ตอนที่ 1734 ทำลายฉนวน

อัจฉริยะสมองเพชร

อัจฉริยะสมองเพชร 天道图书馆

ตอนที่ 1734 ทำลายฉนวน

“รนหาที่ตาย? ดูซิว่าใครกันที่พูดคำนี้?”

จางเซวียนลอยตัวอยู่กลางอากาศ เขาลดสายตาลงจ้องเด็กวัยรุ่นทั้ง 8 ที่อยู่ด้านล่างอย่างเย็นชา

“พวกคุณลักพาตัวลูกศิษย์ของผมและจำกัดอิสรภาพของพวกเธอ ทั้งยังบีบบังคับให้เธอต้องใช้พละกำลังช่วยคุณถอดรหัสฉนวนของภาพวาดโดยไม่สอบถามความสมัครใจด้วย นี่คือความชอบธรรมตามแบบของ 100 สำนักแห่งนักปราชญ์หรือ? นี่คือสิ่งที่คุณได้รับถ่ายทอดจากปรมาจารย์ขงหรืออย่างไร?”

ความปรารถนาดีเสี้ยวสุดท้ายที่จางเซวียนเคยมีให้ 100 สำนักแห่งนักปราชญ์หายไปในชั่วพริบตา

ไม่เพียงแต่คนเหล่านี้จะเที่ยวบีบบังคับตระกูลหลัวกับตระกูลจางให้ตอบรับคำท้าเพื่อให้ได้มาซึ่งเครื่องรางฟ้าประทานในตำนาน พวกนั้นยังถึงกับจับตัวลูกศิษย์ของเขาและร่วมมือกับเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นด้วย ดูเหมือนอีกฝ่ายจะหลงลืมจุดยืนของตัวเองแล้วอย่างสิ้นเชิง

“พวกเราทำสิ่งนี้ก็เพื่อเผ่าพันธุ์มนุษย์!” เด็กวัยรุ่นคนหนึ่งตะโกนอย่างโกรธเกรี้ยว

“เพื่อเผ่าพันธุ์มนุษย์? ช่างบังเอิญเสียจริง! สิ่งที่ผมทำอยู่ตอนนี้ก็เพื่อเผ่าพันธุ์มนุษย์เหมือนกัน จัดการพวกเขาซะ!” จางเซวียนคำรามเสียงเย็น

รู้ดีว่าโต้เถียงกับอีกฝ่ายไปก็ไม่มีประโยชน์ เขาสะบัดข้อมือ

ฟึ่บ!

อสูรผู้ยิ่งใหญ่ทั้ง 5 และอาวุธนับไม่ถ้วนปรากฏตัวในพื้นที่นั้นและพุ่งเข้าใส่เด็กวัยรุ่นทั้ง 8 ที่มาจาก 100 สำนักแห่งนักปราชญ์

“คุณ…”

ทั้ง 8 คนนึกไม่ถึงว่าจางเซวียนจะโจมตีอย่างปุบปับ ทุกคนโกรธเกรี้ยว แต่ด้วยสถานการณ์ที่เป็นอยู่ ก็ไม่มีทางเลือกนอกจากต้องเพ่งสมาธิเพื่อรับมือกับการโจมตีของศัตรู

“ท่านอาจารย์…” เห็นท่านอาจารย์ของเธอเผชิญหน้ากับเหล่าวัยรุ่นจาก 100 สำนักแห่งนักปราชญ์ นัยน์ตาของจ้าวหย่าฉายความกังวล

“ไม่ต้องห่วงน่ะ ผมไม่เหยาะแหยะถึงขนาดจะยอมแพ้พวกนั้นหรอก บอกผมมาว่าคุณถูกลักพาตัวได้อย่างไร และเกิดอะไรขึ้นบ้างหลังจากนั้น ผมจะชดเชยความเสียหายให้คุณเอง!” จางเซวียนพูด

“เรื่องเป็นอย่างนี้…” จ้าวหย่าตั้งต้นทบทวนเหตุการณ์

เมื่อตอนที่อยู่ในเมืองหลวงแห่งสมาพันธ์นานาจักรวรรดิ เธอได้สั่งการให้เหล่าสมาชิกของศาลาว่าการที่ราบธารน้ำแข็งกลับสู่เมืองหลวงธารน้ำแข็งก่อน ขณะที่ตัวเธอจะยังคงอยู่ในสมาพันธ์นานาจักรวรรดิอีกระยะหนึ่งเพื่อขัดเกลาวรยุทธ โดยเว่ยหรูเหยียนจะคอยระวังหลังให้เพื่อปกป้องเธอ ซึ่งจางเซวียนก็คิดว่าคงมีคนไม่มากนักที่จะเป็นภัยคุกคามต่อทั้งคู่ เขาจึงไม่ได้ใส่ใจและเดินทางกลับสู่ตระกูลจาง

