บทที่ 560 ศัตรูผู้แข็งแกร่งที่สุด

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

“เจ้าคงถึงขีดจำกัดแล้วสินะ?”

แม่ทัพฉลามอู๋หยาเหยียดยิ้ม

ทันใดนั้น ดวงตาของมันก็เป็นประกายเย็นเยียบขึ้นมาทันที

“ถ้าอย่างนั้น เจ้าลองทดสอบเพลงหมัดแยกมหาสมุทรของข้าดูหน่อยเป็นไร… เตรียมรับมือ!”

แล้วฉลามหนุ่มก็กระแทกหมัดออกมาข้างหน้า

หมัดถูกปล่อยออกมาแล้ว

การใช้กำปั้นคือหนึ่งในอาวุธหลักของอู๋หยา

พลังลมปราณในร่างกายถูกโคจรลงไปรวมอยู่ที่กำปั้น และกำปั้นของมันก็กำลังลอยเข้าไปหาหลินเป่ยเฉินพร้อมด้วยมวลพลังกดดันมหาศาล

พลัน หลินเป่ยเฉินรู้สึกได้ถึงความน่าสะพรึงกลัว

ร่างกายของเขาถูกตรึงให้ยืนอยู่ที่เดิม

ไม่มีหนทางให้ถอยหนี

“แอบปล่อยพลังกดดันออกมาไม่ให้คู่ต่อสู้เคลื่อนไหวได้อย่างกะทันหันงั้นหรือ?”

ไอ้ฉลามลอบกัดเอ๊ย!

คิดว่าพลังกดดันเพียงเท่านี้จะหยุดเขาได้หรือไง

พริบตานั้น หลินเป่ยเฉินตัดสินใจใช้งานไพ่ตายของตนเองออกมาโดยไม่ลังเล

เขาใช้วิชาโลหิตกระชากวิญญาณ เปลี่ยนแปลงเลือดในร่างกายเป็นพลังลมปราณ…

เขาเปิดเพลงในแอป NetEase Cloud Music เพื่อเพิ่มพลังการต่อสู้…

กระบี่สายฟ้าดาวน์โหลดมาถืออยู่ในมือ…

หลินเป่ยเฉินฟันกระบี่ออกไปแนวขวาง

เป็นกระบวนท่าที่ห้าจากวิชากระบี่ 17 คาบสมุทร

ลำแสงกระบี่พุ่งตัดผ่านอากาศ!

พลังกดดันที่คุกคามรอบกายสลายหายไป

กระบี่สายฟ้าเปรียบเสมือนอาวุธศักดิ์สิทธิ์ชนิดหนึ่ง เมื่อมาอยู่ในมือของหลินเป่ยเฉิน อานุภาพการโจมตีคู่ต่อสู้จึงแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น

บัดนี้ เด็กหนุ่มเป็นผู้มีพลังปราณธาตุดิน สามารถดูดซับพลังขึ้นมาจากพื้นดินและถ่ายเทการโจมตีจากคู่ต่อสู้ลงสู่พื้นดินได้เช่นกัน

นี่หมายความว่าตราบใดที่สองเท้าของเขายังคงสัมผัสอยู่บนเวทีซึ่งตั้งอยู่บนพื้นดิน หลินเป่ยเฉินก็จะไม่มีวันหมดแรง

ตราบใดที่เท้าของเขายังสัมผัสอยู่บนเวทีแห่งนี้ หลินเป่ยเฉินก็จะสามารถหยิบยืมพลังขึ้นมาจากพื้นปฐพีได้ตลอดเวลา

และเป็นการหยิบยืมพลังที่ไม่มีขีดจำกัด

ในเวลาเดียวกันนั้น หลินเป่ยเฉินยังสามารถถ่ายเทพลังการโจมตีจากฝ่ายตรงข้ามลงสู่พื้นดินได้เช่นกัน และนั่นช่วยป้องกันไม่ให้ร่างกายของเขาได้รับบาดเจ็บจากการโจมตี

แน่นอนว่าเป็นการถ่ายเทพลังที่ไม่มีขีดจำกัดอีกเช่นกัน

ด้วยความสามารถเฉพาะตัวของผู้มีพลังปราณธาตุดินเช่นนี้เอง หลินเป่ยเฉินจึงถือว่ามีข้อได้เปรียบอยู่พอสมควร

บัดนี้ เขาไม่สามารถปิดบังพลังปราณธาตุที่แท้จริงของตนเองได้อีกต่อไป

กระบี่สายฟ้าถูกฟาดฟันออกไปแล้ว

ลำแสงกระบี่สาดยาวกินรัศมีหลายสิบวา มวลอากาศปั่นป่วนอย่างรุนแรง แล้วคมกระบี่ในมือของหลินเป่ยเฉินก็ปะทะกับกำปั้นของแม่ทัพฉลามอู๋หยาเข้าอย่างจัง

เปรี้ยง!

