บทที่ 6 บทที่ 45 ตายแล้ว

สมาคมแลกเปลี่ยนทราฟฟอร์ด

แต่สุดท้ายหงก้วนก็ตัดสินใจไปบ้านของเฉิงอี้หรานสักรอบ ดูสิว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ 

 

ที่จริงแล้ว เมื่อพี่น้องได้โอกาสเช่นนี้ เขาก็รู้สึกดีใจมาก 

 

เพียงแต่สิ่งที่เขาคิดไม่ตกก็คือในตอนที่เขามาถึงที่พักของเฉิงอี้หรานนั้น เจ้าของห้องกลับบอกว่าเฉิงอี้หรานย้ายไปแล้ว 

 

ไม่เพียงแต่ย้ายไปแล้วเท่านั้น เขายังจ่ายค่าเช่าที่ค้างเอาไว้จนหมด 

 

 “ชิ! ตอนไปก็แบกอะไรไปด้วยไม่รู้ ไม่กลัวล้มเลยหรือไงนะ” 

 

… 

 

… 

 

เหมือนกันกับรายการในโทรทัศน์ ที่บางรายการจะเล่นภาพอย่างรวดเร็ว…ตอนนี้เฉิงอี้หรานก็มีความรู้สึกแบบเดียวกัน 

 

ที่ปรึกษาด้านภาพลักษณ์ของบริษัทเฟยอวิ๋น เอนเทอร์เทนเมนต์ จำกัดกักตัวเขาเอาไว้ทั้งวัน จัดการตั้งแต่ทรงผมถึงเสื้อผ้าของเขา และยังให้เขาทำสปาเต็มรูปแบบ จนเขาตกใจเมื่อมองตัวเองในกระจกแล้วมองไม่ออกว่านี่คือตนเอง 

 

 “ไว้ผมหน้าม้าช่วยโลกได้จริงๆ หรือ?” 

 

เมื่อมองเห็นตนเองในลุคใหม่แล้ว เฉิงอี้หรานก็ไม่พูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว…เพราะต่อไปเขายังต้องเข้าคาบเรียนที่จำเป็น เช่นคาบสอนมารยาทและคาบสอนการสนทนาอีก ซึ่งเขาเองก็ไม่ได้รู้สึกรังเกียจ  

 

สิ่งเดียวที่ไม่ชอบก็คือ ที่ปรึกษาด้านภาพลักษณ์มักจะชอบลูบที่หน้าอกของเขาอยู่บ่อยๆ 

 

ส่วนในตอนนี้เขากำลังอยู่ในอีกคาบหนึ่ง คาบสอนการร้องเพลง  

 

เฉิงอี้หรานร้องเพลงตามแนวป่าเถื่อนที่ตนเองฝึกออกมา แน่นอนว่าเทียบไม่ได้กับคนที่ได้ฝึกกับผู้เชี่ยวชาญหรือฝึกมาจากสถาบันอะไรแบบนั้น  

 

 “เสียงสะท้อนจะต้องหาใจกลางของตำแหน่งสะท้อนให้พบ ที่เส้นเสียงของคุณไม่เสถียรนั่นก็คือลมหายใจไม่เสถียร นี่ต้องฝึกให้หนัก! เพลงป๊อปนั้นจะว่ายากก็ไม่ยาก แต่หากจะบอกว่าง่ายก็ไม่ง่าย ต้องตั้งใจ!” 

 

นับตั้งแต่ครูฝึกสอนร้องเพลงคนนี้ได้รับเงินเดือนจากบริษัทเฟยอวิ๋น เอนเทอร์เทนเมนต์ จำกัดก็รู้แล้วว่าคนใหม่คนนี้เป็นเป้าหมายของการฝึก ดังนั้นจึงไม่สามารถปล่อยปะละเลยได้ 

 

ตอนนี้เฉิงอี้หรานได้รับการฝึกกับครูฝึกตัวต่อตัว…ในแต่ละช่วงเวลาคนอื่นๆ ก็จะฝึกกับครูฝึกคนเดียวกันนี้ในห้องฝึกฝนห้องอื่นเช่นเดียวกัน 

 

ร้องเพลงเป็นภาพลักษณ์สำคัญที่สุดของนักร้อง และเฉิงอี้หรานก็ไม่กล้าเพิกเฉย ถึงเขาจะรู้ดีว่าขอเพียงเขาถือกีตาร์ เขาก็มีต้นทุนที่ทำให้ทุกคนตกตะลึงได้แล้วก็ตาม 

 

แต่…ใครจะไม่อยากให้ตนเองเก่งขึ้นกัน? 

