ตอนที่ 240-2 ความร้าวฉานก่อตัว

ยอดหญิงสกุลเสิ่น

ซื่อจื่อฮูหยินจวนจิ้นอ๋องอู๋ซื่อกำลังร้อนใจดังไฟสุมทรวง เห็นซือหนงเข้ามาก็เงยหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว “หมอหลวงเล่า เหตุใดถึงไม่เชิญมา”

 

 

ซือหนงกัดริมฝีปาก ท่าทางลำบากใจอย่างยิ่ง

 

 

ใบหน้าของอู๋ซื่อดึงต่ำลงในชั่วขณะ ตะโกนเสียงเด็ดขาด “รีบพูดมา เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่”

 

 

ซือหนงจึงกล่าวด้วยสีหน้าอึดอัดใจทั้งใบ “ฮูหยินสามแพ้ท้อง หมอหลวงหวังจึงมาไม่ได้เจ้าค่ะ”

 

 

“แพ้ท้องอีกแล้วหรือ ไม่ใช่มีหมอหลวงสองคนหรือ นางยึดตัวไปหมดเลยหรือ” อู๋ซื่อกัดฟันกรอด นางเห็นท่าทางอยากพูดแต่พูดไม่ได้ของซือหนง ยังมีอะไรไม่เข้าใจอีก “นางตั้งครรภ์สูงส่งแล้วอย่างไร ลูกสาวคนโตของข้ายังคงเป็นบุตรภรรยาเอกคนโตในจวนอยู่ดี”

 

 

“ท่านแม่ ไม่ไหวแล้ว” เสียงเล็กๆ ของเม่าเอ๋อร์บุตรสาวคนโตของอู๋ซื่อดังขึ้นมา

 

 

อู๋ซื่อหันหน้ากลับไปมองลูกสาวที่แม่นมอุ้มไว้ในอ้อมอกปราดหนึ่ง เห็นเพียงมือเล็กๆ ของนางพยายามจะเกาใบหน้า บนใบหน้าเต็มไปด้วยผื่นสีแดงหนึ่งชั้น ชั่วพริบตาทั้งสงสารทั้งโมโห รีบไปกดมือลูกสาวไว้ กล่าวปลอบ “เม่าเอ๋อร์เด็กดี อย่าเกา เกาแล้วจะไม่สวยเอานะ”

 

 

ทว่าเม่าเอ๋อร์กลับมีท่าทางทนไม่ได้อย่างยิ่ง “ท่านแม่ ท่านแม่ ไม่ไหวแล้ว คัน”

 

 

ใบหน้าเล็กๆ ขมวดมุ่น ผื่นแดงบนใบหน้าก็ยิ่งน่ากลัว จิตใจคนเป็นแม่ของอู๋ซื่อก็กังวลขึ้นมา “เม่าเอ๋อร์รอหน่อย อีกประเดี๋ยวหมอหลวงก็มาแล้ว พวกเรากินยาก็จะดีขึ้น”

 

 

หันหน้าตำหนิซือหนง “ไปเชิญมาอีก ต้องเชิญกลับมาให้ข้าจงได้ รีบไป หากเม่าเอ๋อร์เป็นอะไรไป ตัวข้าฮูหยินจะขายพวกเจ้าเข้าตรอกโคมแดงเสีย”

 

 

ซือหนงและสาวใช้ที่รับใช้อยู่ในห้องคนอื่นๆ ต่างก็ขนหัวลุก โดยเฉพาะซือหนง เพราะว่าท่านซื่อจื่อชอบมองนาง ตอนนี้ฮูหยินจึงเห็นนางไม่เข้าตา หากฉวยโอกาสนี้ขายนาง…นางหนาวสั่นเร่งฝีเท้าไม่กล้าคิดต่อ ทำดีแล้วต่อให้ต้องคุกเข่าโขกศีรษะก็ต้องเชิญหมอหลวงมาให้ได้

 

 

แม่นมที่อุ้มเม่าเอ๋อร์ไว้กลับกล่าวด้วยสีหน้ากังวลทั้งใบหน้า “ฮูหยิน พระชายากับท่านอ๋องเห็นครรภ์นี้ของฮูหยินสามสำคัญยิ่งนัก!” เจตนาในคำพูดก็คือหากครรภ์นี้ของฮูหยินสามเกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้นเนื่องจากเม่าเอ๋อร์จะทำอย่างไร

 

 

