ตั้งใจอะไรแล้วก็จะต้องทำให้ได้ ตอนที่เลิกงานในวันนี้ เธอก็เจอกับหัสดิน เมื่อเจอหน้ากันเธอมองเขาอย่างชัดเจน และเขาก็มองเธออย่างชัดเจน
แน่นอนล่ะว่าความประหลาดใจที่อยู่นัยน์ตาของหัสดิน เธอเห็นมันได้อย่างชัดเจน ทำให้เธอเบิกบานใจที่สุด ผลลัพธ์ที่เธอต้องการคืออย่างนี้
เพียงแต่ว่าสิ่งที่เธอไม่รู้คือที่หัสดินรู้สึกประหลาดใจคือทำไมเธอถึงมาปรากฏตัวที่นี่ นี่เป็นสิ่งที่เขาประหลาดใจต่างหาก!
ก็พอดีกับเบนลีย์คันสีดำเข้ามารับเธอต่อหน้าของหัสดิน เสื้อของเธอพลิ้วสไหว เธอถือกระเป๋าใบเล็กที่ดูประณีตและเป็นรุ่นลิมิตเต็ดเดินผ่านหน้าเขาไปแล้วเข้าไปนั่งในรถเบนลีย์แล้วขับออกไป เห็นร่างของหัสดินที่อยู่ไกลขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุดเรนนี่ก็หัวเราะออกมาอย่างสะใจ
เสียงหัวเราะดังขึ้นกะทันหันทำให้คนขับรถที่อยู่ด้านหน้าตกใจยกใหญ่ เมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้น เขาถึงเบาใจและตั้งหน้าตั้งตาขับรถต่อ
หัสดินไม่รู้สึกแปลกใจกับสภาพของเธอในตอนนี้ แล้วก็ไม่ได้ให้ความสนใจ เธอจะใช้ชีวิตยังไงก็ไม่เกี่ยวกับเขาเลยสักนิด
คนที่เขารักมากที่สุด คนที่เขาควรจะทะนุถนอมมากที่สุด ได้เสียไปแล้ว ยังจะมีอะไรให้เขารู้สึกมีอารมณ์อะไรอีก? มันไม่มี
ก่อนหน้านี้มีที่พึ่งพาอยู่ข้างกาย ก็เลยกำเริบเสิบสาน จนกระทั่งวันนี้ที่เสียไปถึงรู้สึกว่าอ้างว้างว่างเปล่า
ชีวิตในตอนนี้ของเขาใช้คำว่าไม่มีชีวิตมาพรรณนายังได้ ไม่มีความตื่นเต้น เงียบสงบจนไม่มีความน่าตื่นเต้น
ใบหน้าของหัสดินเงียบสงบ เขาโทรหาผู้จัดการแล้วพูดว่าให้เรนนี่ไม่ต้องมาทำงานอีก หลังจากนี้ใครกล้าให้เธอเข้ามาจะถูกไล่ออก!
ผู้จัดการตกใจไม่น้อย คิดไปถึงว่าบุคคลนั้นคือคุณนาย คิดไม่ถึงว่าท่านประธานจะเกิดโทสะอย่างนี้!
เรนนี่กลับมาที่อพาร์ตเม้นท์ กินอะไรนิดหน่อยก็มีเหงื่อไหลมากกว่าปกติ หมู่นี้ก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เธอมักจะมีเหงื่อออกมากกว่าปกติ
เมื่อกี้ก็กินของเย็นไปบ้าง เธอรีบเหยียดตัวลุกขึ้นรีบไปที่ห้องน้ำทันที
รอจนออกมาก็มีเหงื่ออีก เธอไม่ได้คิดอะไรเยอะ คิดแค่ว่าร่างกายนั้นอ่อนแอมาก ควรที่จะไปเชิญนักโภชนาการมาแล้ว ขืนเป็นอย่างนี้ต่อไปไม่ดีแน่ เพราะเธอมักจะเหงื่อออกมากกว่าปกติและท้องเสีย ไม่มีแรงไปทั่วร่าง
ก็ไม่รู้ว่าตกลงเป็นอะไรกันแน่! ทำไมถึงแปลกอย่างนี้! หรือว่าช่วงนี้ปล่อยเนื้อปล่อยตัวมากเกินไปจริงๆ เลยทำให้ร่างกายของเธออ่อนแอถึงขึ้นนี้?
……
ช่วงค่ำที่มากินอาหารด้วยกันมีออกัส ดนัย แล้วก็หัสดิน
“ภรรยาแกได้พูดเรื่องว่าจะไปฮ่องกงหรือเปล่า?” ดนัยถาม
ออกัสเม้มปากที่จิบชา แล้วย้อนถามว่า “แกว่าไงล่ะ?”
