ตอนที่ 612 จัดการให้

บุตรอสูรบรรพกาล

ตอนที่ 612

จัดการให้

“นายท่าน ถึงแล้วขอรับ”หลินเฟยใช้เวลาหลายวันทีเดียวในการเดินทางด้วยรถม้ามาจนถึงเมืองซาโถว พอต้องเดินทางด้วยรถม้านานๆหลินเฟยก็อดคิดถึงรถไฟหรือรถที่ขับประจำขึ้นมาตงิดใจ หรือตนเองควรจะพัฒนารถไฟให้อาณาจักรซานดี ไม่..หลินเฟยไม่ทราบพิมพ์เขียวของรถไฟ แถมหลินเฟยที่ไม่สามารถใช้พลังดึงดูดเหล่าอสูรนั้นคงรวบรวมวัตถุดิบที่ใช้ทำหัวรถไฟไม่ได้หรอก และต่อให้หลินเฟยอยากจะสร้างรถหรือรถไฟแบบใหม่ที่ท่านยายรูบี้ออกแบบก็ติดปัญหาตรงที่สิทธิบัตรของโลหะผสมที่ใช้เป็นชื่อของท่านน้าจูล่ง หากหลินเฟยเอามาใช้ก็เท่ากับว่ายืมแรงท่านน้าที่เป็นคนตระกูลไป๋ ถึงหลินเฟยจะจำพิมพ์เขียวของรถได้แต่ก็ไม่สามารถสร้างได้ เอาไว้เก็บเงินได้มากพอค่อยเดินทางไปอาณาจักรไป๋เพื่อไปหาซื้อรถมาสักคันเอาไว้ใช้ยามเดินทางก็แล้วกัน

“พี่ชาย ระหว่างทางท่านบอกข้าว่าท่านเป็นคนเมืองซาโถวใช่หรือไม่”หลินเฟยถามพลางลงมาจากรถม้าด้วยท่าทีง่วงๆ เดินทางด้วยรถม้านานๆแบบนี้ต่อให้เป็นผู้ฝึกฝนพลังวิญญาณก็อยากจะนอนบ้างเหมือนกัน สุดท้ายหลินเฟยก็ชวนคนขับคุยเรื่องโน้นเรื่องนี้จนได้ทราบว่าแท้จริงแล้วคนขับเกิดที่เมืองซาโถวพอดี มันก็เลยรับไปกลับระหว่างเมืองหลวงและเมืองซาโถวแห่งนี้เป็นประจำ

“ใช่แล้ว น้องชายเจ้าถามเช่นนี้แสดงว่ามีเรื่องในใจใช่หรือไม่”คนขับรถถามพลางมองหลินเฟยที่เข้ามายืนข้างๆที่นั่งคนขับ

“พี่ชายช่างรู้ใจ จริงๆแล้วคนรู้จักของข้าฝากข้ามาทักทายครอบครัว ท่านพอทราบหรือไม่ว่าบ้านตระกูลติงอยู่ที่ไหน”หลินเฟยถามพลางยิ้มด้วยท่าทีเป็นมิตร

“ตระกูลติง…แน่นอนข้าต้องรู้จักอยู่แล้ว ตระกูลติงเป็นต้นเหตุของโศกนาฏกรรมเมื่อ 5 ปีก่อนท่านถามใครในเมืองก็ให้คำตอบกับท่านได้หมดนั่นล่ะ”คนขับรถตอบพลางยักไหล่ช้าๆ 5 ปีก่อนงั้นก็ต้องหมายถึงเรื่องของครอบครัวฟงเป่าเป็นแน่

“เรื่องมันเป็นเช่นไรงั้นหรือ ข้าไม่ทราบมาก่อนเลย”หลินเฟยถามด้วยท่าทางอยากรู้อยากเห็น เท่าที่ได้ยินจากฟงเป่าหลินเฟยรู้แต่เพียงว่าตระกูลหยูโจมตีตระกูลของฟงเป่าจนฆ่าล้างไปทั้งครอบครัว แถมคู่หมั้นของฟงเป่าที่อยู่ตระกูลติงยังถูกจับตัวไปอีกต่างหาก

“เรื่องนี้เป็นจุดด่างพร้อยของเมืองซาโถว ข้าไม่อยากจะเล่ามันหรอก”คนขับรถส่ายหน้าช้าๆด้วยท่าทีไม่อยากเล่า ไม่ว่าใครก็ไม่อยากเล่าเรื่องน่าขายหน้าของเมืองตนเองหรอกจริงหรือไม่

“เอาน่าพี่ชาย หากท่านเล่าให้ข้าฟังข้าจะเลี้ยงสุราท่านที่ร้านตรงนั้นเป็นไง”หลินเฟยว่าพลางยื่นเหรียญทอง 2 เหรียญไปให้คนขับรถ

