ลมหายใจไป๋ซู่เย่ติดขัด
วันนั้นเธออยากหนีเย่เซียวเพราะกลัวจะถูกกระทรวงความมั่นคงจับได้ แต่สุดท้าย…
“ตอนนี้สถานการณ์ในเวทีนานาชาติล้วนหวั่นเกรงมาก จะมัวเสียเวลาไม่ได้อีก เรื่องของไฟเรนเซ่ต้องรีบเร่งวัน เมื่อกี้ผมกับท่านนายพลทั้งหลายประชุมกันแล้ว เราทุกคนล้วนคิดว่ามีเพียงเข้าใกล้เย่เซียว ใช้เย่เซียวเป็นตัวเปิดทางถึงจะได้!”
ไป๋ซู่เย่หัวเราะทีหนึ่ง สายตาประสานกับของปลัดโดยตรง“ความหมายของคุณคืออยากมอบหมายให้ฉันไปเข้าใกล้เย่เซียว?”
ปลัดพยักหน้ายอมรับอย่างปฏิเสธไม่ได้ “จากตำแหน่งของคุณในหัวใจของเย่เซียว การจะได้รับความเชื่อใจจากเขาใหม่ไม่ใช่เรื่องยากแน่ๆ ”
“แน่นอนเราเองก็รู้ว่าหลังผ่านเรื่องเมื่อสิบปีที่แล้ว ทั้งร่างกายและสภาพจิตใจของคุณได้บาดเจ็บอย่างหนัก แต่…” นายพลหนึ่งในนั้นพูดต่อ “รัฐมนตรีไป๋ ตอนนี้เป็นช่วงคับขันที่ประเทศชาติกำลังลำบาก ประชาชนทุกคนมีหน้าที่และความรับผิดชอบที่จะต้องก้าวออกมา ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรา เพื่อสัญญาอาวุธสงครามในมือไฟเรนเซ่ เราสูญเสียคนไปมากพอแล้ว หวังว่าครั้งนี้คุณจะทอดทิ้งความสัมพันธ์ส่วนตัวเพื่อประเทศได้ แน่นอนว่าเราเชื่อว่ารัฐมนตรีไป๋ทำได้แน่ๆ ในเมื่อถ้าไฟสงครามมันลุกโชนขึ้น คนที่จะประสบภัยก็คือประชาชนทุกคนของประเทศ S เรา กวาดล้างผู้คน คงไม่ใช่ผลลัพธ์ที่รัฐมนตรีไป๋อยากเห็น”
นี่เป็นหน้าที่สำคัญ
เธอโตในค่ายทหารมาตั้งแต่เด็ก สิ่งที่ได้รับการปลูกฝังและร่ำเรียนล้วนเป็นเกี่ยวกับหน้าที่ที่ต้องสละชีพเพื่อชาติ บนตำแหน่งนี้เธอจะผลักไสสักนิดไม่ได้ เรื่องความรู้สึกส่วนตัวจะเทียบกับความปลอดภัยของประเทศและประชาชนได้อย่างไร? ต่อหน้าความคับขัน แม้แต่ชีวิตตนก็เป็นสิ่งเล็กน้อย!