“ยู่ยี่จะแต่งงาน พวกเธอไม่วางใจ จะไปฮ่องกงตั้งแต่ตอนนี้จนถึงเสร็จงานแต่ง นี่เป็นเรื่องน่าล้อเล่นมั้ย? ดนัยดื่มเหล้าไปแก้วนึง เขาเงยหน้าขึ้นแล้วเลียนเสียง
“ไม่ตกเลยสักคำ เธอก็พูดอย่างนี้” ออกัสยกไหล่ขึ้น ท่าทางจนใจ “แต่ฉันก็ตัดสินใจแล้ว”
“ตัดสินใจว่าไง?”
“เธอจะไปฮ่องกงไม่ใช่หรอ? ฉันก็ไม่ได้ไปนานแล้ว ในเมื่อเป็นอย่างนี้ก็ถือว่าเป็นการลาพักร้อน ฉันก็เลยจะไปด้วย” ออกัสพูดว่า “ครูเชอร์รีนบอกว่าบ้านอื่นเขาสามีว่าอย่างไรภรรยาว่าอย่างนั้น แต่บ้านพวกเราคือภรรยาว่าอย่างไรสามีว่าอย่างนั้น ตามๆกันไป เธอไปไหน ฉันก็ไปด้วยแน่นอน แล้วยังมีเจ้าสองตัวนั่นด้วย”
ดนัยอดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้ “อย่าว่าอย่างนั้นอย่างนี้เลย ครูเชอร์รีนของแกน่าสนใจมาก เชิด ร้าย แล้วยังไร้เดียงสา พูดอะไรก็มักจะตรงและแทงใจ”
ออกัสเคาะไปที่แก้ว “อย่าได้หาทางเอาชนะครูเชอร์เลย”
ดนัยยังหัวเราะต่อ “ฉันเห็นท่าทางของครูเชอร์ที่พูดประโยคนี้ได้เลย เธอหรี่ตา แกกับเจ้าสองตัวนั้นยืนตัวตรงอยู่มุมกำแพง แล้วฟังคำสั่ง”
“หรือว่าแกยังไม่รู้หรอ?”
ออกัสยกมุมปากขึ้นยิ้ม “นี่เป็นวิธีการปฏิบัติทำตามคำสั่งของบ้านฉันมานานแล้ว เจ้าสองตัวที่อายุน้อยที่สุดของบ้านยังเดินไม่ได้ แต่กลับปีนเร็วมาก ทุกครั้งที่ถูกอบรมก็มักจะมาโอบเขา เขาดื้อมาก มีสองครั้งที่ไม่เอ่ยเสียงอะไร ฉี่ไหลออกมาบนเสื้อเชิ้ตของฉัน หม่ามี๊ของเขาก่อนหน้านี้ที่กำลังพูดสั่งสอนอยู่ก็ให้ไปหากางเกงมาเปลี่ยน”
หัสดินที่ไม่ได้พูดอะไรมานานก็เอ่ยขึ้นว่า “ดีจริง”
คนทั้งสองหันมองมาที่เขา หัสดินฉีกยิ้มอย่างขื่นขมเขาดื่มเหล้าไปหลายแก้วอีก รู้สึกถึงแค่ความขื่นขมขนาดสติยังไม่มีเลย
“ดีจริงที่มีความคึกคักและมีความสุข”
เขาเห็นภาพนั้นที่มีความสุข ไม่เหมือนกับเขาที่ตัวคนเดียว กลับมาที่อพาร์ทเม้นต์บรรยากาศก็เงียบสงบ อยากที่โดนด่าว่ามั้ง แต่ไม่มีแม้กระทั่งเสียง
คนทั้งสองไม่ได้พูดอะไร หัสดินยกแก้วขึ้นดื่มอีกรัวๆ
ดนัยถามเขาว่าจะไปฮ่องกงด้วยกันมั้ย?