“อืม….หากได้ดื่มสักหน่อยเรื่องเล่าต้องสนุกขึ้นแน่ๆ น้องชายข้าจะเอารถไปจอดก่อนเจ้าเข้าไปสั่งอาหารได้เลย”เห็นเหรียญทองคนขับรถก็โยนความอายต่อเมืองตนเองทิ้งไปทันทีก่อนจะรีบบังคับให้ม้าเข้าไปจอดที่ข้างๆร้านอาหารพร้อมผูกม้าเอาไว้อย่างรวดเร็ว

“แล้ว…เรื่องมันเป็นอย่างไรหรือขอรับ”หลินเฟยถามพลางรินสุราลงจอกด้วยท่าทีสบายๆ อาหารบนโต๊ะนั้นหลินเฟยสั่งมาเต็มที่จนคนรอบๆต้องมองด้วยความสงสัยว่าคนโต๊ะนั้นพึ่งได้รับมรดกมาหรืออย่างไรถึงได้สั่งอาหารเต็มโต๊ะกลางวันแสกๆเช่นนี้

“เมื่อ 5 ปีก่อนตระกูลติงมีบุตรสาวเพียงคนเดียว นางได้ชื่อว่าเป็นสาวงามอันดับ 1 ของเมืองซาโถวเลยนะ”คนขับรถเล่าพลางยิ้มออกมาด้วยท่าทีมีความสุข ค่ารถเดินทางมานี่ยังไม่ถึงเหรียญทองเดียวเสียด้วยซ้ำ แต่แค่เล่าเรื่องที่หลินเฟยอยากรู้กลับได้ตั้ง 2 เหรียญทองแถมข้าวฟรีหนึ่งมื้อจะไม่ให้มันยิ้มได้อย่างไร

“สาวงาม ไม่ใช่ว่านางอายุน้อยหรอกหรือ”หลินเฟยถามด้วยท่าทีงงๆ ฟงเป่าพึ่งอายุราวๆ 15 ปี หากเป็นเมื่อ 5 ปีก่อนฟงเป่าก็สมควรจะอายุเพียง 10 ปีเท่านั้น แล้วคู่หมั้นของมันไม่ใช่ว่าต้องเป็นคนอายุรุ่นราวคราวเดียวกันงั้นหรือ

“ตอนนั้นนางอายุ 14 ปี แต่ถึงจะยังเด็กนางก็ดูงดงามมากไม่แพ้หญิงสาวคนอื่นๆเลย ถึงกับมีคนบอกว่างต้องกลายเป็นสาวงามที่สุดในอาณาจักรซานเมื่อโตขึ้นแน่ๆ”คนขับรถตอบพลางยิ้มออกมาด้วยท่าทีเคลิ้มฝัน มันเองก็เคยเห็นหน้าของบุตรสาวตระกูลติงเช่นกัน นางงามจนแม้แต่สาวๆในเมืองหลวงยังเทียบนางไม่คิดเลย

“แล้ว เรื่องเศร้าที่ท่านว่ามันคืออะไรงั้นหรือ”หลินเฟยถามพลางดื่มสุราในจอกทั้งๆที่สุราไม่มีผลกับตนเองแท้ๆ

“แม้นางจะเป็นสาวงามจนมีชายหนุ่มมากมายมาห้อมล้อม แต่ตระกูลติงก็ได้หมั้นหมายบุตรสาวกับบุตรชายของตระกูลพ่อค้าตระกูลหนึ่งเอาไว้แล้ว หากเรื่องที่เล่าต่อกันมาไม่ผิดพลาดตระกูลที่ว่าคือตระกูลฟงกระมัง”คนขับรถเล่าต่อช้าๆ ซึ่งเรื่องราวตรงนี้ก็เหมือนกับที่ฟงเป่าบอก คู่หมั้นของฟงเป่าคือคนของตระกูลติงจริงๆ เรื่องนี้เดาได้ไม่ยาก

“แต่พอเด็กสาวตระกูลติงยิ่งเติบโตก็ยิ่งงดงามต่างจากบุตรชายตระกูลฟงที่ว่ากันว่าเป็นเด็กไม่ได้เรื่อง ทำให้ตระกูลติงเริ่มคิดว่าการแต่งงานของทั้งสองจะไม่คุ้มค่าแล้วก็เลยมีท่าทีจะถอนหมั้นระหว่างทั้งสอง แต่เพราะตระกูลฟงเคยช่วยเหลือตระกูลติงยามไม่มีกิน ว่ากันว่าหากวันนั้นตระกูลฟงไม่ช่วยเหลือตระกูลติงก็คงหมดช่วงไปตั้งแต่รุ่นก่อนแล้ว ทำให้ตระกูลติงไม่อาจถอนหมั้นได้”คนชับรถเล่าต่อช้าๆก่อนจะหยุดพักจิบสุราครู่หนึ่ง

