพราะเขายิ้มให้โม่เทียนเกอและอธิบายว่า “เด็กคนนั้นมีรากวิญญาณห้าธาตุ แต่ท้ายที่สุดแล้วเขาก็ยังสามารถฝึกตนได้ ดังนั้นทุกคนจึงฝากความหวังไว้ที่เขา”

 

 

โม่เทียนเกอค่อนข้างประหลาดใจกับเรื่องนี้ “คงจะมีคนแค่ไม่กี่ร้อยคนในเผ่านี้ใช่ไหม ศิษย์พี่เจียง ท่านบอกว่าท่านมาที่เผ่านี้เพราะท่านเทพเซียนของเผ่านี้ตายไป แต่ตอนนี้กลับมีเด็กที่มีรากวิญญาณมาปรากฏตัวขึ้น… ทำไมข้ารู้สึกว่าโอกาสของการเกิดมามีรากวิญญาณที่นี่ถึงค่อนข้างสูง”

 

 

“ถูกต้อง! ข้าเองก็ประหลาดใจกับเรื่องนี้เหมือนกันเมื่อตอนที่ข้ามาที่นี่แรกๆ” เจียงซั่งหังกล่าว “โอกาสที่รากวิญญาณจะปรากฏขึ้นในหมู่พวกมนุษย์ทางแถบทิศเหนือสุดนั้นสูงกว่าในพวกมนุษย์ของดินแดนใจกลางมากนัก แทบจะไม่ด้อยไปกว่าโอกาสของตระกูลผู้ฝึกตนในคุนอู๋เลย เผ่าที่มีคนไม่กี่ร้อยคนสามารถให้กำเนิดคนหนึ่งคนที่มีรากวิญญาณได้ แต่อย่างไรก็ตาม รากวิญญาณของพวกเขาโดยทั่วไปมักจะย่ำแย่ ผู้ฝึกตนที่มีรากวิญญาณาณสามธาตุหรือดีกว่านั้นแทบจะไม่มีเกิดมาเลย ยิ่งไปกว่านั้น อายุขัยผู้ฝึกตนของพวกเขาก็สั้นกว่าผู้ฝึกตนจากคุนอู๋อย่างพวกเราด้วย”

 

 

“อ้อ…”

 

 

“ข้าคิดว่านี่คงเป็นเพราะสภาพแวดล้อมที่ไม่ปกติของเขตทิศเหนือสุด พวกเขาต้องการการปกป้องจากผู้ฝึกตน ดังนั้นทีละน้อยๆ พวกเขาจึงมีผู้ฝึกตนมากกว่าคุนอู๋ อย่างไรก็ตาม ในเมื่อมีข้อได้เปรียบแล้วข้อหนึ่ง ก็เป็นธรรมดาที่จะมีข้อเสียเปรียบ สิ่งที่พวกเขาต้องแลกคืออายุขัยของผู้ฝึกตน ซึ่งสั้นกว่าอายุขัยผู้ฝึกตนของคุนอู๋”

 

 

นางเข้าใจเหตุผลนี้ได้ ครั้งหนึ่งเคยมีทฤษฎีในยุคกลาง ทฤษฎีนั้นเกี่ยวกับเรื่องธรรมชาติคัดสรร มีเพียงแค่ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดที่สามารถมีชีวิตรอดอยู่ได้ ความจริงนั้นยังรองรับทฤษฎีนี้อีกด้วย เพราะความเปลี่ยนแปลงเดียวที่ปรับเข้ากับสภาพแวดล้อมจะถูกส่งต่อให้คนรุ่นต่อไปในอนาคต และคนที่ไม่สามารถปรับตัวได้ก็จะล้มหายตายจากไป

 

 

ดังเช่นที่เจียงซั่งหังพูด อากาศวันนั้นแจ่มใส ดวงอาทิตย์ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า ให้ความอบอุ่นแก่พวกเขาเมื่อสาดส่องลงมา แสงอาทิตย์ตกกระทบลงบนธารน้ำแข็งก่อให้เกิดแสงสีสันสดใสเป็นประกายสวยงามประดุจสายรุ้ง

 

 

ขณะที่โม่เทียนเกอผู้ที่กำลังเหาะอยู่บนท้องฟ้ามองที่ภาพทิวทัศน์เบื้องล่างนาง นางรู้สึกว่าเขตธารน้ำแข็งที่เป็นประกายระยิบระยับไม่รู้จบซึ่งมีสายรุ้งอยู่เหนือหัวนั้นช่างน่าทึ่งเสียจริง

 

 

เจียงซั่งหังมองกลับมาและเห็นสีหน้าของนาง จากนั้นเขาพูดพร้อมรอยยิ้มว่า “ศิษย์น้องเยี่ยก็รู้สึกว่าทิวทัศน์ในเขตธารน้ำแข็งทางทิศเหนือสุดนี้สวยมากเหมือนกันใช่ไหมล่ะ”

