“แฮ่ก แฮ่ก…” 

 

 

ในยามค่ำคืนที่มีเพียงจันทร์เสี้ยวส่องสว่างหนทางข้างหน้าเพียงแค่สลัวๆ ซึ่งเป็นค่ำคืนที่เยื้องย่างแต่ละก้าวได้อย่างยากลำบาก หากสายตาไม่ดีในความมืดและประสาทสัมผัสไม่ดี แต่ทหารทั้งสองคนวิ่งฝ่าความมืดไปอย่างไม่รู้จบ พวกเขาไม่มีจุดหมายปลายทาง แต่มีจุดมุ่งหมายอย่างชัดเจน นั่นคือการให้เด็กชายที่อยู่ในอ้อมอกหลบภัยไปยังด้านนอกของฮเยกุกได้โดยสวัสดิภาพ แม้จำนวนทหารที่เคยมีสิบคนในตอนออกมาจากพระราชวังจะเหลือเพียงสองคน แต่พวกเขาก็ยังไม่ยอมแพ้ 

 

 

“อึ่ก!” 

 

 

ทหารที่วิ่งอุ้มเด็กชายส่งเสียงครวญครางออกมาเบาๆ พร้อมกับหยุดยืนกับที่ ทหารที่อยู่ข้างๆ จึงอุ้มเด็กชายขึ้นมาทันทีราวกับได้สัญญากันไว้ จากนั้นทหารที่หยุดยืนก็หักลูกธนูตรงไหล่ออกและดึงดาบออกมา โดยไม่มีแม้แต่เวลาให้มาพูดคุยสื่อสารกัน ส่วนหทารคนสุดท้ายที่เหลืออยู่ก็ยังคงอุ้มเด็กชายแล้ววิ่งต่อไป 

 

 

อีกนิดเดียว อีกเพียงนิดเดียว หากลงเขาลูกนี้ไปก็จะมีหมู่บ้านแล้ว และหมู่บ้านนั้นคืออาณาเขตของแทซากุก ในไม่ช้าเสียงดาบที่กระทบกันอยู่ด้านหลังก็ดังกึกก้องไปทั่วภูเขาอันเงียบสงบ ทางฝั่งนั้นมีจำนวนมาก ส่วนทางฝั่งเรามีแค่คนเดียว ทั้งยังเหนื่อยมากและถูกลูกธนูยิงอีก คงจะอดทนอีกได้ไม่นาน ส่วนเด็กชายก็ยังคงตัวสั่นระริกอยู่ในอ้อมกอดของทหารที่กัดปากแน่นและวิ่งด้วยพลังทั้งหมดที่มี เมื่อเดินทางมาถึงชายแดน ในท้ายที่สุดทหารก็ต้องได้ลิ้มรสกับความสิ้นหวังอันโหดร้าย 

 

 

“สายไปแล้วสินะ ระหว่างทางที่มาก็คิดไว้แล้วว่าจะต้องตายแน่ๆ” 

 

 

จากการนับคร่าวๆ ทหารที่ได้รับการฝึกฝนมีประมาณสิบหกคน ซึ่งไม่ว่าทหารเพียงคนเดียวที่หมดแรงแล้วจะเก่งกาจแค่ไหนก็ไม่มีทางเอาชนะพวกเขาได้ แต่เขาก็ซ่อนตัวเด็กชายไว้ข้างหลังและกระซิบเบาๆ 

 

 

“หนีไปพ่ะย่ะค่ะ ให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้ ต้องรอดชีวิตไปให้ได้พ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

“ข้าทำไม่ได้หรอก” 

 

 