แต่เมื่อทั้งสองออกจากเมืองหลวงแห่งสมาพันธ์นานาจักรวรรดิ ก็พบกับชายหนุ่มคนหนึ่ง

ชายหนุ่มคนนั้นยังไม่ได้เข้าโจมตีทันที เขาบอกจ้าวหย่ากับเว่ยหรูเหยียนว่าตัวเขามาจาก 100 สำนักแห่งนักปราชญ์และมีเรื่องสำคัญที่อยากขอความช่วยเหลือ แต่เพราะเรื่องนี้เป็นความลับสุดยอด จึงยังบอกไม่ได้ว่ามันคืออะไร

เป็นธรรมดาที่ทั้งสองจะไม่ตอบรับคำขออันเป็นปริศนานี้ ลงท้ายพวกเขาจึงต่อสู้กัน แล้วจ้าวหย่ากับเว่ยหรูเหยียนก็พ่ายแพ้และถูกจับตัวไปอย่างรวดเร็ว

กว่าทั้งคู่จะรู้ว่าตกอยู่ในสถานการณ์คับขัน ก็สายเกินกว่าที่จะส่งข้อความขอความช่วยเหลือแล้ว

หลังจากนั้น ทั้งสองก็ถูกกักบริเวณอยู่ในสถานที่ที่แยกตัวออกจากโลกภายนอก แต่อีกฝ่ายไม่ได้ทำร้ายพวกเธอ กลับมอบทรัพยากรสำหรับการฝึกฝนวรยุทธให้อย่างเพียงพอ แถมยังมีเหล่าผู้เชี่ยวชาญคอยแก้ไขปัญหาที่พวกเธอเผชิญในการฝึกวรยุทธด้วย

ยิ่งไปกว่านั้น คนเหล่านี้ยังได้ถ่ายทอดกรรมวิธีถอดรหัสฉนวนให้

ส่วนเหตุผลที่ก่อนหน้านี้จ้าวหย่าตกอยู่ในภวังค์ ก็เพื่อเป็นการปกป้องตัวเธอเอง ฉนวนของผืนผ้าใบสี่ฤดูนั้นทรงพลังมาก และมันจะปล่อยแรงกดดันมหาศาลโถมทับเข้าใส่จิตใจของผู้ที่พยายามจะถอดรหัสมัน การทำให้เธอตกอยู่ในภวังค์จะทำให้โอกาสที่เธอจะสูญเสียสมาธิและได้รับบาดเจ็บสาหัสลดน้อยลงมาก

“ทั้งๆที่พวกนั้นบีบบังคับ แต่คุณก็ยังไปกับพวกเขาและยอมทำในสิ่งที่พวกเขาขอร้องให้ทำ เพราะอะไรกัน?” จางเซวียนขมวดคิ้ว

เขารู้นิสัยจ้าวหย่าดี เธอเป็นคนดื้อดึงชนิดที่จะไม่ยอมจำนนต่อการใช้กำลังใดๆทั้งนั้น แล้วตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่เธอว่านอนสอนง่ายถึงขนาดทำตามคำสั่งของผู้ที่ลักพาตัวเธอมา?

นี่ดูไม่เหมือนจ้าวหย่าที่เขาเคยรู้จักเลย

“พวกนั้นพูดว่า…” ถึงตอนนี้ จ้าวหย่าหน้าแดงก่ำขณะกัดริมฝีปาก “หากฉันช่วยพวกเขาถอดรหัสฉนวน พวกเขาจะมอบโอกาสให้คุณฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นนักปราชญ์โบราณได้…”

“มอบโอกาสให้ผมฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นนักปราชญ์โบราณ?” จางเซวียนชะงัก

“ใช่ พวกเขาพูดว่าคุณคือปรมาจารย์ที่ปราดเปรื่องที่สุดในทวีปแห่งปรมาจารย์ ซึ่งรากเหง้าของทั้ง 100 สำนักแห่งนักปราชญ์และสภาปรมาจารย์นั้นมีต้นกำเนิดมาจากปรมาจารย์ขง จึงถือได้ว่าทั้งสองกลุ่มอำนาจเป็นพันธมิตรกัน ขอแค่พวกเราเต็มใจทำเพื่อประโยชน์ของพวกเขา พวกเขาก็จะตอบแทนบุญคุณ” จ้าวหย่าตอบอย่างละอายใจ