คู่ต่อสู้ทั้งสองฝ่ายเผชิญหน้ากันในระยะประชิด

แรงระเบิดที่เกิดขึ้นไม่ต่างไปจากมีใครสักคนทิ้งระเบิดปรมาณูลงมาบนเวทีประลอง

แสงสว่างเจิดจ้าเหมือนมีดวงอาทิตย์ขนาดย่อมลอยอยู่เหนือทะเลสาบ ทำให้กลุ่มคนดูไม่ว่าจะเป็นสายพันธุ์ไหนๆ ก็ต้องหลับตาลงไปโดยปริยาย

เกาะกลางทะเลสาบขนาดใหญ่สั่นสะเทือนเหมือนเกิดเหตุแผ่นดินไหว

ผู้คนที่รวมตัวกันอยู่ในลานไต่สวนคดีจำนวนมากล้มลงไปบนพื้นดินพร้อมกับร้องอุทานออกมาด้วยความตื่นตกใจ

คลื่นแรงสั่นสะเทือนแผ่กระจายไปถึงทะเลสาบโดยรอบ ทำให้ผิวน้ำก่อตัวกลายเป็นคลื่นสูงหลายเซี๊ยะจำนวนนับไม่ถ้วน

ในเวลาเดียวกันนี้

มีพลังลมปราณพวยพุ่งออกมาจากเกี้ยวทองคำที่อยู่ห่างออกไปจากเวทีประลองราวสองร้อยกว่าวา

ชายชราที่อยู่ด้านในเกี้ยวผุดลุกขึ้นยืน

หญิงสาวที่อยู่ข้างกายต้องรีบจับแขนเขาเอาไว้

“ยังไม่เป็นไรหรอก”

“แต่ว่า…”

“อย่างที่ท่านบอกนั่นแหละ เขาจำเป็นต้องเติบโตด้วยความสามารถของตัวเอง”

“ถ้าอย่างนั้น… ก็ไม่เป็นไร”

“อิอิ ข้าอยากถามท่านเหลือเกินว่า หากสักวันหนึ่งข้ากับหลินเป่ยเฉินต้องตกอยู่ในอันตรายพร้อมกัน และท่านสามารถเลือกช่วยได้แค่คนเดียว ท่านจะเลือกช่วยชีวิตผู้ใด?”

“คำถามนี้… ข้า…”

“หุหุ ลืมไปเถิด ข้าแค่ล้อท่านเล่นเท่านั้น” หลังจากหยุดชะงัก เสียงของหญิงสาวก็กล่าวต่อด้วยความอ่อนโยนว่า “ท่านไม่ต้องเป็นห่วง หากรู้สึกว่าเขากำลังตกอยู่ในอันตรายเมื่อไหร่ ข้าจะลงมือเอง ข้ามีสถานะเป็นถึงองค์หญิงแห่งท้องทะเลเชียวนะ การช่วยชีวิตผู้คน ไม่นับว่าเป็นการผิดกฎอยู่แล้ว”

“ข้าช่างละอายใจเหลือเกิน”

ชายชราทรุดนั่งกลับลงไปอีกครั้ง

บนเวทีเต็มไปด้วยแสงสว่างแสบตา

ทว่า เพียงไม่กี่ลมหายใจ แสงสว่างเหล่านั้นก็หายไป

หลินเป่ยเฉินซวนเซถอยหลังไปหลายสิบวา

เท้าของเขาจมลงไปบนพื้นเวที เกิดเป็นรอยเท้าสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนทิ้งเป็นทางยาวอยู่เบื้องหน้า แต่รอบกายเด็กหนุ่มในขณะนี้ ไม่มีรอยเท้าให้เห็นอีกแล้ว

กระบี่สายฟ้าในมือหลินเป่ยเฉินสั่นไหวไม่หยุดยั้ง

ราวกับเป็นงูสีม่วงตัวหนึ่งที่กำลังตื่นกลัวสุดขีด

หลินเป่ยเฉินค่อยๆ โคจรพลังลมปราณ แล้วความเจ็บปวดในร่างกายของเขาก็หายไปอย่างรวดเร็ว

นี่คือการโจมตีของผู้มีพลังขั้นยอดปรมาจารย์ระดับ 8 อย่างนั้นหรือ?