สายตาของหัสดินมองไกลออกไป เขาคิดสักครู่จึงตอบว่าไป
ออกัสพูดอย่างไม่รีบร้อนและมีความสบายๆแฝงอยู่และนัยน์ตาก็มีความลึกซึ้ง พูดว่า
“ฉันไม่สงสารแกหรอกนะ แกมันสมน้ำหน้า! ครั้งแรกฉันเตือนแกแล้ว แกก็ควรคิดว่าอาจจะต้องมีวันนี้ ฉันเอาประสบการณ์ที่ฉันเคยผ่านมาบอกแก แต่แกกลับไม่รับฟังเอง ฉันเคยเดินทางสายนั้น รู้ซึ้งถึงความขื่นขมก็เลยอยากจะให้แกหยุด”
“ฉันรู้ ฉันมันสมควรโดน ฉันมันน่าสมน้ำหน้า สมน้ำหน้า!” หัสดินตีอกชกหัวตัวเอง ท่าทางไม่หยุด ความเจ็บปวดทำให้เขารู้สึกชา ความชาทำให้เขาสบาย
คนทั้งสองมองดูปฏิกิริยาที่เขาทำต่างก็ไม่มีใครห้าม บรรยากาศเงียบสงัดอย่างที่สุด
ผ่านไปอยู่นาน ออกัสก็เอ่ยปากพูดขึ้นว่า “แกอย่าไปฮ่องกงเลย พักอยู่บ้านดีกว่า”
เขาจะไปทำอะไร?
ภาพบรรยากาศแบบนั้นมันโหดเหี้ยมสำหรับเขา ถึงแม้ว่าทุกอย่างที่เขาเคยทำจะเป็นการหาเหาใส่หัวก็ตาม
หัสดินยังคงตบหัวอย่างหนัก “แต่ฉันอยากไป! ฉันอยากไป! ฉันไม่ได้เจอเธอมานานแล้ว”
ได้ยินดังนั้นออกัสก็ไม่ขัดอะไรอีก พูดแค่ว่า “ต่อให้เจอเธอแกจะเสียใจมากก็ตาม ในเมื่อแกรู้สึกรับได้ ฉันก็คงพูดอะไรมากไปกว่านี้ไม่ได้”
การกินข้าวเสร็จสิ้นลงแล้ว สุดท้ายหัสดินก็ถูกออกัสนำตัวมาส่งที่อพาร์ทเม้นต์
เห็นกรอบรูปที่วางอยู่บนโต๊ะเครื่องแป้ง ในนั้นเป็นรูปแต่งงานของเขากับยู่ยี่ แต่ว่าบนรูปมีรอยเห็นได้ชัดว่ามีการเอารูปแต่ละชิ้นๆมาต่อเข้าเป็นภาพเดียวกัน
เรื่องมาถึงวันนี้ เขาก็ไม่มีคำพูดที่จะพูดให้เขา มีแค่คำพูดเดียวคือรู้แต่แรกก็คงไม่ทำ
ยู่ยี่ได้รับข่าวว่าจะเพื่อนจะมาหา เธอเบิกบานและฮึกเหิม
เช้าตรู่เธอก็ตื่นขึ้นเก็บข้าวของ เธอจะไปรับเพื่อนที่สนามบิน
หลังจากที่ได้ยินดังนั้น ฉันทัชเลยไม่อยากไปบริษัท อยากจะไปสนามบินกับเธอด้วย
ยู่ยี่บอกว่าไม่ต้อง ให้เขาไปบริษัท มีงานอะไรก็ควรไปจัดการ ไม่ต้องสนใจเธอ
คุณแม่ธันยวีร์เห็นด้วย เธอจะไปเป็นเพื่อนกับยู่ยี่
ยู่ยี่ส่ายหน้าเธออยากจะไปคนเดียว ไม่คิดว่าจะเสียแรงโดยใช่เหตุอย่างนี้ จะว่าไปไม่ได้เจอกันตั้งนานก็อยากที่จะพูดคุยเรื่องเก่าอะไรด้วยกันบ้าง
ถ้าคุณแม่ธันยวีร์ตามไปด้วย พวกเธอจะพูดคุยกันได้อย่างสบายใจได้ยังไง?
