เล่มที่ 19 ตอนที่ 37

Memorize

ตอนที่ 37 โดย ProjectZyphon

ผมพูดต่อเนื่องออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา เสียงที่ได้ยินนั้น ช่างฟังแล้วแสนรื่นหู ดูเหมือนคนสงบจิต สงบใจได้ แม้แต่ตัวผมเองที่ได้ยินเสียงเช่นนั้น ยังรู้สึกตกใจเลย น้ำเสียงที่ว่านั้นช่างเหมือนกับระเบิดเวลาเสียจริง อะไรบางอย่างที่คับอยู่ในอกใกล้จะระเบิดออกมาเต็มทีแล้ว

เซราฟหลับตาลง พลางถอนหายใจ หลังจากนั้นจึงได้พยักหน้าให้หนึ่งครั้ง

‘หรือว่าจะเป็นอย่างนั้นกันนะ ฮึๆ’

‘ฉันไม่มีเวลาพูดล้อเล่นกับนายหรอกนะ แอสทารอธ’

‘งั้นหรือ ดูนี่นะ คิมซูฮยอน นายไม่สงสัยเลยหรือ ว่าซีโร่โค้ดมันคืออะไรกันแน่ ทำไมพวกนายถึงได้มาฮอลล์เพลน แล้วต้องมาต่อสู้กับพวกเราเรื่องซีโร่โค้ดด้วย’

‘เรื่องนั้นมัน…’

“ผมน่ะได้รับซีโร่โค้ดมาแล้วนี่ แล้วก็บรรลุจุดประสงค์ท้ายสุดของฮอลล์เพลนในฐานะผู้เล่นแล้วด้วย”

“ถูกต้อง เรื่องนั้นข้าไม่สงสัยอะไรเลย เป็นเรื่องจริงทุกประการค่ะ”

เมื่อได้ยินคำตอบนั้น ผมก็เม้มปากทันที แต่แล้วผมก็ได้แบมือซ้ายออกมา จึงทำให้ลูกแก้วสีฟ้าที่อยู่ในมือปรากฏโฉมออกมาให้อีกฝ่ายได้เห็น

“งั้น…เจ้านี่มันคืออะไร”

“คะ…?”

“ทำไมผม… ไม่สิ ทำไมพวกเราต้องรับซีโร่โค้ดแทนพวกเธอด้วยล่ะ เจ้าลูกแก้วนี่มีความหมายอะไรกับพวกเธอกันแน่”

“…!”

ณ วินาทีนั้น ประกายความสับสนพาดผ่านใบหน้าของเซราเป็นครั้งแรก

* * *

ในระหว่างที่กำลังรอรอบของวาร์ปเกตอยู่นั้น ผมได้เงยหน้าขึ้นมองบนท้องฟ้า ยิ่งเวลาเลยผ่านไปมากเท่าใด ดวงอาทิตย์ที่เคยลอยเด่นอยู่กลางฟากฟ้านั้น บัดนี้ค่อยๆ ลาลับไปฝั่งทิศตะวันตกมากขึ้นทุกที แสงอาทิตย์ยามอัสดงสีแดงเข้มเริ่มคืบคลานเข้ามาครอบงำทั่วทั้งเมือง

ผมได้แต่นิ่งเงียบไม่พูดจาไปพักหนึ่ง แล้วจึงลองไล่นับแถวที่เหลืออยู่ เหลืออีกไม่เท่าไหร่ก็จะถึงคิวของเมอร์เซนต์นารี่แล้ว หลังจากนั้นผมจึงได้เหลียวกลับมามองพี่ชายที่ยืนเคียงข้าง

“พี่ ไว้แค่นี้ก่อนแล้วกัน ผมไปล่ะ”

“หืม? อ้อๆ นั่นสิ ดูเหมือนพวกเราจะได้ไปเกือบท้ายๆ สุดเลย”

“ยังไงก็ต้องไปแล้วล่ะ แคลนลอร์ดไม่อยู่นานๆ มันจะไม่ดีเอา”

“หืม นั่นก็ใช่”

พี่ค่อยๆ พยักหน้าให้ผมเบาๆ ก่อนที่จะถอยหลังไป แล้วจู่ๆ เขาก็เอื้อมมือมาจับไหล่ผมไว้ หลังจากนั้นจึงพูดออกมาด้วยน้ำเสียงอบอุ่น

“ซูฮยอน”

“หืม?”