เห็นได้ชัดว่าเป็นการโจมตีที่น่ากลัวมาก

เมื่อสักครู่นี้ หลินเป่ยเฉินแทบจะเห็นภาพร่างกายของตนเองถูกแรงระเบิดแหลกสลายกลายเป็นผุยผงไปแล้ว

โชคดีที่เขายังปลอดภัย

ในบรรดาศัตรูที่หลินเป่ยเฉินเคยเผชิญหน้ามาทั้งหมด นับตั้งแต่ทะลุมิติมาอยู่ในโลกแห่งวรยุทธ์ แม่ทัพฉลามอู๋หยาคือศัตรูผู้แข็งแกร่งที่สุดเท่าที่เขาพบเจอ

หลินเป่ยเฉินอดสงสัยไม่ได้ว่าต่อให้เป็นคุณชายเหลียนซานยามที่มีพลังปีศาจไหลเวียนอยู่ในร่างกาย ก็ยังไม่แน่ว่าจะเป็นคู่ต่อกรของแม่ทัพฉลามอู๋หยาได้ด้วยซ้ำ

หากหลินเป่ยเฉินไม่ได้หยิบยืมพลังมาจากพื้นดิน และไม่ได้ถ่ายเทพลังการโจมตีลงสู่พื้นดินผ่านทางปลายเท้าลงสู่พื้นเวทีและไหลรินลงสู่พื้นดินด้านล่างอีกที ป่านนี้ อวัยวะภายในของเขาก็คงแหลกสลาย และหลินเป่ยเฉินคนนี้ก็คงต้องเจ็บปวดทรมานด้วยอาการบาดเจ็บสาหัสเป็นแน่แท้

ช่างเป็นคู่ต่อสู้ที่น่ากลัวเหลือเกิน

หลินเป่ยเฉินขยับข้อมือ

พลังลมปราณไหลเวียนลงไปสู่กระบี่สายฟ้า กระบี่สายฟ้าจึงกลายเป็นกระบี่ลำแสงอีกครั้ง

ฝั่งตรงข้าม

แม่ทัพฉลามอู๋หยากำลังยืนเบิกตาโตด้วยความไม่อยากเชื่อ

“ฮ่าฮ่าฮ่า ประเสริฐมาก นับว่าเจ้ามีฝีมือไม่ต่ำต้อยจริงๆ”

ฉลามหนุ่มพยักหน้า คลี่ยิ้มออกมาเล็กน้อย “หลินเป่ยเฉิน ด้วยอายุเพียงเท่านี้และมีระดับพลังเพียงเท่านี้ เจ้าถึงกับสามารถต้านทานเพลงหมัดแหวกมหาสมุทรของข้าได้สำเร็จ… เจ้าควรภูมิใจในตนเองอย่างยิ่ง”

ทุกคนรับรู้ได้อย่างชัดเจนว่าแม่ทัพฉลามอู๋หยาประหลาดใจไม่ใช่น้อย ที่พบว่าหลินเป่ยเฉินยังไม่เสียชีวิตหรือแม้แต่ได้รับบาดเจ็บ

ในขณะนี้ แม่ทัพฉลามอู๋หยาต้องยอมรับกับตัวเองแล้วว่า มันสมควรประเมินหลินเป่ยเฉินใหม่อีกครั้ง

การที่เด็กหนุ่มคนนี้กลายเป็นเสาหลักและศูนย์รวมจิตใจของชาวเมืองหยุนเมิ่ง คงไม่ได้เป็นเพียงเรื่องบังเอิญหรือโชคช่วยอีกต่อไป

มิเช่นนั้นแล้ว อย่าว่าแต่หลินเป่ยเฉินจะมีพลังอยู่ในขั้นยอดปรมาจารย์ระดับที่สอง ต่อให้อยู่ในระดับหกหรือระดับเจ็ด ก็ไม่สามารถรับมือการโจมตีด้วยกระบวนท่าเพลงหมัดแยกมหาสมุทรได้เด็ดขาด สิ่งที่ควรจะเป็นก็คือ หลินเป่ยเฉินต้องได้รับบาดเจ็บสาหัส กระอักเลือด ร่างกายสูญเสียการควบคุม และไม่สามารถลุกขึ้นกลับมายืนต่อสู้ได้อีก