 

ด้านนอกห้องฝึกฝน หลี่จื่อเฟิงกับที่ปรึกษาด้านภาพลักษณ์กำลังลอบจ้องมองดูอยู่…คนนั้นเป็นหลี่จื่อเฟิงขุดออกมา ดังนั้นเขาจึงใส่ใจเป็นพิเศษ 

 

หากในอนาคตเฉิงอี้หรานสามารถโด่งดังได้จริงๆ เขาก็จะไม่ยอมปล่อยตำแหน่งผู้จัดการไปอย่างแน่นอน “อืม ลูซี่ คุณมีวิธีจริงๆ หลังจากที่คนคนนี้ได้คุณสอนก็เปลี่ยนเป็นคนละคนเลย!” 

 

ไม่มีอะไรผิดที่ผู้ชายจะมีชื่อแบบผู้หญิง ดังนั้นตอนนี้ลูซี่จึงยิ้มอย่างได้ใจเอ่ยว่า “ขอแค่ไม่น่าเกลียดจนเกินไป ฉันก็ช่วยได้!” 

 

 “งั้น…ถ้าน่าเกลียดจริงๆ แล้วจะไม่มีทางช่วยเลยหรือ?” หลี่จื่อเฟิงถามขึ้นอย่างสนใจ 

 

 “ได้สิ!” ลูซี่ยักไหล่ “ไปเกาหลีสิ อย่าว่าแต่น่าเกลียดเลย หน้าเละหมดก็ยังช่วยได้!” 

 

ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์ของหลี่จื่อเฟิงก็ดังขึ้น “ใครครับ?” 

 

 “เอ่อ แบบนี้ครับ โปรดิวเซอร์หลี่ ทางนี้มีคนมาหาคุณเฉิง” พนักงานต้อนรับพูดอยู่ในโทรศัพท์อย่างสุภาพ 

 

 “อ้า…ใครกัน?” 

 

หลี่จื่อเฟิงเอ่ยถามอย่างสงสัย…หากไม่ใช่คนสำคัญอะไร เขาก็ไม่อยากให้ใครมารบกวนการฝึกของเฉิงอี้หราน เพราะตอนนี้บริษัทวางแผนจะเปิดตัวเฉิงอี้หรานอย่างเร็วที่สุด ต่อไปก็จะเริ่มกำหนดโชว์ครั้งแรกของเขาแล้ว  

 

 “เอ่อ คุณคนนี้สกุลหง เขาบอกว่าเป็นเพื่อนกับคุณเฉิง พวกเราเคยอยู่วงเดียวกันและเป็นเพื่อนสนิท” 

 

หลี่จื่อเฟิงชะงัก…คืนนั้นเขาอยู่ในไนต์คลับก็จำได้ว่าครั้งแรกนั้นเฉิงอี้หรานไม่ได้ออกมาคนเดียว ยังมีอีกคนที่เขาก็ไม่รู้ว่าหน้าตาเป็นอย่างไรอยู่ด้วย 

 

แต่ถึงอย่างไรจุดสำคัญของคืนนั้นก็อยู่ในช่วงเวลาท้ายสุด 

 

 “เอ่อ…งั้น” หลี่จื่อเฟิงครุ่นคิดและเอ่ยว่า “เอาอย่างนี้แล้วกัน คุณจัดให้เขามารอที่ห้องรับรองแขก ผมจะพบเขาก่อน” 

 

จากนั้นหลี่จื่อเฟิงถึงวางโทรศัพท์ ลูซี่จึงหันมาถามอย่างสงสัยว่า “มีเรื่องอะไรเหรอ?” 

 

หลี่จื่อเฟิงครุ่นคิดบางอย่างและตอบไปว่า “อืม…ผมไปก่อนครู่หนึ่ง ผมอยากดูสิว่าผมจะเก็บปลาที่รอดจากแหได้ไหม” 

 

 “อะไรกับอะไรนะ?” 

