บทที่ 1278 ของที่มือสังหารทิ้งไว้

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

บทที่ 1278 ของที่มือสังหารทิ้งไว้ โดย Ink Stone_Fantasy

เขากำลังเสแสร้งอยู่ กำลังแสดงให้ผู้บัญชาการใหญ่เห็น แสดงความโกรธเคืองที่อยู่ในใจ

แต่เขาก็นึกกลัวทีหลังจริงๆ ถ้าเมื่อครู่นี้ผู้บัญชาการใหญ่ตายจริงๆ ก็ยังไม่ต้องพูดถึงว่าการที่ตัวเองค้นยึดร้านค้ามากมายขนาดนั้นได้ล่วงเกินคนไปมากเท่าไร ถ้าเบื้องบนสืบหาความจริงเรื่องการตายของกงอวี่เฟยกับหลี่หวนถังขึ้นมา ถ้าไม่มีผู้บัญชาการใหญ่คุ้มกะลาหัว เรื่องบางเรื่องเขาก็รับการสืบสวนไม่ไหวจริงๆ

ตอนที่ฆ่ากงอวี่เฟยกับหลี่หวนถัง เขารีบร้อนเกินไปจริงๆ คิดแผนการขึ้นมาได้กะทันหันล้วนๆ ทั้งยังทิ้งช่องโหว่ไว้ด้วย ยกตัวอย่างเช่นเวลาต่อสู้ไม่สอดคล้องกัน แล้วลูกน้องที่เป็นนกสองหัวก็มีเยอะเกินไป ใครจะไปรู้ว่าตอนสืบสวนจะมีคนพูดซี้ซั้วหรือไม่ ตราบใดที่ผู้บัญชาการใหญ่ไม่ล้ม เขาก็จะกัดไว้แน่นไม่ยอมปล่อย มีอำนาจบารมีของผู้บัญชาการใหญ่อยู่เบื้องบน ลูกน้องระดับล่างก็จะไม่กล้าพูดซี้ซั้ว นอกเสียจากจะไม่อยากทำมาหากินแล้ว ถ้าผู้บัญชาการใหญ่ไม่ปล่อยตัว ไม่ว่าใครก็อย่าได้หวังว่าจะได้ย้ายออกไปง่ายๆ

มู่หรงซิงหัวอดไม่ได้ที่จะหลอกตามองบน รับไม่ไหวกับคนขี้ประจบ อยู่ต่อหน้าคนมากขนาดนี้ไม่รู้จักเก็บสำรวมอาการเสียบ้าง

เหมียวอี้ชำเลืองมองด้วยสีหน้าเรียบเฉย เขาชินกับการประจบของสวีถังหรานจนมองเป็นเรื่องปกติแล้ว

สวีถังหรานที่ระบายความโกรธเสร็จแล้ววิ่งกลับมา หยิบกำไลเก็บสมบัติวงหนึ่งกลับมามอบให้ด้วย “นายท่าน ศีรษะของมือสังหารทนการโจมตีของนายท่านไม่ไหว ถ้าคิดจะระบุตัวตนก็ค่อนข้างยาก หวังว่าของที่อยู่ในนี้จะทำให้ตรวจเจอเบาะแสได้”

เหมียวอี้ยื่นมือไปรับกำไลเก็บสมบัติ ครุ่นคิดเล็กน้อย แล้วกล่าวเสียงต่ำว่า “เปิดประตูของสี่เขตเมืองเถอะ!”

“นายท่าน ยังมีพวกที่เหลือรอด…” สวีถังหรานเพิ่งจะเอ่ยเตือน แต่พอเห็นเหมียวอี้เหล่ตามองมาแบบไม่ยอมให้ปฏิเสธ ก็รีบเปลี่ยนเป็นพูดว่า “ขอรับ! ข้าน้อยน้อมรับคำสั่ง!”

