บทที่ 91 วิชาแพทย์ล้ำเลิศ

หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม เล่ม 1

บทที่ 91 วิชาแพทย์ล้ำเลิศ โดย Ink Stone_Romance

ชาวบ้านต่างมารวมตัวกัน ณ บ่อน้ำเก่าหน้าหมู่บ้าน สุมไฟกองใหญ่ ทางหนึ่งก็เพื่อบรรเทาความหนาวเหน็บ อีกทางหนึ่งก็เพื่อผ่อนคลายความตื่นกลัวจากเหตุการณ์เมื่อครู่ แต่แล้ว พวกเขาก็ได้ยินเสียงร้องโหยหวนน่าเวทนาดังมาจากบ้านหลังใหม่ของสกุลติง

“อ๊ากกกก”

“อ๊ากกกก”

“อ๊า อ๊าาา อ๊ากกกกกกกกก”

ชาวบ้าน “…”

“หากร้องอีก ข้าคงจะฝังเข็มให้ไม่ได้แล้ว” อวี๋หวั่นวางเข็มยาวซึ่งเผาไปได้เพียงครึ่งเดียวลง

ลุงวั่นเงียบเสียงลงทันที

อวี๋หวั่นลงมือเผาหัวเข็มอีกครั้งหนึ่ง ลุงวั่นเตรียมตัวจะส่งเสียงร้อง

อวี๋หวั่นกล่าวอย่างเฉียบขาดว่า “ลากตัวออกไป!”

ระหว่างที่รักษา เธอไม่เห็นแก่หน้าใครทั้งสิ้น!

อิ่งลิ่วและอิ่งสือซันเห็นคุณชายบ้านตนส่งสัญญาณให้ จึงเข้ามาจับลุงวั่นซึ่งแข้งขาอ่อนเปลี้ยออกไป

ที่จริงแล้ว จะโทษลุงวั่นก็ไม่ได้ เข็มเล่มยาวถึงเพียงนั้น พวกเขาเองก็ยังแข้งขาอ่อนแรงเลย!

ทั้งสองคนมองไปยังคุณชายของพวกตนด้วยความเห็นใจ ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะทำตัวเองแท้ๆ จัดการตัวเองก็แล้วกัน!

ทั้งสามคนออกไปแล้ว

ผู้ใหญ่บ้านอ้าปากพะงาบ อยากพูดแต่ก็พูดไม่ออก แม้ว่าเขาจะไม่เคยรู้ว่าอาหวั่นรู้วิชาแพทย์ แต่คุณชายวั่นเป็นถึงผู้มีพระคุณของอาหวั่น อาหวั่นไม่มีทางล้อเล่นกับความเป็นความตายของเขาหรอกกระมัง ที่ทำเช่นนี้เพราะมั่นใจว่าต้องทำได้เป็นแน่

เมื่อคิดได้เช่นนี้ เขาก็รู้สึกสบายใจขึ้น มิได้เปิดเผยเรื่องที่อวี๋หวั่นเป็นหมอรักษาสัตว์ และเดินออกไปพร้อมกับอีกสามคน

หลังจากที่คนอื่นๆ ออกไปหมดแล้ว ทั้งห้องก็เหลือเพียงอวี๋หวั่นกับเยี่ยนจิ่วเฉา

อวี๋หวั่นเผาเข็มยาวในมือจนเป็นสีแดง แล้วกล่าวด้วยเสียงราบเรียบว่า “ประเดี๋ยวถ้าเจ็บ จะร้องออกมาก็ไม่เป็นไร ไม่ต้องกลั้น”

เยี่ยนจิ่วเฉาคิ้วกระตุก “เจ้ามั่นใจรึ?”

อวี๋หวั่นมิทันได้ตอบ เขาก็จ้องหน้าเธอ มุมปากเผยรอยยิ้มชั่วร้าย “วันนี้เจ้าทำให้ข้าร้องมากเท่าใด ถึงวันนั้นข้าจะทำให้เจ้าร้องมากกว่าอีกเท่าตัว”

ประโยคนี้ทำไมฟังดูแปลกๆ…

อวี๋หวั่นนั่งข้างเตียง แล้วมองไปเขาประหนึ่งได้รับชัยชนะว่า “พระโพธิสัตว์ดินเผาข้ามแม่น้ำยังมิอาจรักษาชีวิตตนไว้ได้[1] ยังคิดจะรังแกข้า? ถึงจะมีความสามารถเช่นนี้ รักษาขาตัวเองให้หายก่อนเถอะ!”