“ขอบใจนะ”

“…?”

ขอบใจอะไรกัน?

พี่ชายคงอ่านสีหน้าสงสัยของผมออก เขาจึงยิ้มร่าออกมา

“ฉันได้ยินมาจากพวกเด็กๆ น่ะ ทุกคนได้รับการช่วยเหลือจากนายคนเดียวทั้งนั้นเลย ปาฏิหาริย์แท้ๆ ที่ทำให้เผ่าแฮมิลของเราไม่ต้องสูญเสียสมาชิกคนใดคนหนึ่งไป พวกเขาเอาแต่ขอบคุณนายอยู่ท่าเดียว”

“…ก็ดีแล้ว”

พวกเด็กๆ ที่พี่ชายหมายถึง คงจะเป็นสมาชิกเผ่าแฮมิล

“อืม ฉันก็ไม่รู้จะพูดอะไรต่อแล้วล่ะ อยากฝากไว้แค่นี้ แล้วก็…”

“…”

“ฉันจะรอการติดต่อจากนายนะ ถ้าจัดการกับตัวเองได้แล้ว ก็ช่วยติดต่อมาหาฉันก่อนด้วยล่ะ ฉันจะรอนายเสมอ”

“…อืม”

ที่เขาพูดว่าจะรอการติดต่อจากผมนั้น บางทีอาจจะพูดถึง ‘เรื่องนั้น’ ก็เป็นได้ ผมจึงพยักหน้าตอบกลับไปอย่างรวดเร็ว จริงๆ แล้วผมตัดสินใจว่าจะพูดอะไรออกไปสักอย่าง แต่แล้วกลับฉุกคิดขึ้นมาว่า ตัวผมไม่มีความมั่นใจที่จะพูดเรื่องนั้นเลยแม้แต่น้อย

พี่ชายเห็นผมพยักหน้าตอบรับเช่นนั้น จึงได้ยื่นมือเข้ามาตบไหล่ปุๆ แล้วบอกให้ผมสู้ต่อไปเป็นประโยคสุดท้าย ก่อนที่จะหมุนตัวกลับไป

ผมมองด้านหลังของพี่ชายที่กำลังค่อยๆ ห่างไกลออกไปเรื่อยๆ พี่ไม่ค่อยได้พูดอะไรกับผมเลยจนกระทั่งเมื่อครู่นี้ เขาได้แต่อยู่เงียบๆ เคียงข้างผมอย่างเดียวเท่านั้น บางทีนี่อาจจะเป็นวิธีการดูแลเอาใจใส่ผมในแบบฉบับของเขาก็ได้

ผมได้แต่ลอบถอนหายใจเบาๆ พร้อมกับจมอยู่ในห้วงความคิดของตัวเอง

สงครามได้เริ่มเปิดฉากขึ้นเมื่อตอนเช้ามืด และได้สิ้นสุดลงในช่วงเวลากลางวัน หลังจากนั้นเวลาก็เดินต่อไปเรื่อยๆ จึงทำให้ในขณะนี้เรากำลังอยู่ในช่วงเวลาระหว่างพลบค่ำ

ด้วยทักษะการสู้รบของทวีปตะวันตกที่เราไม่คาดคิดคาดฝันมาก่อน จึงทำให้ต้องเผชิญหน้าต่อความเสียหายเป็นจำนวนมาก แต่ถึงอย่างนั้นหากสงครามครั้งนี้ได้สิ้นสุดลงไปแล้ว สิ่งที่ควรจะทำเป็นลำดับแรกสุดก็คือ การจัดการกับสงคราม หรือการดูแลความเรียบร้อยในช่วงเวลาก่อน-หลังสงครามนั่นเอง ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เหล่าผู้เล่น ผู้ซึ่งกำลังตกอยู่ในห้วงอารมณ์แห่งความเศร้าโศก จึงได้เริ่มขยับกาย เคลื่อนไหวกันอย่างขยันขันแข็งขึ้นมาเล็กน้อย

