ตอนที่ 44-2

จารใจรัก

เมื่อกลับมาถึงเมืองโดยราบรื่นก็เย็นมากแล้ว ฉินเจิงเอ่ยบอกเซี่ยฟางหวา “ข้ากับมู่ชิงจะไปจวนของใต้เท้าหานเพื่อส่งศพก่อน จากนั้นค่อยไปจวนหมอหลวงซุน เจ้าไม่ต้องไปแล้ว กลับจวนไปก่อนเถิด”

 

 

           “ข้าไม่เหนื่อย” เซี่ยฟางหวามองเขา

 

 

           “หากต้องพึ่งภรรยาทุกเรื่อง ข้าคงไร้ประโยชน์อย่างเห็นได้ชัด” ฉินเจิงบอก

 

 

           เซี่ยฟางหวาหลุดยิ้มออกมา

 

 

           “เจ้าเป็นคนประเภทที่กลัวว่าภรรยาจะเหนือกว่าหรือ” หลี่มู่ชิงมองฉินเจิง

 

 

           “ลงไปแล้ว! รถม้าคันนี้ส่งนางกลับจวน เราเปลี่ยนไปนั่งรถของเจ้า” ฉินเจิงชำเลืองมองเขา

 

 

           “ก็ได้” หลี่มู่ชิงกะพริบตามองเซี่ยฟางหวาก่อนกระโดดลงจากรถ

 

 

           เซี่ยฟางหวารั้งแขนเสื้อของฉินเจิงเอาไว้แล้วเอ่ยเสียงเบา “เช่นนั้นเจ้าต้องกลับจวนไวหน่อย”

 

 

           “อืม” ฉินเจิงพยักหน้าแล้วกระโดดลงจากรถเช่นกัน

 

 

           ฉินเจิงเอ่ยสั่งงานอวี้จั๋วนอกรถ รถม้าปลีกตัวออกจากขบวน มุ่งหน้าไปยังจวนอิงชินอ๋อง

 

 

           ผ่านไปครู่หนึ่งซื่อฮว่ากับซื่อม่อก็เข้ามาข้างในรถแทน เอ่ยบอกเซี่ยฟางหวาเสียงเบา “คุณหนู ท่านอ๋องน้อยขึ้นรถม้าของคุณชายหลี่เพื่อนำศพใต้เท้าหานไปยังจวนหานก่อน ส่วนผู้อาวุโสสองท่านนั้นถูกคุมตัวไปยังคุกที่กรมอาญา เสนาบดีฝ่ายซ้ายนำศพผู้อาวุโสสามท่านกลับจวนเสนาบดีฝ่ายซ้าย หย่งคังโหวก็กลับจวนไปแล้วเช่นกัน อู๋กงกงก็กลับวังแล้ว”

 

 

           เซี่ยฟางหวาพยักหน้า

 

 

           “หลี่อวิ๋นคนนั้นขี่ม้าตามอยู่ข้างหลัง เขาจะกลับจวนไปพร้อมเราด้วย เมื่อครู่ท่านอ๋องน้อยสั่งงานไว้ว่า เมื่อกลับถึงจวนแล้วให้ท่านจัดแจงให้เขาพักในเรือนที่อยู่ไม่ไกลจากเรือนลั่วเหมย” ซื่อฮว่ากล่าวอีก

 

 

           เซี่ยฟางหวาผงกศีรษะ

 

 

           รถม้ากลับมาถึงจวนอิงชินอ๋องอย่างปลอดภัย

 

 

           เห็นชัดว่าสี่ซุ่นทราบข่าวก่อนแล้ว เมื่อรถม้าหยุดลงเขาก็เดินออกมาต้อนรับทันที “พระชายาน้อย ท่านกลับมาแล้วหรือ”

 

 

           เซี่ยฟางหวาพยักหน้าแล้วชี้ไปข้างหลัง “นี่คือหลี่อวิ๋น ท่านอ๋องน้อยบอกว่าให้เขาพักที่จวนเราก่อนชั่วคราว ลุงสี่ซุ่นจัดหาที่พักให้เขาด้วย แต่ให้อยู่ใกล้กับเรือนลั่วเหมยหน่อย”

 

 

           “ได้เลยขอรับ” สี่ซุ่นพินิจมองหลี่อวิ๋นอย่างละเอียดแล้วรีบพยักหน้า จากนั้นก็กล่าวต่อ “พระชายาทราบว่าท่านกลับมาจึงกำลังรออยู่ขอรับ”