พูดจบ อวี๋หวั่นก็ใช้ความเร็วดุจสายฟ้า แล้วขยับขาขวาที่เคลื่อนหลุดของเขาให้กลับเข้าที่เดิม

เยี่ยนจิ่วเฉาร้อง ‘ฮึก’ ครั้งหนึ่ง เหงื่อเม็ดใหญ่หยดลงมา

เมื่อขาเคลื่อนและเมื่อขยับขากลับเข้าที่เป็นสิ่งที่เจ็บ แต่ผู้ชายคนนี้กลับอดทนไม่ร้องออกมาสักนิด ดูแล้วน่าจะเป็นเพราะเธอฝีมือดี!

เยี่ยนจิ่วเฉาที่รู้สึกเจ็บจนชาไปแล้ว “…”

ตกลงว่านางรักษาคนหรือรักษาหมูกันแน่ มือหนักกระไรเช่นนี้!

การรักษาเป็นไปอย่างราบรื่น มิต้องใช้เข็มยาว เดิมทีเธอคิดว่าหากเขาโวยวาย ก็จะฝังเข็มให้สลบไปเสียก่อน

อวี๋หวั่นเก็บของเสร็จเรียบร้อย “ข้าวก็กินแล้ว ขาก็รักษาแล้ว ลุงวั่น อิ่งลิ่วและอิ่งสือซันต่างก็ยังตื่นอยู่ จากนี้ก็คงไม่ต้องเรียกข้าแล้ว ขอตัว!”

เยี่ยนจิ่วเฉามิได้สร้างปัญหาอีก อวี๋หวั่นจึงเดินออกจากห้องมาอย่างง่ายดาย

เพียงแต่ว่า ทันทีที่เธอก้าวเท้าข้ามธรณีประตู ก็ได้ยินเสียงเบาๆ ลอยมาตามลมว่า “เป็นไงละ ข้าไม่ได้ร้อง”

อวี๋หวั่นไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอบ ถึงหากเธอมีปฏิกิริยาโต้ตอบ ก็คงไม่ได้นำมาใส่ใจ เธอกลอกตา แล้วเดินถืออุปกรณ์กลับบ้านไป

อย่างไรก็ดี ผู้ใหญ่บ้านยังมิได้วางใจ เขาเข้าไปดู ‘คุณชายวั่น’ อีกหลายครั้ง เพื่อให้มันใจว่าขาของ ‘คุณชายวั่น’ ยังคงมีความรู้สึกอยู่ จึงจะวางใจได้ “ไอ้หยา คุณชายวั่นย้ายเข้ามาวันแรก ก็พบกับเต่าเอ๋าพลิกตัวเสียแล้ว มันช่าง…”

เยี่ยนจิ่วเฉาเอ่ยท้วงสิ่งที่เขาพูด “มิใช่เต่าเอ๋าขยับตัว เป็นแผ่นดินไหวต่างหาก”

……

หลังจากฟ้าสาง ชาวบ้านที่มิได้เผชิญกับแผ่นดินไหวอีกระลอกหนึ่งต่างรู้สึกวางใจ ทยอยกันเดินจากบ่อน้ำเก่า กลับบ้านของตน

จ้าวเหิงเอ่ยขึ้นด้วยความจริงใจว่า “ทุกคนอย่าเพิ่งกลับบ้าน ในตำรากล่าวว่า เต่าเอ๋าพลิกตัวยังจะมีอีก…”

ยังมิทันพูดว่า ‘ระลอก’ จบ ก็ถูกป้าไป๋กล่าวตัดบทอย่างเย็นชาว่า “ไม่ใช่เต่าเอ๋าพลิกตัว! เป็นแผ่นดินไหว! เจ้าเป็นบัณฑิต ไยแม้แต่แผ่นดินไหวยังไม่รู้จัก? ยังจะมาบอกว่าเต่าเอ๋าพลิกตัวอีกรึ? ความรู้ที่เจ้าเรียนไปเข้าท้องวัวหมดแล้วรึอย่างไร! ใต้พื้นดินไหนเลยจะมีเต่าเอ๋า?!”

จ้าวเหิงซึ่งบนใบหน้าเต็มไปด้วยความมึนงง “…”

เมื่อวานเขาก็พูดแบบนั้นอย่างไรเล่า!

….