ก่อนอื่นเราได้ติดต่อและแจ้งสถานการณ์ปัจจุบันให้ภาคใต้กับภาคเหนือได้รับรู้เสียก่อน พร้อมทั้งยังได้ขอร้องให้ส่งกำลังเสริมมาโดยเร็วที่สุดอีกด้วย

โดยทั้งสองแห่งได้ส่งสารตอบกลับมาว่า จะรีบฟื้นฟูเมืองที่ยึดคืนมาได้ และจะรีบส่งกำลังเสริมมาให้โดยเร็วที่สุด หากอ้างอิงตามนี้ บางทีพวกเขาอาจจะมาถึงในคืนนี้ หรือไม่อย่างช้าสุดก็คงมาถึงเช้าวันพรุ่งนี้

ความจริงแล้ว การที่เราร้องขอกำลังเสริมไปนั้น เป็นเรื่องสุดวิสัยจริงๆ

ผมไม่ได้พูดถึงสภาพบ้านเมืองของบาร์บาร่า และไม่ได้พูดถึงทุ่งกว้างที่มีซากศพเกลื่อนกลาดและมีเลือดสีแดงฉานไหลเลอะอยู่ทั่ว

ไม่เพียงเท่านั้น พวกเราต้องจัดการกับเหล่าผู้เล่นทวีปตะวันตกที่ถูกจับตัวมาเป็นเชลยอีกด้วย ต้องรวบรวมสภาพแวดล้อมที่เกิดความเสียหาย อีกทั้งยังต้องคอยดูแลเหล่าผู้เล่นที่ยังมีชีวิตรอดอยู่ในบาร์บาร่าอีกด้วย

พูดสั้นๆ คือ งานท่วมหัว

ทว่าในสถานการณ์เช่นนี้ บริเวณประตูฝั่งทิศตะวันตก จำต้องใช้เวลาในการฟื้นฟูและเตรียมการอยู่หลายวัน ซึ่งบริเวณประตูฝั่งทิศตะวันออก ใต้และเหนือไม่ได้เป็นแบบนั้น เพราะทางนี้ต้องเจอกับเหล่าผู้เล่นทวีปตะวันตกที่พากันหลั่งไหลประเดประดังเข้ามานั่นเอง จึงทำให้บริเวณนั้นได้รับความเสียหายมากกว่า ด้วยพลังปาฏิหาริย์จึงทำให้สถานการณ์ไม่ได้เลวร้ายมากถึงขั้นนั้น แต่อย่างไรมันก็ถือเป็นมาตรการในการดูแลอย่างหนึ่ง

อย่างไรก็ตาม แน่นอนว่าเผ่าเมอร์เซนต์นารี่เองก็ถูกจัดว่าอยู่บริเวณนั้นด้วย และพวกเราต้องมายืนรอคิวเพื่อที่จะเข้าใช้งานวาร์ปเกต ต่อให้เราไม่ได้เผชิญหน้าต่อสภาพการณ์เลวร้ายอะไร สุดท้ายแล้วเราก็จะไปอยู่ดี เพราะผมไม่มีเหตุจำเป็นที่จะต้องดันทุรังอยู่ในบาร์บาร่าต่อไปอีกแล้ว

ช่วงเวลาในการฟื้นฟูนั้น อยู่ที่ราวๆ สามวัน ซึ่งจะรวมวันนี้เข้าไปด้วย คงจะได้เปิดการประชุมครั้งต่อไปหลังจากสามวันนับจากวันนี้ เพราะต้องสะสางงานต่างๆ ให้เสร็จสิ้นไปในระดับหนึ่ง

“รอบต่อไป กรุณาเตรียมตัวให้พร้อม”