เหมียวอี้หยิบเครื่องมือเปิดค่ายกลใหญ่ของตำหนักคุ้มเมืองออกมา เปิดใช้งานค่ายกลใหญ่อีกครั้ง เดินก้าวยาวเข้าไปท่ามกลางสายตาของฝูงชน จากนั้นก็ปิดค่ายกลใหญ่ทันที ป้องกันไม่ให้มีคนลอบจู่โจม เงาร่างของเหมียวอี้หายไปจากสายตาทุกคนแล้ว

พวกฝูชิงที่น้อมส่งเหมียวอี้เสร็จแล้วหันกลับมามองที่เกิดเหตุที่มีเลือดไหลนองเป็นแม่น้ำ พวกเขาสบตากันแวบหนึ่ง เลิกคิดไปได้เลยว่ากลิ่นคาวเลือดจะหายไปในระยะเวลาอันสั้น ที่สำคัญเป็นเพราะเลือดสดไม่เหมือนน้ำที่รินไหล สามารถจับตัวเป็นก้อนอยู่ในท่อระบายน้ำใต้ดินได้ง่าย

ทั้งสี่งานยุ่งแล้ว การทำความสะอาดพื้นที่นี้ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ ตรวจยึดร้านค้าไปมากมายขนาดนั้น แค่จัดระเบียบสินค้าเพื่อรายงานอย่างเดียวก็ใช้เวลาไม่น้อยแล้ว สวีถังหรานยังต้องคิดหาทางกุเรื่องรายงานสาเหตุการตายของกงอวี่เฟยกับหลี่หวนถังแบบไม่ให้มีช่องว่างให้โดนโจมตีด้วย

พอเห็นเหมียวอี้เข้าไปในตำหนักคุ้มเมือง พวกเชียนหลัวที่แอบเตรียมป้องกันก็โล่งอก ตำหนักคุ้มเมืองมีค่ายกลใหญ่ป้องกัน ไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะโจมตีให้พังได้

อวิ๋นจือชิวก็โล่งใจแล้วเช่นกัน ถ่ายทอดเสียงบอกพวกผู้หญิงที่อยู่ข้างกายตัวเองว่า “กลับกันเถอะ! กลับไปแล้วก็อย่าเพิ่งรบกวนนายท่าน ตอนนี้เขาคงไม่มีอารมณ์มาต้อนรับขับสู้พวกเรา”

คนกลุ่มใหญ่กำลังล้อมดูการเคลื่อนย้ายเก็บกวาดศพผืนใหญ่ ไม่รู้ว่ามีคนมากมายเท่าไรทอดถอนใจ กลุ่มคนเริ่มแยกย้ายกันไปพร้อมคำวิจารณ์ต่างๆ นาๆ ผ่านไปไม่นาน เรื่องที่ผู้บัญชาการใหญ่หนิวโดนลอบสังหารอย่างโจ่งแจ้งก็แพร่ออกไป ทั้งยังแพร่ไปอย่างรวดเร็วมากด้วย

พอกลับมาบนตึกร้านโฉมเมฆา อวิ๋นจือชิวที่กำลังจะเข้าห้องตัวเองก็เอียงหน้ามองห้องข้างๆ จู่ๆ ในใจก็รู้สึกพาลโกรธขึ้นมา สั่งว่า “เชียนเอ๋อร์ เจ้าไปห้องข้างๆ แล้วบอกเรื่องที่นายท่านประสบอันตรายวันนี้ให้ฟังหน่อย ดูว่านางจะมีปฏิกิริยายังไง”

ผู้หญิงของตระกูลเหมียวเพิ่งจะโผล่หน้าออกมา มีเพียงเทพธิดาหงเฉินที่ตัดขาดจากโลกภายนอกมาตลอด ทำตัวเหมือนคนออกบวชยิ่งกว่าคนออกบวชเสียอีก

เชียนเอ๋อร์กลับมาอย่างรวดเร็ว อวิ๋นจือชิวที่นั่งเงียบๆ อยู่ในศาลาพยักหน้าถาม “บอกหรือยัง?”