ทหารที่พาเด็กชายมาจนถึงที่นี่คือหัวหน้าทหารองครักษ์ขององค์รัชทายาทผู้ซึ่งเปี่ยมไปด้วยความสามารถอันโดดเด่ดแม้แต่ที่ฮเยกุก แม้จะเป็นการต่อสู้ที่ไร้หนทางชนะ แต่เขาก็สามารถอดทนมาได้สักพักใหญ่ทีเดียว ทว่ามันก็ถึงขีดจำกัดแล้ว ก่อนที่เด็กชายจะพ้นสายตาของพวกเขาไป คมดาบอันแหลมคมก็แทงตรงเข้ามาที่แผ่นหลังพร้อมกับเลือดที่ไหลรินลงมา ความโหดเ**้ยมอำมหิตอันน่าขนลุกทำให้เด็กชายรู้สึกถึงจุดจบของชีวิตอันแสนสั้น ทว่าสิ่งที่สัมผัสตัวเด็กชายซึ่งหลับตาพร้อมรับความตายนั้นกลับไม่ใช่คมดาบ หากแต่เป็น… 

 

 

“ไล่ฆ่าพวกผู้ใหญ่ทั้งหมด ก็เพื่อจับตัวไอ้หนูน้อยนี่คนเดียวน่ะหรือ” 

 

 

เสียงผู้ชายที่ฟังดูกระแทกกระทั้นอย่างไรก็ไม่รู้ ภาษาเหมือนกันแต่สำเนียงการพูดต่างกัน สายตาของเด็กชายที่เหลียวหลังมองอย่างช้าๆ ด้วยดวงตาสีน้ำตาลซึ่งเต็มไปด้วยความกลัว มองเห็นเหล่าทหารที่นอนกระจัดกระจายกันราวกับใบไม้ร่วง อย่าบอกนะว่าผู้ชายคนนี้ฆ่าหมดเลยคนเดียว ในพริบตาเดียวแบบนี้เลยหรือ เด็กชายมองรอบๆ อย่างกระวนกระวายใจ ก่อนจะพบผู้ชายที่คุ้นหน้ายืนอยู่ท่ามกลางบรรดาทหารที่หมดสติไปและรีบวิ่งไปทางฝั่งนั้น 

 

 

“จินชอน! จินชอน!” 

 

 

“ฝ่าบาท โปรด…ชีวิต…” 

 

 

หัวหน้าทหารองครักษ์ผู้ซึ่งเลี้ยงดูเด็กชายมาตั้งแต่ก่อนเริ่มหัดเดินหลับตาลง โดยที่ยังไม่ทันได้พูดคำสั่งเสียสุดท้าย ชายหนุ่มทอดสายตามองดูพวกเขาด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ เขาเช็ดคมดาบที่เปื้อนเลือดกับเสื้อของทหารที่นอนกระจัดกระจายอยู่ข้างๆ แล้วเสียบกลับไปไว้ตรงเอวเหมือนเดิม มันคือดาบสีนิลที่มีสีดำสนิทราวกับยามกลางคืน เขาทิ้งเด็กชายที่น้ำตาไหลพรากเพราะสายตาของหัวหน้าทหารองครักษ์ไว้ข้างหลัง ก่อนจะเดินออกไปอย่างเนิบนาบ 

 

 

“ดะ เดี๋ยวก่อน! จะไปไหนน่ะ!” 

 

 

แม้จะเป็นชายแปลกหน้าซึ่งไม่เคยรู้จักกันมาก่อน แต่เด็กชายก็รู้ว่าผู้ชายคนนั้นช่วยตนเพราะสัญชาตญาณ ทั้งยังรู้ด้วยว่าชายผู้นั้นไม่ได้ตั้งใจจะช่วยตนเองเช่นกัน 

 

 

“เด็กตัวเท่าถั่วอย่างเจ้ามาพูดจาห้วนๆ กับผู้ใหญ่ได้ที่ไหนกัน” 

 

 

ชายหนุ่มบ่นงึมงำโดยที่ยังไม่หยุดเดิน แม้ในตอนที่เด็กชายรีบลุกพรวดวิ่งไปจับชายเสื้อของเขาไว้ก็ตาม นอกจากนั้นยังเขย่าชายเสื้อและเกาะแกะจนเขาน่าจะรำคาญด้วย 

 

 

“ช่วยข้าด้วย แล้ววันหลังข้าจะตอบแทนให้อย่างงาม” 

 

 