 

 

           เซี่ยฟางหวาพยักหน้าแล้วกางร่มเข้าไปในเรือนชั้นใน

 

 

           เมื่อมาถึงเรือนหลัก ข้ามธรณีประตูเข้าไป พระชายาอิงชินอ๋องกำลังรออยู่ก่อนแล้ว เมื่อเห็นนางมาถึงก็รีบเดินมากุมมือนาง “เจิงเอ๋อร์ไม่กลับมาด้วยหรือ”

 

 

           “เจ้าค่ะ เขากับคุณชายหลี่ไปส่งใต้เท้าหานก่อน จากนั้นก็ไปตรวจสอบที่จวนหมอหลวงซุนต่อ คงกลับมาดึกสักหน่อย” เซี่ยฟางหวาตอบ

 

 

           “ใต้เท้าหานตายอย่างไร ตรวจสอบได้หรือยัง” พระชายาอิงชินอ๋องดึงนางนั่งลงแล้วไล่ถาม

 

 

           “ถูกเข็มปักทะลวงหัวใจจากข้างหลัง แต่ยังสืบไม่ได้ว่าฆาตกรเป็นใคร” เซี่ยฟางหวาตอบ

 

 

           “แค่เข็มก็สังหารคนได้รึ” พระชายาอิงชินอ๋องตกใจ “ฆาตกรสังหารใต้เท้าหานอย่างไร”

 

 

           “ตอนนี้ยังไม่มีความคืบหน้า” เซี่ยฟางหวาส่ายหน้า

 

 

           “เจ้ากับเจิงเอ๋อร์ ยังมีเจ้าหลี่จากจวนเสนาบดีฝ่ายขวาต่างฉลาดหลักแหลมแท้ๆ นึกไม่ถึงว่ายังตรวจสอบไม่ได้ว่าใต้เท้าหานถูกสังหารอย่างไร” พระชายาอิงชินอ๋องย่นหัวคิ้วมองเซี่ยฟางหวา

 

 

           “ข้าตรวจสอบได้แค่ว่าตายเพราะถูกเข็มที่อัดด้วยพลังภายในจากผู้มีวิทยายุทธ์สูง แต่ใครเป็นคนสังหารนั้นยังตรวจสอบไม่ได้ ห้องพักและนอกหน้าต่างที่ใต้เท้าหานอาศัยล้วนไม่พบร่องรอยใด แม้แต่เตียงที่เขาใช้นอนหลับก็ย้ายออกมาตรวจสอบดูแล้ว” เซี่ยฟางหวาบอก

 

 

           พระชายาอิงชินอ๋องมีสีหน้าเคร่งขรึม “แรกเริ่มหมอหลวงซุนถูกสังหารก่อน ต่อมาก็ใต้เท้าหาน ราชสำนักสูญเสียขุนนางไปสองคนในเวลาชั่วพริบตา ทั้งยังเป็นขุนนางตำแหน่งสำคัญอีก กลับหาตัวฆาตกรไม่ได้เช่นนี้ น่ากังวลใจยิ่งนัก” หยุดชั่วครู่แล้วกล่าวต่อ “หลี่อวิ๋นคนนั้นเล่า”

 

 

           เซี่ยฟางหวาเล่าเรื่องที่ใช้วิชาสะกดจิตกับหลี่อวิ๋นและผู้อาวุโสจากตระกูลหลูแห่งฟ่านหยางให้ฟัง

 

 

           “วิชาสะกดจิต?” พระชายาอิงชินอ๋องมีสีหน้าเปลี่ยนไป กุมมือเซี่ยฟางหวาแน่นขึ้น “หวาเอ๋อร์ เจ้าบอกว่าเจ้าใช้วิชาสะกดจิตหรือ ถึงทำให้หลี่อวิ๋นกับตระกูลหลูแห่งฟ่านหยางพูดความจริง”

 

 

           เซี่ยฟางหวาพยักหน้าตอบ

 

 

           “สองวันนี้ที่เจ้าตรวจสอบคดีจะต้องหลุดเผยความจริงไปเป็นแน่ ถึงตอนนั้นเกรงว่าจะถูกล่วงรู้ไปไม่น้อย โดยเฉพาะวิชาสะกดจิตนี้” พระชายาอิงชินอ๋องเผยความกลุ้มใจทันที