เพียงแต่…
“ท่านปลัด เกรงว่าพวกคุณจะเข้าใจผิด” ในที่สุดไป๋ซู่เย่ก็เอ่ยปาก เธอพยายามระงับอารมณ์ซับซ้อนที่กำลังพลุ่งพล่านในอก บังคับให้ตัวเองใจเย็นลง ไร้ท่าทางรู้สึกผิดสักนิด
“ไม่ผิดที่ฉันได้เจอเย่เซียว และไม่ผิดที่คนของเขาเป็นคนพาฉันไป แต่เขาไม่ใช่แค่อยากเจอฉันเฉยๆ แต่เขาอยากฆ่าฉัน” พูดถึงนี่เธอหยุดชะงักไป
คล้ายว่าคนข้างกายจะสงสัย ดังนั้นเธอจึงปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตบนสองเม็ดอย่างไม่ลังเล ดึงผ้าพันแผลตรงไหล่ลงเปิดแผลที่กำลังสมานกันแต่ก็ยังน่ากลัวอยู่ดี
“เย่เซียวสงสัยว่าเรื่องการดักฟังในครั้งนี้เกี่ยวข้องกับฉันก็เลยให้คนของเขาพาฉันไป กระสุนนัดนี้เขาเป็นคนยิงด้วยตัวเอง แล้วก็นี่…” ไป๋ซู่เย่ดึงผ้าพันแผลตรงนิ้วลงเช่นกัน “นิ้วมือนี้ของฉัน ก็หักด้วยน้ำมือเขาเหมือนกัน”
“ถ้าไม่ใช่เพราะตอนนี้เขาบาดเจ็บหนัก หรือยำเกรงกระทรวงความมั่นคงกับทำเนียบประธานาธิบดีอยู่บ้าง ฉันคิดว่าวันนี้ฉันอาจจะไม่มีชีวิตรอดออกมาจากที่ของเขาได้”
“ภายใต้สถานการณ์แบบนี้พวกคุณคิดว่าฉันจะเข้าใกล้เย่เซียวได้อีกมั้ยไหม?” ไป๋ซู่เย่กวาดตามองคนรอบข้าง “เย่เซียวฉลาดมาก เคยถูกหลอกหนึ่งครั้งก็ไม่มีทางปล่อยให้ตัวเองถูกหลอกอีกเป็นครั้งที่สอง ถ้าฉันยังเข้าไปใกล้เขาอีก ก็เหมือนแมงเม่าที่บินเข้ากองไฟไม่ว่า แต่ต้องเสียเวลาและพลังงานของทุกคนแน่ๆ ฉันคิดว่าถ้าต้องมาเสียเวลากับฉัน ไม่สู้หาทางจัดการไฟเรนเซ่ด้วยวิธีอื่นไม่ดีกว่าเหรอ ทุกท่านคิดว่าไงคะ?”
ปลัดกระทรวงกับนายพลท่านอื่นต่างมองกันและกัน เรื่องราวเหมือนจะหนักหนาขึ้น แผลบนตัวเธอก็ไม่เหมือนโกหก เย่เซียวดูจะไม่ออมมือให้เธอเลยจริงๆ
ปลัดกระทรวงถามเพื่อย้ำให้แน่ใจอีกครั้ง “คุณกับเย่เซียว ตอนนี้เหมือนไฟกับน้ำจริงๆ เหรอ?”
“เหมือนที่คุณเห็นเองกับตา” แววตาที่ไป๋ซู่เย่ประสานมองกับเขาไม่มีวูบไหวสักนิด
สีหน้าปลัดกระทรวงหนักอึ้งขึ้นเรื่อยๆ เงียบไปพักใหญ่สุดท้ายโบกมือ “ได้ คุณออกไปเถอะ ไปทำแผลให้ดีๆ อย่าให้ติดเชื้อ ข้อเสนอในวันนี้ไว้เราค่อยประชุมกันอีกที”
ไป๋ซู่เย่จัดเสื้อผ้าบนตัวให้ดี ลุกขึ้นตะเบะมือเป็นการทำความเคารพ เตรียมออกไปแต่พอเดินถึงประตูพาลนึกบางเรื่องได้ หันกลับมาทอดสายตาไปทางปลัดกระทรวง “ท่านปลัด เรื่องที่ดักฟังเย่เซียวในครั้งนี้…”
“นี่เป็นภารกิจของทีมพิเศษ คุณไม่ได้เข้าร่วมย่อมไม่มีสิทธิ์รับรู้—นี่เป็นกฎ แน่นอนว่าถ้าคุณอยากเข้าร่วม เราก็ยินดี”
ไม่ผิดว่านี่คือกฎ
ไป๋ซู่เย่ไม่ได้ถามมากไปกว่านี้ ปิดประตูเดินออกไป
ยืนอยู่หน้าประตูสักครู่ก่อนก้มมองแผลบนไหล่ตนแวบหนึ่งด้วยห้วงความคิดที่ผุดขึ้นเลือนราง จู่ๆ เธอรู้สึกโชคดีที่เย่เซียวยิงกระสุนใส่ตนนัดนี้ หากเธอกลับออกจากถิ่นของเขาอย่างปลอดภัยไร้แผล นั่นสิถึงจะยากจะรายงานตัว
ต้องวางแผนใส่เย่เซียวอีกครั้ง…
เธอคิดว่า เธอ…ทำมันไม่ได้จริงๆ แล้ว…
ความทรมานสิบปีนี้ เพียงพอแล้ว…
แต่ปลัดกระทรวงพวกเขาเป็นคนมีเล่ห์กล แล้วจะยอมปล่อยเชือกฟางอย่างเธอไปง่ายๆ ได้อย่างไรกัน?