“เพราะอย่างนั้น คุณก็เลยทำตามคำสั่งของพวกเขา…” ได้ยินคำนั้น จางเซวียนทั้งโมโหและประทับใจไปพร้อมๆกัน

เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ จากนั้นก็ส่ายหน้าและพูดว่า “ผมประทับใจในเจตนาดีของคุณ แต่ผมเคยยอมจำนนให้กับการท้าทายที่ไหนกันล่ะ? การฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นนักปราชญ์โบราณอาจยากก็จริง แต่ผมก็จะไม่มีวันสังเวยลูกศิษย์ของตัวเองเพื่อแลกกับโอกาสในการฝ่าด่านวรยุทธ! วางใจเถอะ ถ้ามีโอกาสแบบนั้นจริงอยู่ในโลก ผมจะหาทางนำมันมาให้ได้ด้วยพละกำลังของผมเอง!”

“ท่านอาจารย์ ฉันผิดไปแล้ว…” เสียงของจ้าวหย่าสั่นเครือ

“เอาเถอะ” จางเซวียนโบกมือ “ในเมื่อคุณหวังดี ผมก็จะไม่พูดอะไรให้ยืดเยื้อ”

จากนั้นเขาก็หันไปมองเด็กวัยรุ่นทั้ง 8 และสั่งการ “หยุด!”

ฟิ้ววววว!

ทั้ง 5 อสูรผู้ยิ่งใหญ่และของล้ำค่าระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่จำนวนหลายชิ้นของจางเซวียนลอยกลับมาหาเขา ทิ้งเด็กวัยรุ่นทั้ง 8 ให้นอนหมดสภาพอยู่กับพื้น พวกเขาถูกซ้อมจนกระทั่งแทบจำสภาพเดิมของตัวเองไม่ได้

“นี่เป็นแค่การลงโทษสถานเบาสำหรับการลักพาตัวลูกศิษย์ของผม ใครก็ตามที่บังอาจแตะต้องลูกศิษย์ของผมจะต้องได้รับผลจากการกระทำของตัวเอง ในเมื่อจ้าวหย่าไม่ได้รับบาดเจ็บจากการกระทำของพวกคุณ ผมก็จะละเว้นชีวิตให้ แต่ผมต้องการให้พวกคุณตอบคำถามของผมก่อน ถึงจะปล่อยพวกคุณให้เป็นอิสระ”

จางเซวียนมองเด็กวัยรุ่นทั้ง 8 ที่กองอยู่กับพื้นด้วยสายตาเย็นชาและตั้งคำถาม

“ข้อแรก, 100 สำนักแห่งนักปราชญ์มีเจตนาอย่างไรถึงสะกดรอยตามและลักพาตัวลูกศิษย์ของผม ข้อสอง, 100 สำนักแห่งนักปราชญ์เป็นพันธมิตรกับเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นหรือเปล่า…หรือว่าพวกคุณใช้เผ่าพันธุ์ปีศาจพวกนั้นเป็นบริวาร?”

เมื่อเห็นว่ากลุ่มคนจาก 100 สำนักแห่งนักปราชญ์ไม่ได้หมายมั่นเอาชีวิตจ้าวหย่า จางเซวียนก็เกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา

เป็นไปได้หรือไม่ว่าเผ่าพันธุ์ปีศาจที่เขาพบว่าอยู่กับกลุ่มคนจาก 100 สำนักแห่งนักปราชญ์จะเป็นบริวารของพวกเขา?

เพราะอย่างตัวจางเซวียนเองก็เคยหลอมหุ่นโลหะไร้วิญญาณจากร่างของเผ่าพันธุ์ปีศาจที่เป็นนักปราชญ์โบราณ อีกทั้งยังมีไอ้โหดที่ยอมจำนนแล้วอยู่ในหนังสือเทียบฟ้าด้วย แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเขาร่วมมือกับเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่น

ซึ่ง 100 สำนักแห่งนักปราชญ์ก็อาจมีบางอย่างที่คล้ายคลึงกัน

“พวกเราแค่ทำตามคำสั่งของเบื้องบน เราไม่รู้รายละเอียดแน่ชัด เพราะฉะนั้นต้องขออภัยด้วยที่ตอบคำถามของคุณไม่ได้” เด็กวัยรุ่นคนหนึ่งให้คำตอบขณะสูดปากด้วยความเจ็บปวด

“คุณตอบคำถามของผมไม่ได้?” จางเซวียนจ้องหน้าเด็กวัยรุ่นคนนั้นราวกับจะทะลุทะลวงเข้าไปในจิตใจของอีกฝ่าย

เมื่อเผชิญกับสายตาของจางเซวียน อีกฝ่ายลังเลครู่หนึ่งก่อนจะตอบรับอย่างหนักแน่น “…ใช่!”