“ดูท่าคงจะเกิดเรื่องขึ้นสินะ ก่อนอื่นเลย ข้าช่วยเจ้าไว้เพราะนึกถึงลูกชายขึ้นมา แต่ก็ไม่สามารถช่วยได้อีก หากลงไปอีกนิดหน่อยก็จะมีหมู่บ้าน อยู่รอดด้วยตัวเองไปเถอะ” 

 

 

เด็กชายปล่อยชายเสื้อแล้วทรุดนั่งลงไปกับพื้น มึนงงไปพักหนึ่งขณะที่จ้องมองแผ่นหลังของเขา ความไม่เป็นสองรองใครและดูถูกเหยียดหยามผู้อื่น ชีวิตของเด็กชายเป็นเช่นนั้น เพราะเขาคือผู้แซงหน้าเหล่าพี่ชายและได้รับแต่งตั้งให้เป็นองค์รัชทายาททันที หลังจากเกิดมาเป็นโอรสของพระมเหสีเอก จนกระทั่งหนึ่งในบรรดาพี่ชายของเขาไปจับมือกับพระมเหสีองค์ที่สามผู้ซึ่งเข้ามาใหม่หลังจากการตายของแม่บังเกิดเกล้า ไม่ใช่สิ จนกระทั่งเขาร่วมมือกับพระมเหสีองค์นั้นเพื่อฆ่าพี่น้องทั้งหมดและขึ้นครองราชบัลลังก์ด้วยตัวเองทันทีที่อดีตพระราชาเสด็จสวรรคต แต่ตอนนี้เด็กชายตระหนักถึงสถานการณ์ที่ตัวเองกำลังเผชิญอยู่ได้ดีกว่าครั้งไหนๆ 

 

 

“ได้โปรด…ช่วยข้าด้วยเถิด” 

 

 

ชายหนุ่มที่เดินออกไปไกลหยุดฝีเท้าราวกับได้ยินเสียงอันแผ่วเบานั้น แผ่นหลังนั้นขยับใกล้เข้ามาหาจิน 

 

 

“ได้โปรดช่วยข้าด้วย แล้วข้าจะตอบแทนบุญคุณของท่าน” 

 

 

ชักจะน่ารำคาญแล้วสิ ชายหนุ่มบ่นกับตัวเองพลางเกาหลังคออย่างไม่พอใจ หลังจากกลับมาจากการตรวจตราเขตชายแดนก็ว่าจะเก็บสมุนไพรหายากเสียหน่อยจึงขึ้นเขามาจนลึก และดันมาพบเด็กน้อยที่ถูกไล่ตามมาพอดี แต่เพราะว่าบุตรชายคนที่สามจากในบรรดาบุตรทั้งสี่คนของเขาที่อยู่ที่บ้านมีรุ่นราวคราวเดียวกับเจ้าหนูน้อยนี่ เขาจึงไม่สามารถเมินเฉยต่อเด็กชายที่น่าจะตายในอีกไม่ช้าหากปล่อยทิ้งไว้ไปได้ 

 

 

หลังจากกวัดแกว่งดาบไปตามเรื่องตามราวและโค่นพวกทหารทั้งหมดได้ จึงได้รู้ว่าชุดที่เด็กคนนั้นสวมใส่อยู่คือชุดที่พวกราชวงศ์ของฮเยกุกสวมใส่กัน และเห็นว่าเด็กชายคนนั้นนอนอยู่ที่พื้นโดยสูญเสียความมีเกียรติไปหมดสิ้น ได้ยินมาว่าบรรดาองค์ชายของฮเยกุกถูกสังหารหมู่ไปหมดแล้วหลังจากเกิดการก่อกบฏขึ้น หรือว่าเขาจะเป็นองค์ชายที่มีชีวิตเหลือรอดด้วยความโชคดี ภายในหัวของเขาคิดถึงเรื่องความสัมพันธ์ของแทซากุกกับฮเยกุกในตอนนี้ พระราชาผู้ซึ่งเป็นกษัตริย์ของตนและใบหน้าของภรรยาซึ่งน่ากลัวเสียยิ่งกว่าพระราชาขึ้นมาตามลำดับก่อนจะเลือนหายไป แต่ความกังวลของเขาไม่ได้มากมายถึงเพียงนั้น 

