เล่มที่ 20 ตอนที่ 2

Memorize

ตอนที่ 2 โดย ProjectZyphon

หลังจากนั้นผมจึงได้เปล่งเสียงพูดออกมาอีกครั้ง เพื่อที่จะสะสางคำพูดที่ยังคงค้างคาให้หมดสิ้นไป

“คงไม่จำเป็นต้องพูดอะไรยืดยาวแล้วนะครับ งั้นพอแค่นี้ครับ ขอจบวันนี้ไว้เพียงเท่านี้ แล้วก็ในหนึ่งวันนี้…ขอให้ทุกคนพักผ่อนให้เต็มที่ แยกย้ายได้ครับ”

ผมออกคำสั่งให้ทุกคนแยกย้ายได้สำเร็จ แล้วจึงค่อยๆ ผ่อนลมหายใจเบาๆ อีกครั้ง

แต่ทว่ากลับไม่มีสมาชิกเผ่าคนไหนยอมเดินออกไปจากที่เลยแม้แต่คนเดียว บางคนก็ยืนเงยหน้ามองท้องฟ้า บางคนก็ยังมองมาที่ผมเช่นเดิม และบางคนที่ดูไม่มีทีท่าว่าจะหยุดร้องไห้ก็ยืนอยู่บริเวณร่างไร้วิญญาณของชินซังยง

ท่ามกลางสถานการณ์เช่นนี้ ผมจึงได้หมุนกายกลับไปคนเดียว ก่อนที่จะเดินออกไป เสียงต่างๆ มากมายที่ดังแว่วเข้ามาในหู บัดนี้กลับค่อยๆ เบาลงไปแล้ว

ผมเดินเลี่ยงออกมาทั้งอย่างนั้น แล้วจึงเริ่มเดินขึ้นบันไดไป เมื่อเดินขึ้นมาจนถึงชั้นสี่ และ ณ วินาทีที่ผลักประตูห้องเข้าไปได้สำเร็จ ผมจึงรีบโถมตัวลงนอนกับเตียงขาวๆ ที่อยู่ตรงหน้า

“โธ่เว้ย”

ทันทีที่ผมลืมตา ผมก็สบถออกมาเบาๆ แมงมุมดินตัวดำๆ กำลังกำลังเดินไปมาอยู่ภายในห้องแห่งนี้ ผมไล่สายตามองรอบห้องอย่างที่ทำอยู่เป็นประจำ หลังจากนั้นจึงถอนหายใจเบาๆ

พวกเรากลับมาแคลนเฮาส์ตั้งแต่ค่ำๆ แล้ว แต่เวลาตอนนี้ดูเหมือนจะเป็นช่วงเช้ามืดแล้ว

ต้องนอนพักสักหน่อย

ผมคิดได้ว่าตัวเองจะต้องนอนพักเอาแรงเสียก่อน จึงได้พยายามข่มตาให้หลับ และในขณะที่กำลังเคลิ้มๆ อยู่นั่นเอง

จู่ๆ ก็ปวดหัวตุบๆ ขึ้นมา ปวดจนรู้สึกเป็นอาการคุ้นเคยไปเสียแล้วตอนนี้

“…แม่งเอ๊ย”

ในที่สุดผมก็ลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง

ความจริงแล้ว ตั้งแต่ผมเข้ามาในห้องแล้วล้มตัวนอนกับเตียง ผมก็ทำเหมือนเดิมอย่างที่ทำมาตลอด ถ้าเมื่อไหร่ที่ตั้งใจจะนอนจริงๆ จังๆ ก็จะรู้สึกปวดหัวน้อยขึ้นมา และด้วยอาการเช่นนั้น จึงทำให้ผมนอนไม่หลับ พอจะข่มตาหลับอีกรอบ ก็จะเกิดอาการนอนไม่หลับวนเวียนซ้ำๆ อยู่อย่างนั้น

ช่างเป็นความรู้สึกที่ยากเกินบรรยายจริงๆ ร่างกายของผมต้องการการนอนหลับพักผ่อนแท้ๆ แต่เอาเข้าจริง มันกลับไม่ยอมหลับเสียได้

ไม่ใช่ว่ากำลังจะกลับไปเป็นอย่างเก่าหรอกนะ

ผมได้แต่ยิ้มขมขื่นกับตัวเอง

ร่างกายของผมในตอนนี้ ดูเหมือนจะไม่ใช่ร่างกายของผมเสียเท่าไหร่ ไม่ใช่เพราะความเหน็ดเหนื่อยแต่เพียงอย่างเดียว ในหัวของผมตอนนี้กำลังวุ่นวายสับสน เพราะความคิดที่ผุดขึ้นมานับไม่ถ้วน ด้วยเหตุนี้ผมจึงกำลังพยายามทำให้จิตใจข้างในของตัวเองว่างเปล่า และพยายามไม่คิดถึงสิ่งใด ในห้วงอารมณ์ที่กำลังเป็นปรปักษ์ต่อกันเช่นนั้น ผมก็เดินวนไปเวียนมาอยู่ในห้อง เหมือนเด็กที่กำลังหลงทางไม่มีผิด