“ถ้าคุณไม่อยากพูดก็ไม่เป็นไร ผมคงหาคำตอบได้เองเร็วๆนี้ เอาล่ะ ตอนนี้ก็ไปให้พ้น!”จางเซวียนหันหลังกลับและสะบัดแขนเสื้ออย่างเย็นชา

เขาเป็นหนี้บุญคุณปรมาจารย์ขง นักปราชญ์โบราณโป๋ช่างและนักปราชญ์โบราณหรันชิว คนเหล่านี้ได้ช่วยเหลือเขามา ในเมื่อเด็กวัยรุ่นกลุ่มนี้เป็นผู้สืบเชื้อสายของอีกฝ่าย และก็ยังดูไม่เหมือนว่าพวกเขาได้นำเผ่าพันธุ์มนุษย์ไปแลกกับการเป็นพันธมิตรกับเผ่าพันธุ์ปีศาจ จึงยังไม่มีความจำเป็นที่จางเซวียนจะต้องสังหารคนเหล่านั้น

“พวกเราไม่ไป!” เด็กวัยรุ่นคนหนึ่งปฏิเสธอย่างเด็ดเดี่ยว

“โยนพวกเขาออกไป!” จางเซวียนสั่งการ

อสูรผู้ยิ่งใหญ่ทั้ง 5 และของล้ำค่าระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่มากมายพุ่งเข้าใส่ทั้งกลุ่มอีกครั้ง ไม่ช้าเด็กวัยรุ่นทั้ง 8 ก็ถูกโยนออกไปนอกหอความสำเร็จอันยิ่งใหญ่

เมื่อปราศจากสภาวะพิเศษของจ้าวหย่า คนเหล่านี้ก็ไม่มีทางเข้าสู่หอบริวารได้อีก

หลังจากจัดการกับกลุ่มเด็กวัยรุ่นจาก 100 สำนักแห่งนักปราชญ์แล้ว จางเซวียนก็หันกลับมามองผืนผ้าใบสี่ฤดู หิมะที่อยู่ในภาพวาดละลายไปแล้วเกือบหมด และฉนวนก็แปรเปลี่ยนไปเป็นอีกรูปแบบหนึ่ง มันแตกต่างจากฉนวนที่จ้าวหย่าเคยทุ่มเทพลังงานเพื่อการถอดรหัสมันก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิง

“ท่านอาจารย์ ฉนวนเปลี่ยนสภาพ…เทคนิคการปลดปล่อยฉนวนที่ฉันเคยเรียนรู้มาใช้การไม่ได้อีกแล้ว” จ้าวหย่าหน้าซีดเผือดด้วยความร้อนรน

เธอพยายามปล่อยพลังงานเย็นเข้าสู่ฉนวน แต่ก็รู้ทันทีว่าไม่อาจควบคุมมันได้อีกต่อไป

องค์ประกอบของฉนวนที่อยู่ในภาพวาดได้เปลี่ยนแปลงไปตามฤดูกาลที่ผันแปรในภาพวาด

“ไม่ต้องห่วง ผมมีวิธี” จางเซวียนหัวเราะหึๆขณะกระดิกนิ้ว

วิ้ง!

คริสตัลเยือกแข็งที่เขาได้มาก่อนหน้านี้มาปรากฏอยู่ตรงหน้า เขาผลักมันไปข้างหน้าเบาๆ

ฟึ่บ!

คริสตัลเยือกแข็งพุ่งเข้าใส่ฉนวนทันที เมื่อมันสัมผัสกับฉนวน ก็เริ่มจัดการแก้ไขปัญหา มันสร้าง คลื่นพลังงานวนที่ทำลายฉนวนของภาพวาดได้ในชั่วพริบตา

เมื่อเห็นว่าคริสตัลเยือกแข็งมีอานุภาพทำลายฉนวนได้เหมือนอย่างที่เครื่องรางน้อยบอกไว้ จางเซวียนถอนหายใจอย่างโล่งอก เขารีบเรียกเซียนดาบชิงเหมิงเข้ามา

“เข้าไปดูข้างในกัน!”

จากนั้น เขาก็นำทางและก้าวเข้าสู่ภาพวาดที่ปราศจากฉนวนปิดกั้น คนอื่นๆรีบตามไปโดยไม่ลังเล

ความเงียบงันกลับคืนสู่ห้องโถงใหญ่อีกครั้ง