ไฟโกรธของอู๋ซื่อแผดเผาขึ้นมาแล้ว “ครรภ์นี้ของนางยังไม่รู้ว่าจะรอดหรือไม่ ก็แค่เลือดเนื้อหนึ่งก้อน มีค่าเท่าเม่าเอ๋อร์ของข้าหรือไร นางคนเดียวยึดตัวหมอหลวงสองคน วันนี้แพ้ท้อง พรุ่งนี้แท้ท้อง ฟุ่มเฟือยยิ่งกว่าเหนียงเหนียงในวังเสียอีก นางทรมานเช่นนี้คลอดออกมาได้ก็แปลกแล้ว” นางกล่าวอย่างเคียดแค้น

 

 

ก่อนหน้านี้อู๋ซือยังแค่ไม่พอใจเล็กน้อย ตอนนี้เกี่ยวพันมาถึงเม่าเอ๋อร์ของนาง ความไม่พอใจที่นางมีต่อหูซื่อก็มาถึงขีดสุดแล้ว แม้แต่แม่สามีก็เคียดแค้นขึ้นมาแล้วเช่นกัน หากไม่ใช่นางตามใจ หูซื่อจะกำเริบเสิบสานเช่นนี้ได้หรือ

 

 

“ฮูหยิน ท่านเบาเสียงหน่อยเจ้าค่ะ” แม่นมรีบมองซ้ายมองขวา “หากดังไปถึงหูของพระชายา…” นึกถึงนิสัยของพระชายา นางก็สั่นกลัว

 

 

อู๋ซื่อกำลังโมโหเลือดขึ้นหน้า “ต่อให้พระชายารู้แล้วอย่างไร หรือว่าเม่าเอ๋อร์ไม่ใช่หลานสาวนาง” แต่ก็ยังคงมองซ้ายขวางปราดหนึ่ง หน้าดำคร่ำเครียดกล่าว “หากข้ารู้ว่าใครคิดทรยศ อย่าหาว่าข้าไม่ปรานีก็แล้วกัน”

 

 

“บ่าวมิบังอาจ!” สาวใช้ทั้งหมดย่อมคุกเข่าแสดงความจงรักภัคดี

 

 

อู๋ซื่อแค่นเสียงหนึ่งครา คิ้วขมวดมุ่นอีกครั้ง มองออกไปหน้าประตูไม่หยุด “เหตุใดถึงยังไม่กลับมาอีก ซือหนงผู้นี้ไร้ประโยชน์ แม้แต่เรื่องนี้ก็ทำไม่ได้ ซืออวี่เจ้าไปดูอีกที”

 

 

สาวใช้ที่ชื่อซืออวี่ขานรับรีบออกไป

 

 

แม่นมเห็นผื่นแดงบนใบหน้าของเม่าเอ๋อร์เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ก็รีบเลิกเสื้อของนางขึ้น ตายล่ะ แม้แต่บนตัวก็มีผื่นแดง ชั่วขณะก็ลนลาน “ฮูหยิน พวกเรารอแต่ฮูหยินสามฝั่งนั้นไม่ได้แล้วเจ้าค่ะ รีบสั่งคนไปเชิญหมอข้างนอกมาเถิด คุณหนูใหญ่ล่าช้าไม่ได้แล้ว”

 

 

เม่าเอ๋อร์มีแม่นมเลี้ยงมาจนโต ย่อมต้องผูกพันเป็นอย่างยิ่ง เห็นเด็กตัวเล็กๆ มีผื่นเต็มหน้า บนร่างเล็กๆ ก็บิดไปบิดมาอย่างไม่สบายตัว นางสงสารไม่ต่างจากอู๋ซื่อเลยแม้แต่นิดเดียว

 

 

“จริงสิ ฮูยินใหญ่ ฮูหยิน เรือนฮูหยินใหญ่ก็มีหมอเช่นกัน บ่าวได้ยินเหล่าคนใช้บอกว่าฝีมือการรักษาไม่เลวอย่างยิ่ง” จู่ๆ แม่นมก็นึกเรื่องนี้ขึ้นได้ ดวงตามองอู๋ซื่อด้วยความกระตือรือร้น

 

 