“บอกแล้วเจ้าค่ะ”

“นางมีปฏิกิริยายังไง?”

“เพียงถามว่านายท่านเป็นอะไรหรือเปล่า หลังจากรู้ว่านายท่านปลอดภัยก็ไม่พูดอะไรอีก เยือกเย็นมากเจ้าค่ะ”

อวิ๋นจือชิวพ่นสียงทางจมูกสองที “เลี้ยงคนอกตัญญูไว้จริงๆ”

เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์สบตากันแวบหนึ่ง พบว่าวันนี้ฮูหยินอารมณ์แย่มาก

พิภพเล็ก แดนอู๋เลี่ยง หลังจากหยางชิ่งที่นั่งอยู่หลังโต๊ะยาวได้ข่าวจากฉินเวยเวย ก็เก็บระฆังดาราแล้วส่ายหน้ายิ้มเจื่อน “ฮูหยินเอ๊ย! ลูกเขยจอมเอาเปรียบของพวกเราไม่ได้ดวงดีแบบธรรมดาจริงๆ”

ชิงจวี๋และชิงเหมยที่ยืนอยู่ข้างๆ สบตากันอย่างไม่เข้าใจ ฉินซีถามอย่างแปลกใจว่า “เป็นอะไรไป?”

“เมื่อครู่นี้เวยเวยเพิ่งส่งข่าวมา…” หยางชิ่งเล่าเรื่องที่เหมียวอี้โดนลอบสังหารให้ฟัง

ฉินซีได้ยินแล้วตกใจมาก “เกือบจะเอาชีวิตไม่รอดแล้ว แบบนี้นับว่าดวงดีอะไรกัน?”

“เจ้าไม่เข้าใจหรอก!” หยางชิ่งโบกมือ ตอนนี้ยังไม่พูดอะไรกับนางมาก ตอนนี้เขาต้องถือโอกาสตีเหล็กตอนร้อน อาศัยเหตุผลนี้เพื่อรักษาความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับเหมียวอี้ไว้ หยิบระฆังดาราออกมาแล้ว

เหมียวอี้กำลังอยู่ในอ่างอาบน้ำของตำหนักคุ้มเมือง จะไม่พูดแบบนี้ก็ไม่ได้ เมื่อเคยชินกับการโดนคนอื่นปรนนิบัติรับใช้ ตอนนี้เขาจึงไม่ชินกับการจัดการงานหยุมหยิมแบบนี้ด้วยตัวเองเลย โดยเฉพาะตอนที่กำลังคิดเรื่องอะไรบางอย่าง สำหรับคนคนหนึ่งที่การกระทำมักส่งผลต่อชีวิตของคนทั้งครอบครัว เขาไม่ใช่คนขายเนื้อที่ร้านแผงลอยเล็กๆ เหมือนในปีนั้นแล้ว ความผิดพลาดเพียงชั่วแวบเดียวก็อาจจะก่อให้เกิดความเสียหายแบบไม่มีทางกู้คืนได้ เวลาทำงานไม่สะดวกจะให้มีเรื่องหยุมหยิมมารบกวนเลยจริงๆ จำเป็นต้องมีคนรับใช้ประจำตัว ไม่เกี่ยวกับเรื่องความโอ่อ่าหรูหราหรือว่าเสพสุขแล้ว เพราะในความเป็นจริงมันคือเรื่องจำเป็น

พูดแบบไม่น่าฟังก็คือ ต่อให้เป็นในด้านผู้หญิง ก็ควรอยู่ในสภาพที่สามารถเติมเต็มเขาได้ทุกเมื่อ การมีภรรยาหลายคนคือเรื่องจำเป็น ไม่ควรจะกลายเป็นสาเหตุที่มารบกวนเขา ความสัมพันธ์ที่มั่วและยืดเยื้อระหว่างเขากับหวงฝู่จวินโหรว ที่จริงแล้วเป็นสิ่งที่ไม่สมควรเป็นอย่างมาก