“ความจริงหญิงงามมีคู่หมั้นอยู่แล้วพวกเราก็คงทำอะไรไม่ได้ แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่คิดอย่างนั้น ในเมืองซาโถวแห่งนี้ยังมีคนบางพวกที่ไม่สนเรื่องกฎเกณฑ์พวกนั้นอยู่ พวกมันคือคนตระกูลหยู พวกมันเป็นตระกูลของเจ้าสำนักอันดับ 2 ของอาณาจักร แม้แต่เจ้าเมืองยังไม่กล้ายุ่งกับพวกมัน แค่ผู้หญิงมีคู่หมั้นอยู่แล้วคิดว่าพวกมันคงไม่สนใจหรอก”คนขับรถเล่ามาถึงตรงนี้ก็เหมือนจะเริ่มเมาแล้ว ดูท่าตระกูลหยูจะไม่ธรรมดาเลย แม้จะไม่ใหญ่เท่าขุนนางชั้นผู้ใหญ่หรือพวกแม่ทัพ แต่ตำแหน่งเจ้าสำนักของสำนักชั้นนำนั้นก็สร้างความหวาดกลัวให้ผู้คนไม่น้อย หากตระกูลของฟงเป่าเป็นเพียงตระกูลพ่อค้าธรรมดาก็คงไม่อาจต่อต้านอะไรได้อยู่แล้ว

“เพราะเรื่องแย่งชิงผู้หญิงก็เลยฆ่าล้างตระกูลฟงงั้นหรือ”หลินเฟยถามด้วยท่าทีหดหู่ เพียงแค่ต้องการแย่งผู้หญิงมาถึงกับต้องสังหารคนของตระกูลฟงทั้งตระกูลเลยงั้นหรือ

“ก็ใช่…พวกมันอ้างว่าแท้จริงแล้วตระกูลฟงเป็นอสูรแปลงกายเข้ามาในเมือง ที่ดวงตาของตระกูลฟงเปลี่ยนสีเป็นสีทองได้ก็เพราะเป็นอสูรน่ะนะ”ได้ยินเช่นนั้นหลินเฟยก็กำหมัดแน่น ฟงเป่ามีความสามารถของดวงตาสีทองจริงๆ ท่าทางความสามารถนี้จะได้มาจากบรรพบุรุษ แม้การได้ดวงตาเช่นนี้มาจะสามารถทำได้ด้วยการผสานกับแก่นอสูร แต่ก็มีหลายคนที่ไม่ได้ทำแบบนั้นแต่ก็ได้พลังของดวงตาพวกนี้มา อย่างท่านน้าหลี่เย่ภรรยาคนหนึ่งของท่านน้าจูล่งเองก็มีความสามารถของดวงตาสีเขียวมาตั้งแต่เกิด

“คนตระกูลฟงก็มีพลังวิญญาณไม่ใช่หรืออย่างไร คนในเมืองนี้ไม่รู้งั้นหรือว่าอสูรไม่สามารถใช้พลังวิญญาณได้”หลินเฟยพูดด้วยท่าทีไม่พอใจ แม้มนุษย์จะสามารถกลืนแก่นอสูรเพื่อผสานพลังอสูรเข้ากับตนได้ แต่ต่อให้อสูรกินมนุษย์เข้าไปเป็นร้อยคนก็ไม่สามารถใช้พลังวิญญาณได้หรอก

“เรื่องนั้นพวกเราก็รู้ แต่คนตระกูลหยูบอกว่าพวกตระกูลฟงเป็นลูกครึ่งระหว่างมนุษย์กับอสูรนะสิ”คนขับรถตอบพลางส่ายหน้าช้าๆ

“เหลวไหล มนุษย์กับอสูรไม่สามารถมีบุตรด้วยกันได้เสียหน่อย”หลินเฟยส่ายหน้าช้าๆเหมือนไม่ยอมรับข้ออ้างของตระกูลหยู เรื่องนี้ท่านตาหยงเวยยืนยันให้หลินเฟยฟังด้วยตนเองเลยว่าอสูรไม่มีทางมีลูกกับมนุษย์ได้ เพราะมารดาจิ้งจอกของหยงเวยที่เป็นลูกน้องของท่านยายจิ้งจอกเหมันต์นั้นอยู่กินกับบิดาของหยงเวยหลายปีก็ไม่สามารถมีลูกด้วยกันได้เลย