อู๋ซื่อลังเลเพียงชั่วครู่จากนั้นก็ออกคำสั่ง “ไป รีบไปเชิญหมอที่เรือนฮูหยินใหญ่มา” นางรู้ว่าแม่สามีไม่ถูกกับพี่ใหญ่พี่สะใภ้ใหญ่ เพื่อที่จะเอาใจแม่สามี นางย่อมไปมาหาสู่กับฝั่งนั้นน้อย แต่ตอนนี้เพื่อลูกสาวนางไม่สนใจอะไรทั้งสิ้นแล้ว

 

 

ท่ามกลางการรอคอยที่ร้อนใจของอู๋ซื่อในที่สุดหมอก็มาแล้ว ไม่ใช่หมอหลวง แต่เป็นเสิ่นเวยกับหมอหลิว อู๋ซื่อส่งคนไปรายงานสถานการณ์ เสิ่นเวยก็ไม่ล่าช้าแม้แต่วินาทีเดียวสั่งหมอหลิวเข้ามาแล้ว ตัวนางเองไม่วางใจก็ตามมาด้วยเช่นกัน

 

 

“พี่สะใภ้ใหญ่มาได้อย่างไร รบกวนท่านแล้วจริงๆ” ตอนที่อู๋ซื่อเห็นเสิ่นเวยก็ประหลาดใจในชั่วพริบตา หลังจากนั้นก็กลับเป็นปกติ

 

 

เสิ่นเวยโบกมือ “อย่างอื่นไว้ค่อยพูด ให้หมอหลิวตรวจเม่าเอ๋อร์ก่อนเถอะ โห เม่าเอ๋อร์ของเราอาการหนักยิ่งนัก” เสิ่นเวยเห็นผื่นแดงบนหน้าบนมือของเม่าเอ๋อร์แล้วก็ตกใจ เด็กตัวเล็กแค่นี้จะทนไหวได้อย่างไร “หมอหลิวเจ้ารีบตรวจเถิดว่าเม่าเอ๋อร์เป็นอย่างไร”

 

 

หมอหลิวก้าวยาวขึ้นไปข้างหน้า ตรวจดูผื่นแดงบนใบหน้าและลำตัวของเม่าเอ๋อร์ก่อน แล้วจึงตรวจดูตาจมูกปากนาง จากนั้นก็ไถ่ถามแม่นมเสียงเบาหลายคำถาม ท้ายที่สุดก็ยื่นนิ้วมือสองนิ้วแตะลงบนข้อมือเล็กๆ ของเม่าเอ๋อร์

 

 

ในระหว่างนี้ อู๋ซื่อก็ร้อนใจนแทบจะฉีกผ้าเช็ดหน้าขาดแล้ว เสิ่นเวยเห็นท่าทีก็ปลอบนาง “น้องสะใภ้รองวางใจเถิด ฝีมือการรักษาของหมอหลิวของข้าดีเยี่ยม ปู่ข้าถูกยิงธนูพิษที่ซีเจียงก็ได้เขารักษา ไม่ต่างอะไรจากหมอหลวง เม่าเอ๋อร์จะต้องไม่เป็นไรแน่นอน”

 

 

อู๋ซื่อมองเสิ่นเวยด้วยความซาบซึ้ง ไม่รู้เหมือนกันว่าจะพูดอะไรดี ทว่าจิตใจที่เป็นกังวลกลับวางลงช้าๆ

 

 

ภายใต้การจ้องมองอย่างแรงกล้าของอู๋ซื่อและเสิ่นเวย ในที่สุดหมอหลวก็เก็บมือกลับมาแล้ว “เป็นอย่างไร ร้ายแรงหรือไม่” อู๋ซื่อเอ่ยปากทันที

 

 

ทว่าสีหน้าหมอหลิวกลับผ่อนคลาย “ซื่อจื่อฮูหยินไม่ต้องเป็นกังวล ไม่ใช่ปัญญาใหญ่อะไร” หยุดครู่หนึ่งจึงอธิบายต่อ “สุขภาพร่างกายของคุณหนูใหญ่พิเศษเล็กน้อย ผื่นแดงนี้เกิดจากการกินหรือแตะของผิดสำแดงอะไร ผู้ชราจะเขียนใบสั่งยาให้คุณหนูทาน หลังหนึ่งชั่วยามผื่นแดงก็จะหายดี”

 

 

อู๋ซื่อได้ยินว่าไม่มีอะไรร้ายแรงมาก ร่างทั้งร่างก็เบาลง จากนั้นก็ได้ยินว่าผื่นแดงของเม่าเอ๋อร์เกิดจากการกินหรือแตะของผิดสำแดง สายตาที่มองแม่นมก็ไม่พอใจขึ้นมาทันที