ฉันทัชรู้ว่าใจเธอคิดยังไง นิ้วมือยาวมาคลึงที่กลางบริเวณหน้าผากมองมาที่คุณแม่ธันยวีร์แล้วพูดว่า “พวกเธอไม่ได้เจอหน้ากันมานานแล้ว วันนี้ได้เจอหน้ากันคงอยากที่จะพูดคุยกัน ขืนแม่ไปด้วยคงดูกะทันหันไปหน่อย อาจจะรู้สึกอึดอัด วันนี้ช่างไปก่อน เดี๋ยวเธอคงแนะนำเพื่อนให้แม่รู้จัก”
คิดไปคิดมาก็ใช่ คำพูดนี้มีเหตุผล คุณแม่ธันยวีร์จึงพูดขึ้นว่า “แม่คิดไม่รอบคอบเอง”
“ท่าทางคุณอย่างนี้ผมไม่วางใจให้คุณไปเอง ผมต้องไปเป็นเพื่อน และหลังจากที่แน่ใจแล้วว่าคุณได้เจอกับเพื่อน ผมจะกลับ แต่ช่วงก่อนหน้านี้ผมจะไปส่ง” คำพูดของฉันทัชกับสีหน้าอ่อนโยนเหมือนอย่างเคยแต่กลับแฝงไว้ด้วยความต่อต้าน
เขากร้าวขึ้นมาก็ไม่ธรรมดาเหมือนกัน หมดคำพูด ยู่ยี่จึงยอม
มุมปากยกขึ้น เขาจูบเธออย่างสนิทสนมและอ่อนโยน หลังจากนั้นก็ควักโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาผู้จัดการโรงแรม “หาห้องเพรสซิเดนสูทให้ผมสองห้อง…”
ได้ยินดังนั้นยู่ยี่ก็อดไม่ได้ที่จะเกิดความรู้สึกอบอุ่น สองมือโอบที่เอวที่กำยำไม่มีไขมัน รายละเอียดพวกนี้เธอยังทันได้คิด เขากลับคิดแทนเธออย่างรอบด้าน เขาละเอียดใส่ใจตลอด
เนื่องจากยังเป็นเวลาเช้าอยู่ คนทั้งสองตัดสินใจกินข้าวเสร็จแล้วค่อยไปสนามบิน
ทางด้านนี้
คนกลุ่มนั้นนัดกันแล้วว่าจะเจอกันที่สนามบิน นัดเวลาไว้แล้วต่างก็ทยอยกันมา
นาโนกับดนัยเดินออกมาตัวปลิว มีเพียงแค่กระเป๋าเดินทางเท่านั้น
แต่กลับกันทางด้านเชอร์รีนก็ไม่ได้สบายมากนัก ครอบครัวนึงสี่คนออกมาพร้อมกัน
แต่ออกัสอุ้มเจ้าตัวเล็กๆ ส่วนมือนั้นก็จูงซารางเป็นภาพพ่อบ้านที่แท้จริง เชอร์รีนใส่เสื้อคลุมแบบบาง เท้านั้นสวมใส่รองเท้าส้นสูงสีเงินเล็กๆ แล้วก็ถือของบ้าง เธอลากกระเป๋าเดินทางเบาๆเหมือนออกมาถ่ายนิตยสาร
“ไม่เบาเลยนะ ดูสบายมากเลย” นาโนนึกว่าเธอต้องอุ้มลูกอีก
เชอร์รีนมองผู้ชายที่อยู่กับเด็กๆ พูดว่า “มีคนพูดว่าเขารับผิดชอบงานบ้าน ส่วนฉันรับผิดชอบเรื่องความสวยความงาม”
นาโนให้รู้สึกอิจฉา ทำไมแต่ก่อนไม่รู้ว่าท่านประธานออกัสที่เยือกเย็นอย่างนี้จะมีด้านนี้กับเขาด้วย
ขณะที่พวกเธอกำลังพูดหยอกล้อกันอยู่กลับเห็นหัสดินเดินลากกระเป๋าเข้ามา
นอกจากผู้ชายทั้งสองแล้ว เชอร์รีนและนาโนไม่รู้เบื้องหน้าเบื้องหลังเลย ในขณะนั้นเองต่างก็ขมวดคิ้วทำหน้างงไม่เข้าใจว่าทำไมหัสดินถึงมา?
ออกัสเอาความงงงวยของคนทั้งสองเก็บไว้แล้วพูดอธิบายว่าทำไมเขาถึงตามมา
แต่ไหนแต่ไรนาโนมีฝีปากดีมาตลอด เธอพูดอย่างไม่แยแสว่า “เขาตามมาทำไม? พวกเรามางานแต่งยู่ยี่ เขาไปเพื่อทำลายบรรยากาศให้เสียอารมณ์หรอ?”
ดนัยยื่นมือออกไปดึงแขนภรรยาตัวเองว่าให้เงียบๆบ้าง
เชอร์รีนก็เอ่ยปากพูดขึ้น “เค้าคงอยากไปหาแรงกระตุ้น พวกเราคงไม่มีทางห้ามได้ บนโลกนี้มีคนตาไม่ถึงอยู่เยอะ ยู่ยี่ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข หลังจากผ่านไปแล้วเขาก็คงพบว่าตัวเองนั้นตกอับมากแค่ไหน ถ้าเขาไม่กลัวว่าตัวเองจะโกรธจะกระอักเลือดตายก็ให้เขาไปเถอะ!”
คำพูดพวกนี้เป็นปรปักษ์อย่างเห็นได้ชัด หัสดินไม่ได้พูดอะไรยังคงเงียบอยู่อย่างนั้น ไม่พูดว่ากล่าวอะไร