 

 

           “ท่านแม่รู้จักวิชาสะกดจิตนี้ด้วยหรือ” เซี่ยฟางหวามองนาง

 

 

           “ข้ารู้ว่ามีตำราโบราณเล่มหนึ่ง ฟังว่าเป็นตำราที่รวบรวมเคล็ดวิชาทั่วใต้หล้า หนึ่งในนั้นคือวิชาสะกดจิตนี้ ฟังว่าตำราเล่มนี้ถูกแบ่งออกเป็นสามส่วน ส่วนหนึ่งอยู่ที่เขาไร้นาม ส่วนหนึ่งอยู่ที่วังหลวง อีกส่วนหนึ่งอยู่ที่จวนจงหย่งโหว” พระชายาอิงชินอ๋องพยักหน้า

 

 

           เซี่ยฟางหวาชะงัก

 

 

           “หวาเอ๋อร์ หลายปีที่เจ้าไม่อยู่ในจวน จนถึงตอนนี้มีใครรู้บ้าง” พระชายาอิงชินอ๋องกุมมือนาง

 

 

           “นอกจากคนในครอบครัวจากสองจวน น่าจะมีหลี่มู่ชิงกับฉินอวี้” เซี่ยฟางหวาครุ่นคิด

 

 

           “ต่อไปเจ้าต้องระวังหน่อย เป็นที่สะดุดตาเกินไปแล้ว สิ่งที่คุณหนูแห่งจวนจงหย่งโหวทำได้ แม้แต่หมอหลวงซุนหรือขุนนางชันสูตรศพทั้งหมดในเมืองยังทำไม่ได้ นี่ไม่ใช่เรื่องดีนัก” พระชายาอิงชินอ๋องถอนหายใจออกมา

 

 

           “ท่านแม่วางใจเถิด ข้ารู้ขอบเขตดี” เซี่ยฟางหวาเม้มปาก

 

 

           พระชายาอิงชินอ๋องพยักหน้าแล้วลดเสียงลง “ส่วนของเขาไร้นาม เจ้าได้มันไปแล้วใช่หรือไม่”

 

 

           “ได้มาแล้ว” เซี่ยฟางหวาตอบ “นอกจากส่วนของเขาไร้นาม ยังมีส่วนของวังหลวง แม้ข้าไม่ได้มันมาแต่ก็อ่านดูแล้ว”

 

 

           “เท่ากับว่าเจ้าได้มันมาครบทั้งสามส่วนแล้ว” พระชายาอิงชินอ๋องถาม

 

 

           เซี่ยฟางหวาพยักหน้า

 

 

           พระชายาอิงชินอ๋องเงียบลงพักหนึ่ง ก่อนถอนหายใจออกมา “คงเป็นลิขิตสวรรค์”

 

 

           เซี่ยฟางหวามองนาง

 

 

           “ฟังว่าตำราเล่มนี้เผยแพร่มาจากเผ่าภูตผี ได้รับการขนานนามว่าเป็นสมบัติที่สืบทอดกันของเผ่าภูตผี และเป็นรากฐานของเผ่าภูตผีด้วย พันปีก่อนเผ่าภูตผียังไม่เป็นที่รู้จัก มักใช้ชีวิตอย่างฤๅษี กระทั่งหลายร้อยปีก่อนมีคนจากเผ่าภูตผีเริ่มไปมาหาสู่กับชาวโลก ดังนั้นจึงค่อยๆ เป็นที่รู้จักมากขึ้น” พระชายาอิงชินอ๋องเล่าให้ฟัง “เผ่าภูตผีมีเลือดที่สามารถเยียวยาสรรพชีวิตได้ ยังมีวิชาคำสาปที่แตกต่างจากคนทั่วไป มันร้ายกาจมาก ในสายตาของคนทั่วไปคงพอจินตนาการได้”

 

 

           เซี่ยฟางหวาฟังเงียบๆ

 

 

           “บนแผ่นดินใหญ่ผืนนี้ มนุษย์แม้มีพอวิทยายุทธ์และพลังภายใน แต่กลับเป็นเพียงคนธรรมดาสำหรับผู้มีสายเลือดเผ่าภูตผี เจ้าว่าการมีเผ่าพันธุ์เช่นนี้อยู่ หากประมุขจากทุกดินแดนทราบถึงความร้ายกาจของมันจะทำเช่นไร” พระชายาอิงชินอ๋องมองนาง