 

 

แม่นมรีบเรียกร้องความเป็นธรรม “ฮูหยินเจ้าคะ บ่าวไม่ได้ให้คุณหนูใหญ่ทานของผิดสำแดงอะไรนะเจ้าค่ะ ล้วนเหมือนเดิมทั้งสิ้น” เช็ดน้ำมูกน้ำตา แทบจะสาบานต่อฟ้าแล้ว

 

 

อู๋ซื่อไหนเลยจะเชื่อ แต่เสิ่นเวยกลับเข้าใจดี ฟังคำของหมอหลิว เม่าเอ๋อร์น่าจะเกิดอาการแพ้ ของจำนวนมากที่ปกติสำหรับคนอื่นแต่กลับเป็นอันตรายต่อนาง แม่นมผู้นี้ได้รับความไม่เป็นธรรมจริงๆ ไม่รู้ว่าเม่าเอ๋อร์แพ้อะไร หรือว่าแพ้ของประเภทใดบ้าง หากหาไม่เจอ ภายหลังเม่าเอ๋อร์ก็อาจจะเจอเหตุการณ์เช่นนี้อีก

 

 

ด้วยเหตุนี้เสิ่นเวยจึงห้ามปรามอู๋ซื่อ ถามหมอหลิว “หมอหลิว เม่าเอ๋อร์ไม่เหมือนคนอื่นใช่หรือไม่ ใช่ของจำนวนหนึ่งที่ธรรมดาสำหรับคนอื่นเป็นอันตรายต่อเม่าเอ๋อร์หรือไม่”

 

 

หมอหลิวเขียนใบสั่งยาไปพลาง พยักหน้ากล่าวไปพลาง “จวิ้นจู่กล่าวถูกต้อง ร่างกายคุณหนูใหญ่ผิดจากคนทั่วไปเล็กน้อย ซ้ำยังเป็นเด็ก ภูมิคุ้มกันไม่เท่าผู้ใหญ่ ของบางอย่างพวกเราแตะก็ไม่เป็นไร แต่สำหรับคุณหนูใหญ่แล้วกลับมอันตรายถึงแก่ชีวิต”

 

 

อู๋ซื่อได้ยินคำว่าถึงแก่ชีวิตสองคำนี้ทั่วทั้งร่างก็ร้อนรนแล้ว ไม่สนใจไต่ถามความรับผิดชอบของแม่นมแล้ว รีบถาม “หมอหลิว ของแบบไหนที่เม่าเอ๋อร์ของข้าไม่อาจแตะได้หรือ” หากหาออกมาไม่ได้ จิตใจของนางจะสงบได้อย่างไร

 

 

หมอหลิวส่งใบสั่งยาเข้าไป แต่กลับส่ายหน้า “นี่ต้องค่อยๆ ตรวจหา ดูว่าวันนี้คุณหนูใหญ่กินอะไรหรือว่าแตะอะไรไป”

 

 

อู๋ซื่อถือโอกาสส่งใบสั่งยาให้สาวใช้ที่ปรนนิบัติอยู่ข้างกาย “รีบไปต้มยา” จากนั้นจึงมองแม่นมแล้วกล่าว “ไม่ได้ยินที่หมอหลิวพูดหรือ วันนี้เม่าเอ๋อร์กินอะไรไปบ้าง แล้วเจ้าพานางไปเล่นที่ไหนไปแตะอะไรบ้าง”

 

 

“ตอนเที่ยงคุณหนูใหญ่งอแงไม่ยอมกินข้าว บ่าวเกลี้ยมกล่อมจนยอมดื่มนมวัวไปครึ่งถ้วย นมวัวนี้ก็กินเป็นปกตินะเจ้าค่ะ!” แม่นมรีบพูด กลัวซื่อจื่อฮูหยินตำหนิติโทษนาง

 

 

“เจ้ามั่นใจหรือว่าเม่าเอ๋อร์ดื่มเพียงนมวัวไม่ได้กินของอย่างอื่น” อู๋ซื่อจ้องมองนางอย่างแน่นิ่ง

 

 