“เรื่องนั้นพวกเราไม่รู้หรอก ลำพังแค่ใครเป็นอสูรจำแลงกายมาบ้างพวกเราก็ไม่รู้จะแยกกันอย่างไรแล้ว”คนขับรถตอบพลางส่ายหน้าช้าๆ อาณาจักรซานนั้นไม่ได้ศึกษาเหล่าอสูรเหมือนอาณาจักรไป๋เสียหน่อย เรื่องพวกนี้พวกมันไม่รู้ก็ถือว่าปกติไม่ใช่หรือ ทำให้หลินเฟยได้แต่ถอนหายใจออกมาด้วยท่าทีช่วยไม่ได้ แถมเรื่องมันเกิดไปนานแล้วด้วยจะให้เอาผิดกับคนที่เชื่อก็คงไม่ได้แล้ว

“ตระกูลหยูนี่มันเลวจริงๆ”หลินเฟยรำพึงออกมาด้วยท่าทีเหนื่อยใจ ฟงเป่าหนอฟงเป่า มันต้องพบเจออะไรมาบ้างกันแน่ ช่างเป็นศิษย์ที่น่าสงสารจริงๆ

“เมื่อครู่เจ้าว่าไงนะ”หลินเฟยพึมพำออกไปไม่นานก็มีร่างของชาย 6 คนเดินเข้ามาหาหลินเฟยจากด้านหลังในทันที ท่าทางหาเรื่องเช่นนี้หรือว่าคำที่หลินเฟยพูดออกไปจะสะกิดหูพวกมันเข้า

“ข้าบอกว่าตระกูลหยูมันเลวระยำไงล่ะ พวกเจ้าฟังไม่ชัดงั้นหรือ”หลินเฟยตอบพลางลุกขึ้นยืน ร้านที่หลินเฟยพาคนขับรถม้ามาเลี้ยงอาหารนั้นเป็นร้านหรูของเมือง ทำให้คนที่มากินอาหารที่ร้านนี้เป็นผู้ดีพอสมควร ไม่แปลกเลยที่จะเจอคนของตระกูลใหญ่ๆ

“เจ้า กล้าพูดเช่นนั้นต่อหน้าผู้สืบทอดตำแหน่งหัวหน้าตระกูลหยูงั้นหรือ”ชายที่เข้ามาหาเรื่องมีท่าทีโมโหมากทำให้คนขับรถม้ากลัวจนลุกหนีออกไปจากร้านทันที ตนเองเล่าเรื่องหมดแล้วไม่มีธุระอะไรอีก แม้จะเสียดายอาหารแต่หากถูกเหมารวมไปด้วยเพราะหลินเฟยไปหาเรื่องคนตระกูลหยูเข้ามันก็ไม่เอาด้วยหรอก

“เจ้านะหรือคือบุตรชายของตระกูลหยูที่คนทั้งเมืองนินทา”หลินเฟยว่าพลางหันไปมองชายหนุ่มที่อยู่ด้านหลังสุด มันแต่งกายหรูหราต่างจากลูกน้องมาก แทบไม่ต้องเดาเลยว่าใครคือเจ้านายใครคือลูกน้อง

“นินทา…ใครมันกล้านินทาข้ากัน”คุณชายตระกูลหยูว่าพลางมองไปรอบๆร้าน แน่นอนว่าทุกคนที่อยู่ในร้านไม่กล้าสบตามันเลยแม้แต่คนเดียว

“ก็ทุกคนในเมืองไงล่ะ ชื่อของเจ้ามันเหม็นคระคลุ้งไปทั้งเมืองเลยเรื่องที่เจ้าไปแย่งคู่หมั้นของคนอื่น”หลินเฟยว่าพลางยิ้มออกมาบางๆ ไม่ใช่เพราะหลินเฟยอารมณ์ดีหรอก แต่เวลาแบบนี้รอยยิ้มนี่ล่ะใช้ได้ดีที่สุด

“หึ แย่งอะไรกัน….เจ้าพวกคนตระกูลฟงไม่ยอมยกเลิกการหมั้นหมายต่างหากข้าก็เลยขอร้องให้คุณชายช่วยจัดการให้”อยู่ๆเสียงหญิงสาวคนหนึ่งก็ดังมาจากด้านหลังลูกน้องของคุณชายหยู แถมนางยังเป็นหญิงสาวที่งดงามไม่น้อยเลย….

“หรือว่าเจ้าจะเป็นคุณหนูตระกูลติง”หลินเฟยถามพลางขมวดคิ้วสงสัย เรื่องที่นางพูดออกมาเมื่อครู่มันอะไรกัน นางไปขอร้องให้คนตระกูลหยูจัดการงั้นหรือ…