ณ วินาทีนั้นเอง

ชินซังยงจึงได้ปรากฏตัวออกมาอยู่กลางอากาศตรงหน้า แล้วค่อยๆ เลือนหายไป

“…”

และแล้วผมจึงได้ลองถามกับตัวเองดูว่า

เป็นเพราะการจากไปของชินซังยงหรือเปล่า ที่ทำให้ผมรู้สึกอึดอัดใจอยู่ในตอนนี้

ไม่หรอก

ชัดเจนอยู่แล้วว่าผมรู้สึกเศร้าใจกับการจากไปของชินซังยง แต่ผมก็รู้สึกว่าเมื่อคราวรอบแรก ตัวผมก็เคยเผชิญหน้าต่อเหตุการณ์การจากไปของคนรู้จักมามากพอแล้ว ผมเจอกับเหตุการณ์เช่นนั้นอยู่บ่อยครั้ง จนคำว่า ‘ความตาย’ นั้น เรียกได้ว่าเป็นคำศัพท์ที่ผมคุ้นเคยกับมันมากเลยทีเดียว

ถ้าอย่างนั้นก็คงเป็นความละอายใจ ที่ตัวเองเป็นถึงแคลนลอร์ด แต่กลับตัดสินใจผิดพลาดงั้นเหรอ

ไม่นี่

อย่างไรก็ตาม ผมก็สามารถช่วยชีวิตสมาชิกเผ่าไว้ได้ ไหนจะยังบรรลุในสิ่งที่วางเป้าหมายไว้อีกต่างหาก เรื่องผลกำไรที่พ่วงมาจากเหตุการณ์ต่างๆ ก็ได้รับผิดชอบไว้ดีแล้ว

ถ้างั้น? ถ้าไม่อย่างนั้น?

“…”

ถามตัวเอง แต่ตัวเองก็ตอบไม่ได้

ผมยังไม่เจอคำตอบของคำถามที่ถามตัวเอง คำถามที่ถามตัวเองข้อนั้นได้แต่สะท้อนล่องลอยไปมาอยู่อก

ในตอนนั้นเอง จู่ๆ ความหนาวเหน็บก็ค่อยๆ แทรกซึมเข้าสู่ทั่วทุกอณูของร่างกาย ผมสูดลมหายใจเข้าปอด ก่อนที่จะรู้สึกได้ถึงความเย็นยะเยือกที่แล่นเข้าสู่กระดูกด้านใน

เหงา…

วินาทีที่คิดได้ว่าตัวเองกำลังเหงาอยู่ ผมก็รู้สึกประหลาดใจจนรู้สึกได้ว่าเหมือนมีพลังงานบางอย่างปะทุอยู่ในดวงตา

ความเงียบเหงา ความโดดเดี่ยว และความว้าเหว่

เมื่อสมัยก่อน ผมก็ใช้ชีวิตอยู่มาเรื่อยๆ โดยมีอารมณ์เช่นนี้ครอบงำมาตลอด เรียกได้ว่าคุ้นเคยจนไม่รู้จะคุ้นเคยอย่างไรแล้ว เรียกได้ว่าเป็นสถานะปกติของผมเลย

แต่ความเหงาที่รู้สึกได้เมื่อครู่ก่อนหน้า กลับทำให้ผมรู้สึกแปลกใจอย่างบอกไม่ถูก

ในเวลาเดียวกัน ใบหน้าของพี่ชาย, ฮันโซยอง, โกยอนจู และจองฮายอนก็ค่อยๆ โผล่ขึ้นมาตามลำดับ ก่อนที่จะมลายหายไปในที่สุด

ตอนนี้ ผมคิดว่า ‘หากมีใครสักคนคอยอยู่เคียงข้างล่ะก็’ คิดอยู่เช่นนี้จริงๆ คิดมานานแล้วด้วย

“…”

ร่างกายยังคงอ่อนล้าเช่นเดิม ผมยังต้องการนอนหลับพักผ่อนอยู่วันยังค่ำ แต่พอได้มานอนเช่นนี้แล้ว กลับรู้สึกว่าตัวเองกลายเป็นคนอ่อนไหวไปเสียได้

“โธ่เว้ย”

และแล้วผมก็ทนอยู่ในสภาพเช่นนั้นต่อไปไม่ได้ จึงรีบยันกายขึ้นมาจากเตียงทันที ซึ่งในตอนนั้นเอง

เคร้ง!