แม่นมพยักหน้าไม่หยุด รีบอธิบาย “ไม่มีเจ้าค่ะ ฮูหยินโปรดเชื่อ บ่าวไม่ได้โกหกจริงๆเจ้าค่ะ! คุณหนูใหญ่ดื่มนมวัวแล้วงอแงจะมาหาฮูหยินให้ได้ บ่าวจึงอุ้มนางมา ไม่ได้ไปที่อื่นจริงๆ เจ้าค่ะ! จริงสิ ยังมีเสี่ยวฝู เสี่ยวฝูอยู่กับบ่าวตลอด นางสามารถเป็นพยานให้บ่าวได้”

 

 

เสี่ยวฝูที่ถูกแม่นมเรียกชื่อก็ก้าวออกมาอย่างขลาดกลัว “เรียนฮูหยิน บ่าวอยู่กับแม่นมตลอด ตอนเที่ยงคุณหนูใหญ่ดื่มนมวัวครึ่งถ้วย จากนั้นก็มาหาฮูหยินที่นี่ ไม่ได้ไปที่อื่นจริงๆ เจ้าค่ะ”

 

 

“เช่นนั้นผื่นแดงนี้บนตัวเม่าเอ๋อร์มาได้อย่างไร ข้าว่าพวกเจ้าไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา ไม่ลงโทษก็ไม่พูดความจริงใช่หรือไม่” อู๋ซื่อตะโกนเสียงต่ำ “ใครก็ได้ ลากสองคนนี้ออกไปตีเดี๋ยวนี้ พูดความจริงเมื่อไหร่ค่อยหยุดเมื่อนั้น” เรื่องเกี่ยวข้องกับลูกสาวของตน อู๋ซื่อไม่กล้าประมาทเลยแม้แต่นิดเดียว

 

 

“ช้าก่อน” เสิ่นเวยรีบห้าม สบสายตาที่ไม่พอใจของอู๋ซื่อ นางกล่าว “น้องสะใภ้รองอย่ารีบร้อน ข้าถามพวกนางอีกสักหน่อย”

 

 

อู๋ซื่อไม่อาจไม่ไว้หน้าได้ “ฮูหยินใหญ่ถามพวกเจ้าแล้ว ก็ตอบความจริงข้ามา”

 

 

เสิ่นเวยกล่าว “ระหว่างทางที่พวกเจ้าพาเม่าเอ๋อร์มาหาซื่อจื่อฮูหยินไปแตะอะไรเข้าหรือไม่”

 

 

“ระหว่างทางหรือ” แม่นมกับเสี่ยวฝูนึกย้อนทันที “ดอกเฉียงเวย (กุหลาบพันธุ์ไม้เลื้อย)” ดวงตาคนทั้งสองเป็นประกายกล่าวขึ้นพร้อมกัน “เรียนฮูหยิน ระหว่างทางมา คุณหนูใหญ่เห็นดอกเฉียงเวยผลิดอกอยู่ในสวนดอกไม้เล็ก งอแงจะเอา บ่าวจึงไปเด็ดมาให้นางหลายดอก”

 

 

“ใช่ๆๆ ตอนที่มาในมือเม่าเอ๋อร์กำดอกเฉียงเวยหลายดอก ซ้ำยังให้ข้าหาแจกันเสียบ อ้อ อยู่ตรงนั้น!” อู๋ซื่อเองก็รีบกล่าว “แต่ก่อนหน้านี้เม่าเอ๋อร์ก็เคยแตะดอกเฉียงเวยแล้ว ไม่เคยเห็นนางเป็นอะไรนี่” สีหน้าท่าทางไม่เข้าใจอย่างยิ่ง

 

 

“มีเรื่องอื่นอีกหรือไม่” เสิ่นเวยถามต่อ

 

 

“ทั้งสองส่ายหน้าพร้อมกัน “ไม่มีแล้วเจ้าค่ะ หากบ่าวโกหกก็ขอให้ฟ้าผ่าตาย”

 

 

คนโบราณเชื่อเรื่องภูตผีเวรกรรม คำสาบานนี้ไม่อาจโกหกได้ เสิ่นเวยมองสีหน้าพวกนางแม้ว่าจะลุกลน แต่แววตากลับไม่คลุมเครือ จึงตัดสินว่าพวกนางไม่ได้โกหก อดมองหมอหลิวไม่ได้ “หมอหลิวว่าอย่างไร”

 

 