ข้างกายเขามีเป่าเหลียนคอยรับใช้ แต่นางเป็นผู้หญิง ไม่สะดวกจะรับใช้เรื่องอาบน้ำ ถ้าเปลี่ยนเป็นผู้หญิงคนอื่นเขาอาจจะเรียกใช้ได้ แต่มิตรไมตรีระหว่างเขากับอวี้หลิงเจินเหรินเจ้าสำนักลมปราณก็เห็นๆ กันอยู่ เขาไม่อยากแต่งงานกับหลานสาวของอีกฝ่าย แต่กลับให้หลานสาวของอีกฝ่ายมาทำเรื่องที่จะทำลายความบริสุทธิ์ของนางเหรอ แบบนี้มันใช่เรื่องที่ไหนกัน?

ถึงแม้ในบ้านจะมีผู้หญิงเยอะ แต่เพื่อความปลอดภัยของพวกนาง เขาจึงไม่สะดวกจะเปิดเผยความสัมพันธ์กับพวกนาง โดยเฉพาะเมื่อเกิดเรื่องเหมือนอย่างวันนี้ขึ้นแล้ว ที่จริงในสายตาคนนอก เรื่องระหว่างเขากับเถ้าแก่เนี้ยร้านโฉมเมฆาได้ผ่านไปแล้ว ไม่ได้ไปมาหาสู่กันอีก กลายเป็นเพียงเรื่องตลกเท่านั้น

หยางชิ่งส่งข่าวมา เหมียวอี้ก็ไม่อยากจะติดต่อกับเขาจนเสียการเสียงาน แต่เมื่อเกิดเรื่องขึ้นต่อเนื่องกัน ความจริงก็ได้พิสูจน์แล้วว่าหยางชิ่งคิดอะไรได้รอบด้านกว่าตน จึงหยิบระฆังดาราออกมาตอบ : มีเรื่องอะไร?

หยางชิ่ง : เมื่อครู่นี้เวยเวยส่งข่าวมาบอกว่านายท่านประสบอันตราย นายท่านไม่เป็นอะไรใช่มั้ย?

เหมียวอี้ : หวาดเสียวแต่ไม่เป็นอันตราย ไม่เป็นอะไร

หยางชิ่ง : นายท่านทราบมั้ยว่าใครลอบสังหาร?

เหมียวอี้ : ตอนนี้ยังไม่รู้ เป็นไปได้สูงว่าจะเป็นกลุ่มผู้มีอำนาจของตำหนักสวรรค์ อย่างไรเสียก็เพิ่งค้นยึดร้านค้าไปมากมายขนาดนั้น!

ปีศาจโลหิต? ตอนนี้ปีศาจโลหิตไม่กล้าสู้กับเขาอย่างโจ่งแจ้ง ยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะบงการให้นักพรตบงกชรุ้งมาสู้กับเขาอย่างเปิดเผย ถ้าแอบทำยังพอเป็นไปได้ ไม่อย่างนั้นสมาคมวีรชนคงจะเป็นคนแรกที่ฆ่าปีศาจโลหิต

เขายังระแวงสงสัยโจรกบฏในนรกนิดหน่อย ถึงแม้ตอนอยู่ในนรกเขาจะถ่อมตัวอยู่หลายปี แต่คนที่เกลียดขี้หน้าเขาก็มีไม่น้อย ยกตัวอย่างเช่นห้าปราชญ์ มีความเป็นไปได้สูงว่าจะบงการให้คนหกลัทธิที่แฝงตัวอยู่ข้างนอกลงมือกับเขา แต่ตามหลักการแล้วไม่ควรจะทำอย่างโจ่งแจ้งแบบนี้สิ แล้วอีกอย่าง ถ้ายังไม่ได้หกเคล็ดวิชาพิเศษไปจนครบสมบูรณ์ ก็เป็นไปไม่ได้ที่อีกฝ่ายจะฆ่าเขา และแน่นอน เขาไม่คิดจะบอกเรื่องที่เกี่ยวข้องกับนรกให้หยางชิ่งรู้