เสียงโลหะกระทบกระทั่งกันเบาๆ ดังขึ้นจากบริเวณขอบกางเกง เสียงนั้นดังขึ้นมาทำลายความเงียบเล็กน้อย ผมจึงลูบๆ คลำๆ บริเวณเอวอย่างที่ทำเป็นประจำ ก่อนที่จะรู้สึกได้ถึงเกียรติยศแห่งวิคตอเรียอันแสนเย็นเฉียบ ในเวลาเดียวกันนั้นเอง ด้วยแสงจันทร์ที่สาดส่องลงมาจากนอกหน้าต่าง จึงทำให้ผมได้เห็นผ้าปูที่นอนมีเลือดสีแดงฉานเปรอะเปื้อนอยู่เต็มไปหมด

“เฮ้อ”

วินาทีที่ได้เห็นผ้าปูที่นอนของตัวเองเปื้อนเลือดอยู่เต็มสองตานั้น ผมจึงได้หัวเราะเหอะอยู่ในใจเบาๆ การล้มตัวลงนอนในขณะที่คาดดาบอยู่ทนโท่นั้น เรียกได้ว่าเป็นหนที่สองที่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้แล้ว ผมนอนฝังร่างอยู่กับเตียง โดยไม่ได้ชำระล้างทำความสะอาดใดๆ เลย พอมาคิดๆ ดูแล้ว ก็คงชัดเจนมากพอแล้วล่ะ ว่าผมสติเลอะเลือนไปมากถึงเพียงไหน

ผมจึงชักเกียรติยศแห่งตะวันออกมา แล้วจึงวางดาบลงด้านล่าง เดิมทีผมวางแผนไว้ว่าจะลงไปห้องซ้อมชั้นใต้ดิน เพื่อที่จะเรียกเหงื่อออกมาเสียหน่อย แต่ตอนนี้ได้เปลี่ยนความคิดแล้วล่ะ

หากผมได้ชำระล้างรอยเลือดที่เลอะอยู่เต็มร่างกาย และได้แช่ตัวลงในน้ำร้อน ๆ คงจะช่วยให้ความรู้สึกอึดอัดคับใจนี้หายไปได้บ้าง ไม่รู้ว่าทำแบบนั้น แล้วจะเกิดอาการง่วงไหม

ห้องอาบน้ำใหญ่…อยู่ชั้นใต้ดินตึกเล็กหรือเปล่านะ?

ผมจึงไม่รอช้า รีบออกจากห้องแล้วลงบันไดไปทันที ถึงอย่างไรนี่ก็ยังเช้ามืดอยู่ เพราะฉะนั้น ผมจึงสามารถอาบน้ำ แช่ตัวได้อย่างสบายใจ ไม่ต้องมีสิ่งใดขวางกั้น

แต่ทว่าเมื่อเดินทางมาถึงชั้นใต้ดินชั้นที่หนึ่ง ความคิดและความตั้งใจของผมเช่นนั้น จึงค่อยๆ แตกออกเป็นเสี่ยงๆ แม้จะเป็นช่วงเวลาเช้ามืดที่ดวงดาวยังอยู่บนฟากฟ้าก็ตาม แต่แล้วห้องอาบน้ำกลับมีไฟส่องสว่างอยู่อย่าง

ผมหยุดอยู่ตรงหน้าห้องอาบน้ำ พลางเกาหัวแกรกๆ ไปมาอยู่ชั่วขณะ แต่หลังจากนั้นก็ได้เริ่มจัดการถอดเสื้อผ้าของตัวเองอย่างช้าๆ เพราะผมคิดว่า ห้องอาบน้ำแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อให้ทุกคนได้ใช้งานกันเต็มที่ อีกทั้งยังได้แบ่งเป็นห้องอาบน้ำสำหรับผู้ชาย และห้องอาบน้ำสำหรับผู้หญิงไว้ด้วย ดังนั้นมันคงจะไม่มีอะไรต้องมาเกี่ยวข้องกันให้วุ่นวาย

บาดแผลจำนวนมากสลักอยู่ทั่วทั้งร่างกายจนแน่นไปหมด ผมเห็นดังนั้น จึงรู้สึกรับไม่ได้อยู่หน่อยๆ

ก็เคยเห็นมาก่อนแล้วครั้งหนึ่งนี่

เมื่อสมัยที่อยู่โรงเตี๊ยมสุภาพสตรีรักนวลสงวนตัว เคยเจอกรณีที่โดนบังคับให้ถอดเสื้อผ้าต่อหน้าใครหลายคน ตัวการก็คือ โกยอนจู ในตอนนั้นเหมือนหล่อนจะพูดว่า ‘เสื้อผ้าผู้ชายเขาถอดกันแบบนี้นี่เอง’ ล่ะมั้ง?