หมอหลิวคิดครู่หนึ่งจึงกล่าว “ของที่เป็นอันตรายต่อคุณหนูใหญ่ไม่เหมือนกัน สัมผัสนมวัวและดอกเฉียงเวยเพียงอย่างเดียวไม่เป็นไร หากสัมผัสสองอย่างนี้พร้อมกันจะทำให้เกิดอาการหายใจลำบากร่างกายเต็มไปด้วยผื่นแดง กรณีนี้ผู้ชราก็เคยเห็นมาก่อน”

 

 

“อมิตาพุทธ ที่แท้แล้วก็เป็นเช่นนี้! ความหมายของหมอหลิวก็คือขอเพียงแค่เม่าเอ๋อร์ไม่สัมผัสนมวัวและดอกเฉียงเวยพร้อมกันก็ไม่เป็นไรใช่หรือไม่” อู๋ซื่อถอนหายใจอย่างโล่งอก แต่กลับมองหมอหลิวอย่างไม่มั่นใจเล็กน้อย

 

 

หมอหลิวไตร่ตรองครู่หนึ่งจึงกล่าว “ถูกต้องแล้ว เพียงแต่ผู้ชราไม่รู้ว่าคุณหนูใหญ่ใช่แตะดอกไม้อื่นไม่ได้ด้วยหรือไม่” เห็นอู๋ซื่อตื่นตระหนกขึ้นมาอีกครั้ง รีบกล่าว “ขอเพียงแค่ไม่ดื่มนมวัวพร้อมกันก็ไม่เป็นไร! แม้จะเกิดเหตุการณ์เช่นวันนี้อีก ขอเพียงแค่กินยาทันเวลาก็จะไม่เกิดอันตราย กลับไปผู้ชราจะเปลี่ยนแกงยานี้เป็นยาลูกกลอน เตรียมไว้ติดตัวคุณหนูทุกเมื่อ”

 

 

อู๋ซื่อนับได้ว่าสบายใจลงแล้ว “ขอบคุณหมอหลิวอย่างยิ่งจริงๆ” จากนั้นก็จับมือเสิ่นเวยขอบคุณไม่หยุด “พี่สะใภ้ ครั้งนี้ขอบคุณท่านมากจริงๆ ท่านช่วยชีวิตเม่าเอ๋อร์ของข้าไว้!” แววตาเต็มไปด้วยความซาบซึ้ง

 

 

เสิ่นเวยรีบโบกมือ ตบมือของนางปลอบขวัญ “น้องสะใภ้รองเกรงใจเกินไปแล้ว เม่าเอ๋อร์เองก็เป็นหลานสาวของข้ามิใช่หรือ คนบ้านเดียวกันยังต้องเกรงใจอะไรอีก”

 

 

เทียบกับน้องสะใภ้สามหูซื่อ ความประทับใจที่อู๋ซื่อมีต่อเสิ่นเวยก็ดีขึ้นในชั่วพริบตา

 

 

เม่าเอ๋อร์กินยาแล้ว เพียงครึ่งชั่วยาม ผื่นแดงบนใบหน้าก็เริ่มหาย หนึ่งชั่วยามผ่านไปก็หายไปเกินครึ่ง อู๋ซื่อจึงถอนหายใจยาวหนึ่งครา จับมือของเสิ่นเวยส่งนางออกจากเรือนไปไกล

 

 

ส่วนแม่นมและเสี่ยวฝู อู๋ซื่ออยากลงโทษ แต่เมื่อย้อนคิดอีกครั้ง ปกติแม่นมก็ดูแลเม่าเอ๋อร์ด้วยความใส่ใจอย่างยิ่ง หากเปลี่ยนแล้วจะเหมาะสมกับลูกสาวหรือไม่ไม่ว่า นางเองก็ไม่กล้ารับรองว่าคนที่มาใหม่จะใส่ใจได้เท่าเดิม อีกทั้งเม่าเอ๋อร์สุขภาพร่างกายต่างจากคนอื่นโชคดีที่พบอาการล่วงหน้า ทำให้นางเตรียมการล่วงหน้าได้ หากตอนนี้ไม่รู้ ภายหลังป่วยขึ้นมานอกจวน ไหนเลยจะบังเอิญเชิญหมอที่มีประสบการณ์ด้านนี้มาได้ทัน เช่นนั้นเม่าเอ๋อร์ก็ต้องเป็นอันตรายมิใช่หรือ

 

 

เมื่อคิดเช่นนี้ อู๋ซื่อจึงไม่ได้ลงโทษแม่นมและเสี่ยวฝูอีก ถือว่าเป็นการชดใช้เวรกรรม