ส่วนกลุ่มผู้มีอำนาจของตำหนักสวรรค์ เขาเองก็แสดงความสงสัยในความเป็นไปได้นี้เหมือนกัน ถึงแม้ฐานะที่ตำหนักสวรรค์ของเขาจะไม่สูง แต่ฐานะผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์ก็เห็นๆ กันอยู่ มือสังหารตรงประตูตำหนักคุ้มเมืองกับมือสังหารที่ภัตตาคารบุปผาวสันต์จันทร์สารทมีลักษณะไม่เหมือนกัน ถ้าสังหารที่ภัตตาคารบุปผาวสันต์จันทร์สารทสำเร็จ อีกฝ่ายจะต้องฆ่าปิดปากผู้ที่เกี่ยวข้องแน่นอน ส่วนตรงประตูตำหนักคุ้มเมืองมีคนเห็นเยอะเกินไป ไม่มีทางปิดปากใครได้เลย คงเป้นไปไม่ได้ที่จะฆ่าคนให้ตายทั้งตลาดสวรรค์

ประการที่สองเป็นเพราะหยางชิ่งได้อธิบายเหตุผลไว้ตั้งแต่แรกแล้ว ถ้าทุกคนลงมือด้วยกันที่ภัตตาคารบุปผาวสันต์จันทร์สารท ก็อาจจะรอดพ้นจากการลงโทษเพราะมีจำนวนคนเยอะเกินไป ดังนั้นเขาจึงคิดไม่ตกว่าใครกันแน่ที่กล้าทำเรื่องแบบนี้

หยางชิ่ง : ถ้าเป็นคนที่เกี่ยวข้องกับตำหนักสวรรค์ทำจริงๆ ก็ยังไม่รู้เลยว่าท่านไหนที่วางหมากผิดแบบนี้ได้ แต่ไม่ว่าจะยังไง ในเวลาแบบนี้ก็กลับเป็นการช่วยเหลือนายท่านได้มาก

เหมียวอี้รู้สึกเหนือความคาดหมาย ตอนนี้เขากำลังกังวลว่ามีคนจะเอาชีวิตเขาโดยไม่สนใจขอบเขต ถ้าเป็นแบบนี้ตัวเองจะตกอยู่ในอันตรายมาก นึกไม่ถึงว่าหยางชิ่งจะบอกว่าเป็นเรื่องดี อดไม่ได้ที่จะถามว่า : หมายความว่ายังไง?

หยางชิ่ง : ที่จริงแล้ว ก่อนหน้านี้ข้าน้อยยังอยากจะให้นายท่านเตรียมฉากลอบสังหารแบบนี้เอาไว้ด้วยซ้ำ แต่การส่งนักพรตบงกชทองไปลอบสังหารนายท่านช่างเป็นเรื่องน่าขำขันจริงๆ ชื่อเสียงบารมีที่นายท่านฝ่าเข้าไปในทัพใหญ่หนึ่งล้านไม่ใช่เรื่องล้อเล่น ข้างกายก็มีกำลังพลมากมายคุ้มกัน ถ้าจะเตรียมก็ต้องเตรียมนักพรตบงกชรุ้งระดับสูงเท่านั้น แต่การจะให้นักพรตบกชรุ้งมาทำเรื่องแบบนี้ คาดว่าคงไม่มีใครยอมทำเหมือนกัน ถ้าสืบถามความจริงขึ้นมาจะต้องแบกรับผลที่ตามมาเองแน่ๆ แต่ถ้าเป็นนักพรตบงกชทอง พวกเรายังสามารถเตรียมคนของเราเองได้ ถึงอย่างไรก็สามารถย้ายคนกลับพิภพเล็กได้เร็วอยู่แล้ว แต่การใช้นักพรตบงกชทองมาลอบสังหารนั้นดูไม่สมจริง แต่ตอนนี้ดีแล้ว นึกไม่ถึงว่าจะมีคนมาช่วยนายท่านแล้ว

เหมียวอี้ : เอาเรื่องนี้มาเป็นข้ออ้างเล่นงานเหรอ?