ผมยิ้มเจื่อนๆ ให้กับความคิดที่ผุดขึ้นมาเช่นนั้น พลางเอื้อมมือไปหยิบผ้าที่ถูกจัดเตรียมไว้ แล้วจึงดันประตูที่มีสาหร่ายเขียวๆ เกาะเข้าไปเบาๆ

เมื่อเข้าไปด้านในห้องอาบน้ำได้สำเร็จ ผมก็ได้เห็นภายในที่อัดแน่นไปด้วยไอน้ำสีขาวขุ่นมัว และอุปกรณ์สำหรับการอาบน้ำที่วางเรียงรายอยู่ในพื้นที่อันแสนกว้างขวาง มุมหนึ่งนั้น มีอุปกรณ์สำหรับการอาบน้ำที่จำต้องใช้วงเวทเรียงรายอยู่อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย และตั้งแต่กลางห้องลากยาวไปจนถึงอีกมุมหนึ่งนั้น ก็มีห้องอาบน้ำและห้องซาวน่าอยู่

ในช่วงที่ก่อสร้างแคลนเฮาส์เมอร์เซนต์นารี่แรกๆ นั้น ผมได้บอกไว้ว่าให้สร้างขึ้นมาโดยใกล้เคียงกับปัจจุบันมากที่สุด และมันก็เหมือนมากจริงๆ จนผมต้องพยักหน้ายอมรับเลย

ซู่! ซู่!

ผมได้ยินเสียงน้ำที่ไหลดังซู่ซ่าถึงใจ คงมีใครบางคนกำลังใช้งานอยู่ล่ะมั้ง ก่อนที่จะเข้าห้องอาบน้ำ ผมจะต้องชำระล้างร่างกายเสียก่อน แล้วจึงค่อยๆ สอดส่องว่ามีใครอยู่ข้างในหรือไม่ และในตอนนั้นผมจึงได้เริ่มเดินเข้าไปด้านใน

จ๋อม! จ๋อม!

ด้วยความที่ห้องอาบน้ำล้วนเปียกชุ่มไปด้วยน้ำ ทำให้ทุกครั้งที่ผมย่ำเท้าเดิน จึงได้บังเกิดเสียงน้ำดังจ๋อมแจ๋มขึ้นมาเบาๆ และแล้วจึงเริ่มเห็นอะไรบางอย่างที่แสนจะคุ้นเคยอยู่ระหว่างแสงสีอำพันอ่อนอันแสนเลือนราง ภาพที่ผมเห็นนั้นช่างคุ้นเคยเหมือนกับเคยเห็นที่ไหนมาก่อน

เอ๊ะ? ผมยาว?

ณ วินาทีนั้น ผมรู้สึกได้ถึงลางสังหรณ์แปลกๆ จึงได้หยุดเคลื่อนไหวในทันที แม้จะเห็นเลือนราง แต่ผมยาวๆ ที่ว่านั่นกลับบ่งบอกให้รู้ว่าบุคคลที่อยู่ตรงหน้าคือผู้หญิง และในเวลาเดียวกันนั้นเอง ผมจึงได้ข้อสรุปยืนยันออกมา ผู้หญิงตรงหน้านั่นหวังว่าจะไม่ใช่โกยอนจูหรือจองฮายอน

ผมรู้สึกปั่นป่วน คิดนู่นนี่ไปมา แต่แล้วจึงได้รีบส่ายหน้าแรงๆ ที่แห่งนี้คือห้องอาบน้ำสำหรับผู้ชายจริงๆ ผมถึงได้กล้าเดินเข้ามา

ชั่วครู่หนึ่ง ผมพลันวิตกว่าตัวเองควรจะต้องเข้าไปดูสักหน่อยไหม

แต่แล้วดวงตาอันไม่รักดีของผม กลับกำลังจดจ้องอยู่ตรงเบื้องหน้าอย่างละเอียดถี่ถ้วน ไอน้ำที่พวยพุ่งขึ้นมาเบาบางเหมือนฉากในจินตนาการนั้น ไม่ได้เป็นอุปสรรคขวางกั้นแต่อย่างใด เพราะผมเองก็ไม่รู้ว่าทำไมสายตาจึงได้จดจ้องอยู่แต่จุดๆ นั้น

ในตอนนั้นเอง การเคลื่อนไหวของหญิงสาวก็ได้หยุดนิ่งไปเสี้ยววินาทีหนึ่ง เส้นผมที่เปียกชุ่มไปด้วยน้ำพลิ้วไหวไปมา หลังจากนั้นจึงได้เริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้งหนึ่ง การเคลื่อนไหวต่อเนื่องมาเช่นนั้น ช่างแตกต่างไปจากก่อนหน้านี้เสียจริง ให้ความรู้สึกเคอะเขิน กระดากอาย ดูไม่เป็นธรรมชาติอย่างบอกไม่ถูก

รู้ตัวแล้วหรือเปล่า

“ลั้ลลา ลั้ลลา”