 

 

           “แย่งชิง หรือไม่ก็ทำลาย” เซี่ยฟางหวารีบตอบ

 

 

           “ใช่แล้ว หากใช้ประโยชน์จากมันได้ก็แย่งชิงมาครอบครอง แต่หากใช่ไม่ได้ก็แค่ทำลายทิ้ง” พระชายาอิงชินอ๋องกล่าว “ถึงอย่างไรเผ่าภูตผีก็เป็นเผ่าเล็กๆ ที่หายหน้าไปจากใต้หล้ามายาวนาน ไม่มีเจตนาแย่งชิงดินแดน ทั้งรักษาไว้ไม่ได้ หากไม่ยอมกลายเป็นเครื่องมือสร้างประโยชน์ก็ต้องทำลายทิ้ง”

 

 

           “ท่านแม่หมายความว่า การที่เผ่าภูตผีถูกทำลายนั้น ไม่ใช่เคราะห์หรือลิขิตสวรรค์ แต่เป็นฝีมือมนุษย์” หัวใจของเซี่ยฟางหวาชาวาบ

 

 

           “ลิขิตสวรรค์เป็นชะตาที่กำหนดไว้ เผ่าภูตผีทำกรรมเช่นไร ประมุขจากทุกดินแดนทำกรรมเช่นไร ย่อมได้รับผลเช่นนั้นตอบแทน ทั้งหมดย่อมเป็นไปตามผลของการกระทำ จะบอกว่าไม่ใช่เคราะห์หรือลิขิตสวรรค์ได้อย่างไร” พระชายาอิงชินอ๋องตอบ

 

 

           เซี่ยฟางหวาเงียบลง

 

 

           “เจ้ามีสายเลือดเผ่าภูตผีไหลเวียนอยู่ในกาย ทั้งยังล่วงรู้เนื้อหาในตำรานั้นครบทั้งสามส่วนอีก” พระชายาอิงชินอ๋องมองนาง ก่อนเอ่ยขึ้นด้วยความจริงใจ “หวาเอ๋อร์ ข้าหวังเพียงแค่เจ้ากับเจิงเอ๋อร์ได้ใช้ชีวิตร่วมกันอย่างมีความสุข เจ้าต้องระวังทุกย่างก้าว”

 

 

           “ท่านแม่อย่ากังวลไปเลย ข้าจะระวัง” เซี่ยฟางหวาพยักหน้ารับ

 

 

           “ตั้งแต่เหตุเพลิงไหม้วัดฝ่าฝอซื่อ จนถึงคดีลอบสังหารที่เกิดขึ้นต่อเนื่องตอนนี้ แสดงให้เห็นว่าฆาตกรผู้อยู่เบื้องหลังเต็มไปด้วยความลับ ความโหดเ**้ยม และมีศักยภาพมาก” พระชายาอิงชินอ๋องลูบหลังมือนาง “ทั้งยังไม่รู้ว่าฝ่าบาทคิดจะทำสิ่งใดกันแน่อีก ตอนนี้เจิงเอ๋อร์สืบสวนคดีนี้อย่างโจ่งแจ้ง ด้วยนิสัยของเขาที่บางครั้งก็ไม่สนใจอะไร แต่หากสนใจขึ้นมาแล้วก็จะสืบจนถึงที่สุดจนกว่าความจริงจะปรากฏ ดังนั้นอนาคตเป็นเช่นไร หนทางข้างหน้ายังไร้ที่สิ้นสุด บอกแน่นอนไม่ได้”

 

 

           “ท่านพ่อเล่า” เซี่ยฟางหวาถาม

 

 

           “พอเขากินยาที่เจ้าให้แล้วก็หลับไปแล้ว” พระชายาอิงชินอ๋องตอบ “พอผ่านไปช่วงหนึ่ง รอดูสถานการณ์ก่อน หากเขาถอนตัวออกมาได้ก็ย่อมดีมาก”

 

 

           เซี่ยฟางหวาพยักหน้า

 

 

           ทั้งสองพูดคุยเรื่อยเปื่อยต่ออีกครู่หนึ่ง จากนั้นเซี่ยฟางหวาก็ออกจากเรือนหลัก กลับไปยังเรือนลั่วเหมย