หยางชิ่ง : ไม่ว่าจะเป็นในโลกมนุษย์ หรือเป็นบนสวรรค์เก้าชั้นฟ้า แต่ไหนแต่ไรมาราชาก็มักเป็นคนขี้ระแวงสงสัยอยู่แล้ว! นายท่านไม่จำเป็นต้องเอาเรื่องนี้ไปเป็นข้ออ้างเล่นงาน เพราะไม่ว่าจะเป็นฝีมือของผู้มีอำนาจในตำหนักสวรรค์หรือไม่ แต่เกรงว่าราชันสวรรค์คงจะสงสัยผู้มีอำนาจของตำหนักสวรรค์เป็นอันดับแรก ถึงอย่างไรก่อนหน้านี้ก็เคยมีเรื่องกันอยู่แล้ว จะไม่ให้สงสัยก็คงยาก เบื้องล่างมีคนท้าทายอำนาจบารมีของเขาอย่างโจ่งแจ้ง ถ้าเป็นฝีมือของคนกลุ่มหนึ่ง เขาคงไม่สะดวกจะพูดอะไร แต่ถ้าเป็นคนคนเดียว เขาก็จะต้องเชือดไก่ให้ลิงดูแน่นอน ถ้าสืบเจอคงไม่ปล่อยเรื่องนี้ไปง่ายๆ เด็ดขาด พอเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น ใครยังจะกล้ามาหาเรื่องนายท่านให้ถูกราชันสวรรค์สงสัยอีกล่ะ ว่ากันว่าอยู่ใกล้ราชาก็เหมือนอยู่ใกล้เสือ ตราบใดที่พิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเองไม่ได้ ก็ไม่มีใครรับไหวถ้าต้องตกเป็นที่ต้องสงสัยเรื่องนี้ ดังนั้นตอนนี้นายท่านยังไม่ต้องกังวลถึงผลลัพธ์ของการล้างเลือดที่ตลาดสวรรค์ แต่มีอยู่จุดหนึ่งที่นายท่านต้องระวังเอาไว้ ข้าได้ยินเวยเวยบอกมา ว่านายท่านได้กำไลเก็บสมบัติมาจากตัวมือสังหารเหรอ?

เหมียวอี้ : ใช่แล้ว!

หยางชิ่ง : หวังว่าบนตัวมือสังหารนั่นจะไม่มีของที่สาวไปถึงตัวคนบงการได้ ถ้าเป็นฝีมือของผู้มีอำนาจในตำหนักสวรรค์จริงๆ ดีไม่ดีอาจจะมีคนยอมแลกทุกอย่างเพื่อกำจัดนายท่านและทำลายหลักฐานก็ได้ ดังนั้นช่วงนี้นายท่านอย่าให้โอกาสใครลงมือเด็ดขาด ต้องรอให้ตำหนักสวรรค์ส่งคนมาสืบก่อน คาดว่าคนของตำหนักสวรรค์คงจะมาถึงในไม่ช้านี้ แล้วก็ยังมีความเป็นไปได้อีกอย่าง ถ้าคนบงการไม่มีโอกาสลงมือ ก็เป็นไปได้สูงว่าจะโผล่หน้ามาเจรจากับนายท่าน นายท่านต้องเตรียมใจเอาไว้ อย่าส่งมอบหลักฐานให้อีกฝ่ายเด็ดขาด ถ้าไม่บีบจุดอ่อนนี้ไว้นายท่านก็จะเกิดอันตราย แต่ถ้าช่วงชิงไว้อย่างเหมาะสมก็จะเป็นประโยชน์บ้าง