ในที่สุดก็มาถึงรอบของพวกเราจนได้ ผมกำลังคิดว่าจะเหลียวมองหลังดีไหม แต่แล้วก็ไม่ได้หันกลับไปมอง สมาชิกเผ่าของเราส่วนใหญ่ต่างอยู่ในสภาวะนิ่งเงียบ ไม่พูดจา การมาอยู่ ณ ที่แห่งนี้ ไม่ใช่อารมณ์ที่จะต้องมาพูดคุยจ้ออะไรใส่กัน ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยระยะแถวที่ยังเหลืออยู่ยาวเหยียด จึงทำให้พวกเขาต้องเคลื่อนไหวร่างกายให้ได้เร็วที่สุด

แม้เรื่องที่จะพูดคุยกันจะถูกยกยอดไปในคราวหลัง แต่มันก็ไม่ได้สายอะไร

ใช่แล้ว ก่อนอื่นเรากลับแคลนเฮาส์กันเสียก่อนเถอะ

ผมคิดได้เช่นนั้น ก่อนที่เคลื่อนตัวไปยังวาร์ปเกตที่กำลังมีแสงสีฟ้ากระเพื่อมไหวๆ ตรงหน้า

ผมอำลาพี่ชายเล็กน้อย ก่อนที่จะเข้าไปในวาร์ปเกตพร้อมกับสมาชิกเผ่าคนอื่นๆ

และในที่สุด เราก็มายังโมนิก้า เมืองทางใต้ได้สำเร็จ

ความจริงแล้ว ผมไม่ได้เห็นภาพทิวทัศน์ของโมนิก้ามานานแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นทุกอย่างก็ยังคงเหมือนเดิม ไม่มีอะไรแปลกแตกต่างไป ทว่าสมาชิกเผ่าคนอื่นๆ ต่างพร้อมใจกันมีสีหน้าแปลกประหลาดน้อยๆ สภาพบ้านเมืองที่ไม่ได้เห็นมานมนาน คงทำให้พวกเขารู้สึกคุ้นเคย พร้อมทั้งรู้สึกแปลกหูแปลกตาไปด้วย

ผมกวาดสายตาสอดส่องมองทั่วอาณาบริเวณอยู่ชั่วขณะหนึ่ง หลังจากนั้นจึงค่อยมุ่งตรงไปยังแคลนเฮาส์ของเมอร์เซนต์นารี่

ตลอดทั้งการเดินทางกลับนี้ สมาชิกเผ่าทุกคนไม่ได้พูดอะไรออกมาเลยแม้แต่คำเดียว ผมไม่รู้ว่าทำไมความนิ่งเงียบเหล่านั้น ถึงได้แฝงไปด้วยความอึดอัดใจอะไรบางอย่าง ผมเองก็ไม่ทันกับเรื่องอะไรแบบนี้ด้วยสิ

ผทได้แค่อดทน อดกลั้นกับสายตาที่มองตรงมาจากทางด้านหลัง พลางถอนหายใจเบาๆ

ถ้าชินซังยงยังมีชีวิตอยู่ แล้วได้กลับมาด้วยกันล่ะก็…

จะเป็นอย่างไรกันนะ พวกเราผ่านพ้นสงครามการสู้รบมาได้ก็จริง แต่ก็ไม่ได้ถึงขนาดหัวเราะเริงร่าอะไรเลย ถ้าเขากลับมาด้วย อย่างน้อยก็คงจะรู้สึกดีกว่าที่รู้สึกอยู่ตอนนี้

ในขณะที่พวกเราต่างพากันนิ่งเงียบ จนเกิดความอึดอัดใจ จู่ๆ ผมก็รู้สึกได้ว่ามีใครบางคนกำลังเดินเข้ามายืนอยู่ข้างผม

ผมจึงค่อยๆ หันหน้าไปมองช้าๆ แล้วจึงพบกับจองฮายอนที่กำลังยื่นแขนเข้ามา หล่อนเห็นผมมองกลับมา จึงเกิดอาการผงะทันที ก่อนจะค่อยลดแขนลงข้างกาย พลางพูดออกมาว่า

“ซูฮยอน มีคนติดต่อมาทางแคลนเฮาส์เมอร์เซนต์นารี่เอาไว้ล่วงหน้าน่ะค่ะ”

“อย่างนั้นเหรอครับ”

“…ค่ะ ตอนนี้พวกเขาคงจะออกมารอพวกเราอยู่ก็ได้ และ…”

“…?”