ไป๋ซู่เย่ถอนหายใจอย่างหนักอึ้ง
บัดนี้สิ่งที่เธอทำได้ คงมีแต่จะอยู่ห่างจากเขาได้มากเท่าไรก็ยิ่งดี…
ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขายิ่งรุนแรงกว่าน้ำกับไฟ ยิ่งจะทำให้ปลัดกระทรวงล้มเลิกความคิดนี้เสีย
………………………………
หลังจากวันนั้นแผลของไป๋ซู่เย่ก็เริ่มจะหายดี ปลัดได้ให้ยาลบรอยแผลเป็นแก่เธอด้วยตัวเอง จนถึงสุดท้ายไม่เหลือรอยแผลเป็นบนไหล่สักนิดจริงๆ ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน หากแต่มาในฝันกลางดึก เธอกลับยังจดจำคืนนั้นที่นอนอยู่ในอ้อมกอดของเย่เซียว ถามเธอด้วยสติที่มีน้อยนิดว่า ซู่ซู่ ยังเจ็บไหม…
ทุกครั้งที่นึกถึงหัวใจก็อัดอั้นจนเจ็บแปลบ
ราวกับหัวใจถูกควักออกมาแช่ในฟอร์มาลีน แช่ให้มันพองโต…
รอเสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นมาเธอกำลังยืนเหม่ออยู่ตรงหน้าตู้เย็น บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปทานเยอะไปจะทำลายกระเพาะ แต่ตัวคนเดียวไม่อยากเปิดไฟเลยจริงๆ
คนที่โทรมาเป็นคุณแม่ของยวิ๋นอวิ๋นช่วน
“ซู่ซู่ ยังไม่ทานข้าวใช่มั้ยไหม?”
“ยังค่ะ”
“งั้นพอดีเลย ตอนนี้ยวิ๋นอวิ๋นช่วนไปรับหนู หนูมาทานข้าวเย็นบ้านเราเถอะ”
ไปตระกูลยวิ๋นอวิ๋น?
ไปทานข้าวกับพ่อแม่เขา?
ไป๋ซู่เย่อยากปฏิเสธโดยอัตโนมัติ แต่ยังไม่ทันปริปากคุณแม่ยวิ๋นอวิ๋นกลับยิ้มกล่าว “หนูอย่าคิดปฏิเสธนะ งานฉลองวันเกิดคราวก่อนมีแค่หนูที่ไม่ได้อยู่ทานข้าวกับคนแก่สองคน หนูว่าครั้งนี้ควรชดเชยให้หรือเปล่า?”
พอว่าเช่นนี้ดูเหมือนเธอจะไม่มีข้ออ้างให้ปฏิเสธ
จากนั้นยวิ๋นอวิ๋นช่วนรับโทรศัพท์ไปพูดแทน “ซู่ซู่ แม่ผมล้อเล่นกับคุณ คุณอย่าคิดมาก แต่ว่า…เราหวังว่าคุณจะมาทานมื้อเย็นกับเราจริงๆ”
ไป๋ซู่เย่ไม่ได้ปฏิเสธ “ได้ ให้ฉันขับรถไปหรือคุณมารับฉัน?”
น้ำเสียงยวิ๋นอวิ๋นช่วนร่าเริงขึ้นมากในพริบตา “เดี๋ยวผมออกไป คุณแค่รอก็พอ”
“โอเค”
ไป๋ซู่เย่ไม่ได้พูดอะไรไปมากกว่านี้ เดินเข้าไปเปลี่ยนชุดในห้อง
เธอคิดว่าออกไปเดินเล่นสูดอากาศหายใจหน่อยก็ใช่ว่าจะแย่ ถ้าอยู่หมกตัวต่อไปเธอกลัวว่าจะเป็นอย่างเมื่อสิบปีก่อนที่หมกตัวจนป่วยขึ้นมา
ตอนนี้ทุกคืนเธอก็แทบต้องอาศัยยานอนหลับถึงจะเข้านอนได้แล้ว นี่เป็นเรื่องที่แย่มากๆ เรื่องหนึ่ง
ไม่รู้ว่า…
เย่เซียว ทุกวันนี้จะหลับสนิทดีไหม
……………………………