เหมียวอี้ : เจ้าเองก็สงสัยผู้มีอำนาจของตำหนักสวรรค์เหรอ

หยางชิ่ง : ข้าน้อยเองก็ไม่แน่ใจว่าใครทำ ข้าน้อยอยู่ที่พิภพเล็ก ถึงอย่างไรก็ไม่รู้สถานการณ์ที่นายท่านเจอแน่ชัด ไม่มีทางตัดสินได้ ทำได้เพียงเตือนให้นายท่านเตรียมตัวไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ แล้วอีกอย่าง หลังจากเกิดเรื่องนี้แล้ว เกรงว่าจะส่งผลกระทบต่ออนาคตของนายท่านด้วย นายท่านล้างเลือดที่ตลาดสวรรค์ ส่งผลกระทบต่อผลประโยชน์ของผู้มีอำนาจ ถ้าให้อยู่ที่ดาวเทียนหยวนเล็กๆ ยังพอไหว แต่ถ้าให้นายท่านเลื่อนขั้นเป็นแม่ทัพภาคของตลาดสวรรค์ นั่นก็จะเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ในวงกว้างมากขึ้น นายท่านเอาแต่ทำเรื่องแบบนี้บ่อยๆ ไม่มีใครยินดีที่จะเห็นนายท่านได้เลื่อนตำแหน่งสูงขึ้นหรอก ต่อให้เป็นราชินีสวรรค์ก็ต้องพิจารณาผลประโยชน์ของตระกูลเซี่ยโห้วเหมือนกัน ถ้านายท่านอยากจะเลื่อนขั้นโดยวิธีการปกติอีก ก็เกรงว่าจะมีความหวังริบหรี่มาก!

สำหรับเรื่องนี้ เหมียวอี้ไม่จำเป็นต้องให้หยางชิ่งเตือน เขาเองก็รู้เรื่องนี้เหมือนกัน ก่อนที่เขาะตัดสินใจทำเรื่องแบบนี้ เขาก็ไม่ได้หวังว่าจะได้เลื่อนขั้นแบบปกติอยู่แล้ว แต่ไหนแต่ไรมาเขาก็ไม่เคยพิจารณาเรื่องที่ยาวไกลขนาดนั้นอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นตอนไหน สิ่งที่เขาพิจารณาก็คือจัดการเรื่องในปัจจุบันให้ได้ก่อน ไม่คิดไปไกลขนาดนั้น ถ้ามัวกังวลนั่นกังวลนี่เหมือนหยางชิ่ง แบบนั้นก็ไม่ต้องทำอะไรกันแล้ว ถ้ายังจัดการเรื่องในปัจจุบันไม่ได้ แล้วยังจะไปกังวลเรื่องในอนาคตให้ได้อะไรขึ้นมา ดังนั้นเขาจึงจัดการกลุ่มคนของสมาคมร้านค้าที่อาจจะลอบกัดเขาให้หมอบราบคาบก่อน ส่วนเรื่องราวในตอนหลัง ถ้าค่อยๆ ดูไปทีละก้าวเดี๋ยวก็มีโอกาสเอง

หลังจากทั้งสองติดต่อกันเสร็จแล้ว เหมียวอี้ที่แช่อยู่ในน้ำก็วางระฆังดาราหลายอันไว้บนขอบอ่าง ล้วนเป็นของที่อยู่บนตัวมือสังหาร ไม่รู้เหมือนกันว่าในนั้นจะมีระฆังดาราที่เอาไว้ใช้ติดต่อคนบงการหรือไม่ นอกจากนี้ เขาก็กำลังครุ่นคิดเช่นกัน ว่าควรจะพาหยางชิ่งมาที่พิภพใหญ่หรือไม่ มีคนแบบนั้นไว้ข้างกายก็เหมือนจะมีประโยชน์ไม่น้อยเลย…

…………………………