 

 

โม่เทียนเกอพยักหน้า ไม่สามารถยั้งตัวเองจากการอุทานด้วยความชื่นชมได้ “โลกนี้กว้างใหญ่ไพศาล ความงามของแต่ละที่ก็แตกต่างกัน แนวเทือกเขาคุนอู๋เป็นภาพที่ยิ่งใหญ่น่าเกรงขาม แต่หิมะขาวสุดลูกหูลูกตาของเขตธารน้ำแข็งทางทิศเหนือสุดนี้ก็น่าประทับใจมากเช่นกัน”

 

 

“ถูกต้อง” เจียงซั่งหังดูภูมิใจ “เมื่อข้ามาที่นี่ ในที่สุดข้าก็ตระหนักว่าโลกใบนี้กว้างใหญ่แค่ไหน ทำไมข้าต้องจำกัดตัวเองอยู่แค่ในที่เดียวด้วย ในเมื่อตระกูลเจียงไม่ได้ดูแลข้าดี ข้าก็แค่ต้องจากมา โลกนี้ช่างใหญ่โต จะเป็นไปได้หรือที่ข้าจะไม่สามารถเข้ากับที่ไหนได้เลย โลกนี้ช่างสวยงาม ทำไมข้าต้องรู้สึกเศร้าเพราะตระกูลเจียงที่ไม่เคยปฏิบัติกับข้าอย่างดีด้วย”

 

 

“ท่านพูดถูก!” โม่เทียนเกออดไม่ได้ที่จะปรบมือและชมเขา “ศิษย์พี่เจียงช่างมีวิสัยทัศน์… หากมีเหล้าองุ่นละก็ ท่านต้องดื่มแก้วใหญ่แน่!”

 

 

“ฮ่าๆ!” เจียงซั่งหังหัวเราะร่วน จากภายในชุดคลุมของเขา เขาหยิบขวดเหล้าองุ่นขวดเล็กออกมาแล้วจึงโยนให้นาง “ในเมื่อเจ้าต้องการเหล้าองุ่น เช่นนั้นนี่พอได้ไหม”

 

 

ขณะที่โม่เทียนเกอรับขวดเหล้าองุ่น นางเห็นเขาหยิบอีกขวดออกมาจากชุดคลุมแล้วจึงเปิดขวด ดูกล้าหาญเป็นอย่างมาก การมองดูเขาทำให้จิตวิญญาณคนกล้าพรั่งพรูอยู่ภายในตัวนางเช่นกัน ดังนั้นนางจึงดึงเปิดฝาขวดและยกขวดดื่มอวยพรให้กับเขา “นี่เป็นการสดุดีแด่ศิษย์พี่เจียงสำหรับการเกิดใหม่อีกครั้งและไม่เป็นคนเก่าอีกต่อไป”

 

 

เจียงซั่งหังยิ้ม “แด่พวกเราที่หนีมาได้และรอดชีวิต แด่การพบกันอีกครั้งของเราหลังจากผ่านไปมากกว่าสิบปี แด่โลกอันกว้างใหญ่ใบนี้ และแด่อนาคตอันสดใสสวยงามของพวกเรา”

 

 

เมื่อเขาพูดจบ ทั้งสองคนดื่มจนหมดขวดพร้อมกัน

 

 

หลังจากโยนขวดของเขาทิ้งไป เจียงซั่งหังถอนหายใจยาวและพูดว่า “ข้าอยู่ที่นี่มามากกว่าสิบปี แต่ข้าก็ไม่มีความต้องการอยากกลับไปที่คุนอู๋เลยแม้แต่น้อย ที่นี่เงียบและสงบสุข ถึงแม้จะมีความขัดแย้งเกิดขึ้นบ้างและทุกวันก็ยากลำบาก แต่ก็ยังดีกว่าคุนอู๋ที่ซึ่งหัวใจของทุกคนนั้นยากจะหยั่งถึงและทุกวันก็เต็มไปด้วยการคาดคะเน”

 

 

“อย่างนั้นหรือ” โม่เทียนเกอทอดสายตาไปยังที่ไกล เบื้องหน้านางคือดินแดนที่เต็มไปด้วยหิมะไร้จุดสิ้นสุด ว่างเปล่าไร้ผู้คน มีเพียงแค่สัตว์ป่าส่งเสียงร้องตรงนั้นตรงนี้บ้างเท่านั้น นางก็ต้องการชีวิตสงบสุขเช่นนี้เหมือนกัน แต่อย่างไรก็ตาม ทุกวันนี้ที่โรงเรียนเสวียนชิง นางทำได้ดีมากในทุกแง่มุม นางมีท่านอาจารย์ นางมีสหาย นางมีญาติ สำหรับนางแล้วสิ่งเหล่านั้นล้วนสำคัญกว่า