 

 “ไว้ค่อยพูดกัน” 

 

หลี่จื่อเฟิงเดินไปอย่างรวดเร็ว 

 

… 

 

หงก้วนนั่งรออย่างมีมารยาท…ตามที่หลี่จื่อเฟิงมอง เขาและเฉิงอี้หรานมีคุณสมบัติคล้ายๆ กัน ซึ่งคุณสมบัติที่ว่าก็คือรูปลักษณ์ภายนอก 

 

 “คุณหงใช่ไหม? สวัสดีครับ ผมเป็นโปรดิวเซอร์ของบริษัทเฟยอวิ๋น เอนเทอร์เทนเมนต์ จำกัด นามสกุลหลี่” หลี่จื่อเฟิงนั่งลงตรงหน้าของหงก้วน 

 

 “สวัสดีครับ คุณหลี่” 

 

 “คุณหง ได้ยินว่าคุณมาหาเฉิงอี้หรานงั้นหรือ?” หลี่จื่อเฟิงพูดตรงๆ 

 

 “อืม ใช่แล้ว ไม่ผิดหรอกครับ” หงก้วนพยักหน้า “ช่วงนี้ไม่เห็นเขาข้างนอกเลย ผมเป็นห่วง อา จริงสิ ผมเห็นข่าวของเขาในนิตยสารถึงได้มาที่นี่” 

 

หลี่จื่อเฟิงหัวเราะและเอ่ยว่า “ช่วงนี้เฉิงอี้หรานวุ่นอยู่กับการฝึกฝนและต้องเก็บตัว ทางพวกเราอยากให้เขาตั้งใจ ดังนั้นถึงได้เข้มงวดสักหน่อย คุณอย่าได้ถือสา” 

 

หงก้วนพูดขึ้นในทันใดว่า “เป็นแบบนี้นี่เอง…ก็ถูกแล้ว บริษัทใหญ่ก็เป็นแบบนี้ทั้งนั้น…งั้นวันนี้เฉิงอี้หรานก็อยู่ที่นี่ใช่ไหมครับ?” 

 

 “อ๋อ ใช่ เขาอยู่ครับ” หลี่จื่อเฟิงพยักหน้าเอ่ยว่า “เขากำลังเรียนร้องเพลงอยู่กับครูฝึกยังไม่เลิกเรียน คุณหงมีเรื่องอะไรฝากผมเอาไว้ได้นะครับ ผมจะช่วยบอกเขาเองคุณจะได้ไม่เสียเวลา” 

 

 “เอ่อ…ความจริงก็ไม่มีเรื่องอะไร” หงก้วนส่ายหน้าและพูดว่า “คุณบอกเขาแค่ว่าผมมาหาเขาก็พอ ถ้าเขามีเวลาก็ไปหาผมหรือจะโทรศัพท์ไปก็ได้” 

 

พูดแล้วหงก้วนก็รีบยืนขึ้น “คุณหลี่ ผมหมดเรื่องแล้ว ขอตัวก่อนนะครับ” 

 

หลี่จื่อเฟิงเห็นดังนั้นก็ถามว่า “คุณหง ได้ยินมาว่าคุณกับอี้หรานอยู่วงเดียวกันใช่ไหม?” 

 

หงก้วนยิ้มอย่างกระดากใจและตอบว่า “ที่จริงก็มีพวกเราและพี่น้องอีกสองสามคนรวมตัวกันเล่น ไม่ได้จริงจังมาก” 

 

หลี่จื่อเฟิงหัวเราะขึ้นในทันทีและเอ่ยว่า “คุณหง หากคุณไม่รังเกียจ คุณช่วยเล่นให้ผมฟังหน่อยจะได้ไหม?” 

 

 “อะไรนะ?” หงก้วนชะงัก คิดไม่ถึงว่าหลี่จื่อเฟิงจะขอเรื่องนี้ 

 

หลี่จื่อเฟิงยิ้มเอ่ยว่า “ร้องสองสามท่อนไม่น่าจะทำให้คุณเสียเวลาเกินไป…ผมคิดว่าคุณหงคงไม่ปฏิเสธหรอกใช่ไหม?” 

 

 “เรื่องนี้…” หงก้วนเผยสีหน้าดูลังเลออกมา 

 

‘เขาอยาก…ลองสักหน่อยไหม?’ 

 

… 

 

… 

 

หงก้วนไม่เคยใช้สตูดิโอบันทึกเสียงระดับสูงแบบนี้มาก่อน สำหรับเขาแล้วอุปกรณ์ทั้งหมดที่นี่ หากเขาทำพังไปหนึ่งอย่าง เขาอาจจะต้องชดใช้ไปอีกนาน 

 

หลี่จื่อเฟิงและนักปรับเสียงอีกคนที่นั่งอยู่อีกด้านของกระจก สร้างความกดดันให้เขาอย่างมาก 

 

แต่ในที่สุดเขาก็ตกลง… 

 

ถึงแม้เขาตัดสินใจละทิ้งความฝันด้านดนตรีไปแล้ว แต่ในเมื่อมีโอกาสเข้ามาแบบนี้ หงก้วนก็อดตื่นเต้นไม่ได้ 

 

หากพูดถึง…โอกาสแบบนี้แล้ว ไม่ลองก็โง่น่ะสิ? 