ในสมัยโบราณการสื่อสารยังไม่พัฒนา อวี๋หวั่นไม่รู้ว่าจุดศูนย์กลางของแผ่นดินไหวอยู่ที่ใด แต่แผ่นดินไหวครั้งต่อมาไม่รุนแรงมาก เบากว่าครั้งเมื่อคืนมาก ไม่มีอะไรน่ากลัว

แม้ว่าทรัพย์สินของบ้านเธอจะไม่ได้รับความเสียหาย และคนในครอบครัวจะไม่ได้รับบาดเจ็บ แต่ไก่ป่าในเล้าไก่ตื่นตระหนกยกใหญ่ และนั่นก็หมายความว่าวันสองวันนี้มันจะไม่ไข่!

เมื่ออวี๋หวั่นกลับมาถึงบ้าน ฟ้าก็สว่างเสียแล้ว เธอล้างหน้าบ้วนปาก ทว่ายังไม่ทันนอนได้เท่าไร ก็ถูกเจ้าก้อนนุ่มนิ่มปลุกให้ตื่น

อวี๋หวั่นลืมตาขึ้นมอง เป็นเด็กน่ารักทั้งสามคน พวกเขาดันศีรษะน้อยๆ เข้ามาในอ้อมกอดของเธอ

แสงตะวันส่องผ่านกระดาษบุหน้าต่าง สาดลงมาเหนือศีรษะของเด็กน้อย ทำให้เส้นผมนุ่มๆ ของพวกเขาทอเป็นประกาย

อวี๋หวั่นรู้สึกว่าหัวใจของเธอเองก็ทอเป็นประกายเช่นกัน เธออดไม่ได้ที่จะเผยรอยยิ้มบางๆ บนใบหน้า “อรุณสวัสดิ์”

อวี๋หวั่นหลุดหัวเราะออกมา ได้เห็นหน้าเด็กเหล่านี้ในตอนเช้าตรู่ ทำให้อวี๋หวั่นอารมณ์ดีเป็นพิเศษ

เธอไม่เข้าใจ ผู้ชายยียวนกวนประสาทอย่างนั้น ทำไมถึงมีลูกที่น่ารักขนาดนี้ได้

ทันใดนั้น อวี๋หวั่นก็พบว่าในมือของเด็กทั้งสามถือกระดาษแผ่นหนึ่งอยู่ “พวกเจ้าถืออะไรอยู่”

ทั้งสามคนยื่นกระดาษในมือส่งให้อวี๋หวั่น

บนกระดาษมีตัวอักษรตัวใหญ่ แต่ไม่ใช่คำว่า คน เกิด มา หากแต่เป็นชีวิต ต้นไม้ และปาก

ก่อนหน้านี้ตัวอักษรดูหงิกๆ งอๆ บัดนี้พวกเขาดูเขียนได้คล่องกว่าเดิม

เด็กๆ เหล่านี้ คงไม่ได้คิดว่าที่เธอ ‘คืนดี’ กับพวกเขาก็เพราะพวกเขาเขียนหนังสือได้หรอกนะ?

ความคิดของเด็กไม่เหมือนความคิดของผู้ใหญ่ เธอคิดว่าเธอแสดงออกอย่างชัดเจนแล้ว แต่ไหนเลยจะรู้ว่าพวกเขาก็ยังคงคิดว่าเธอชอบพวกเขาเพราะสิ่งที่พวกเขาทำ

อวี๋หวั่นไม่รู้ว่าจะกล่าวอะไรไปชั่วขณะหนึ่ง ไม่แน่ว่าอาจจะต้องใช้เวลานานสักหน่อยที่จะทำให้พวกเขาเชื่อว่าเธอชอบพวกเขา ไม่เกี่ยวว่าพวกเขาทำอะไรเป็นหรือไม่เป็น

“จากนี้ไม่ต้องคัดตัวอักษรแล้ว” อวี๋หวั่นกล่าวเสียงค่อย

เด็กเล็กเท่านี้ หากเอาแต่เขียนหนังสือ ข้อมือ กระดูกสันหลัง และสายตาจะพัฒนาได้ไม่ดี

……………………………….

[1] พระโพธิสัตว์ดินเผาข้ามแม่น้ำยังมิอาจรักษาชีวิตตนไว้ได้ ใช้เปรียบเปรยว่าแม้แต่ตัวเองก็ยังช่วยไม่ได้ ไหนเลยจะไปช่วยผู้อื่น