 

แต่สิ่งที่ทำให้หงก้วนรู้สึกขมขื่นก็คือ…เมื่อหลายวันก่อนเขาเพิ่งมอบเบสของตนเองให้ร้านรถเข็นขายไข่ปลาข้างทางไป 

 

โชคชะตาชอบเล่นตลกกับคนจริงๆ! 

 

หงก้วนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ในวงนั้นเขาเป็นมือเบส แต่ก็มีพื้นฐานกีตาร์เล็กน้อย 

 

 “ผม…” หงก้วนสูดหายใจเข้าลึกๆ วางสองมือไว้บนสายกีตาร์ “ผมจะเริ่มแล้วนะครับ!” 

 

เมื่อเห็นหลี่จื่อเฟิงที่อยู่ห้องตรงข้ามพยักหน้าแล้ว หงก้วนก็ปรับอารมณ์ค่อยๆ ร้องเพลงที่เขาคุ้นเคยออกมา 

 

เขาไม่รู้ว่าหลี่จื่อเฟิงกับนักปรับแต่งเสียงที่ฟังอยู่จะรู้สึกอย่างไร ถึงอย่างไรเมื่อร้องไปแล้วเขาก็เข้าสู่ห้วงอารมณ์แห่งบทเพลง 

 

และไม่สนใจอะไรอีก 

 

… 

 

 “ไม่เหมือนกัน ไม่เหมือนกันจริงๆ…” 

 

นักปรับแต่งเสียงจัดการอุปกรณ์บนแท่นปรับเสียง “ทักษะการร้องก็ธรรมดา? ร้องดีกว่าคนธรรมดาอยู่หน่อย…หลี่จื่อเฟิง คนที่คุณหามาครั้งนี้ไม่ไหว? คุณบอกว่าเขาอยู่วงเดียวกับเฉิงอี้หรานงั้นเหรอ? ทำไมรู้สึกเหมือนฟ้ากับเหวเลย?” 

 

หลี่จื่อเฟิงรู้สึกผิดหวังแต่ก็ไม่ได้ผิดหวังมาก “ผมแค่ลองดูเท่านั้น เผื่อจะเก็บเมล็ดพันธุ์ที่ดีได้อีกครั้ง แต่ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร พบคนแบบเฉิงอี้หรานก็เหนือความคาดหมายของผมแล้วล่ะ” 

 

 “เอาเถอะ” นักปรับแต่งเสียงยักไหล่ “งั้นผมจะบอกให้หยุดแล้วนะ?”  

 

หลี่จื่อเฟิงกลับส่ายหน้าเอ่ยว่า “ให้เขาร้องจนจบเถอะ ถึงยังไงก็ได้เริ่มแล้ว ใช้ไม่ได้ก็ช่าง…แต่พวกเราอย่าทำตัวน่าเกลียดเกินไป” 

 

 “เสแสร้ง!” 

 

 “นายใหญ่!” 

 

… 

 

… 

 

“หากมีข่าวคราวอะไรพวกเราจะติดต่อคุณไป คุณหง…จริงสิ เรื่องที่คุณมาในวันนี้ พวกเราจะบอกอี้หรานให้ คุณวางใจเถอะ” 

 

ส่วนมากก็เป็นคำพูดตามมารยาทแบบนี้ 

 

สุดท้ายหงก้วนก็ไม่ได้พบเฉิงอี้หราน จากนั้นก็ออกจากบริษัทเฟยอวิ๋น เอนเทอร์เทนเมนต์ จำกัดไปด้วยความอับอายเล็กน้อย เมื่อเดินไปบนถนน ทุกอย่างก็ดูแปลกตาไปหมด 

 

เขากับเฉิงอี้หรานเหมือนเป็นคนแปลกหน้ากันในชั่วพริบตา 

 

เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วตบหน้าตนเองอย่างรุนแรง เตรียมตัวไปทำงาน เพราะเขาหางานที่ถือว่ามั่นคงได้แล้ว 

 

ที่สำคัญที่สุดก็คือเถ้าแก่นิสัยดีช่วยซื้อประกันรักษาพยาบาลให้ ทำให้เขาสามารถเบิกค่าใช้จ่ายคลอดลูกได้ ลดภาระลงไปได้เยอะเลย  

 

หงก้วนหัวเราะจากนั้นก็ยื่นมือขึ้นฟ้า รวมนิ้วกลาง นิ้วนางและนิ้วหัวแม่มือเข้าด้วยกัน จบความฝันของชาวร็อคเอาไว้ตรงนี้  

 

มันตายแล้ว