 

 

“เจ้าชื่ออะไรล่ะ” 

 

 

“…จิน” 

 

 

ไม่บอกแซ่ของราชวงศ์สินะ ฉลาดไม่น้อยทีเดียว ชายหนุ่มหันหลังกลับมาและจู่ๆ ก็ถอดชุดผ้าไหมและรองเท้าหรูหราที่เด็กชายสวมใส่อยู่แล้วโยนออกไปอย่างไม่แยแส แต่เก็บตุ้มหูทองขนาดเล็กที่ติดอยู่ที่หูข้างหนึ่งไว้ในหน้าอก 

 

 

“โฮจิน นี่คือชื่อของเจ้า มีชุมชนแออัดอยู่แถวๆ นี้พอดี เอาเป็นว่าข้าเก็บเจ้ามาจากที่นั่นแล้วกัน จงลืมชีวิตที่ผ่านมาไปซะ” 

 

 

ในยามค่ำคืนที่มีเพียงพระจันทร์เสี้ยวเรืองรองเฝ้ามองพวกเขา นั่นคือการพบกันครั้งแรกของยูจิน องค์ชายแห่งฮเยกุกที่ถูกขับไล่มาจากการยึดอำนาจและซอดู รองเจ้ากรมกลางโหมวัยหนุ่มซึ่งในภายหลังได้มาเป็นมหาเสนาบดีของแทซากุกซึ่งมีอำนาจเป็นรองจากพระราชา 

 

 

 

 

 

* * * 

 

 

 

 

 

หลังจากฟาดโฮจินไปหลายรอบ รยูฮาก็พยายามสงบจิตสงบใจพร้อมกับลดเสียงต่ำลง 

 

 

“ถ้าอย่างนั้น เจ้าก็คือองค์ชาย?” 

 

 

“ใช่แล้วขอรับ” 

 

 

โฮจินยักไหล่อย่างขี้เล่นและยังคงเป็นโฮจินที่รยูฮารู้จักเหมือนเดิม แม้จะเปิดเผยตัวตนแล้วก็ตาม ท่านพ่อที่มักจะออกจากบ้านไปเป็นเวลานานในสมัยที่นางยังเล็กๆ เคยกลับบ้านมาพร้อมกับมีเด็กชายที่ไหนไม่รู้คนหนึ่งติดสอยห้อยตามมาด้วย เด็กคนนั้นที่ท่านพ่อเห็นว่ากำพร้าพ่อแม่และเดินเร่ร่อนอยู่จึงเก็บมา ซึ่งนั่นก็ไม่ต่างอะไรกับขอทาน แต่หลังจากเข้ามาในบ้านของตระกูลขุนนาง นอกจากจะไม่เศร้าซึมแล้ว ยังอ่านหนังสือออกแถมยังหยิ่งยโสมากอีกด้วย แต่ในระหว่างที่ได้อยู่ด้วยกันเป็นเวลานาน นางก็เริ่มชินกับท่าทางของเขาและไม่ได้คิดอะไรอีก 

 

 

“แล้วทำไมต้องหลบหนีไปที่ฮเยกุกด้วยล่ะ” 

 

 

“เพราะท่านอาจารย์สั่งว่าอย่างนั้น” 

 

 

มันคือคำสั่งที่ท่านมหาเสนาบดีมอบให้โฮจินซึ่งเป็นผู้ร้ายพร้อมกับป้ายประจำตัวกับกลุ่มพล จงพากลุ่มไปยังฮเยกุกและสอดแนมการเคลื่อนไหวซะ เป็นไปตามที่คาดไว้ พระราชาซึ่งได้ขึ้นครองราชบัลลังก์แต่ไร้ทายาทสืบสกุลเริ่มตามหาพี่น้องที่ยังรอดชีวิตอยู่เพียงคนเดียวในตอนที่สายเกินไป แต่โฮจินรู้สึกได้ว่าอันตรายกำลังเข้ามาใกล้จึงว่าจะรีบถอยทัพออก แต่เพราะได้รับการเรียกตัวอย่างเร่งด่วนของรยูฮาพอดี การพาแชยอนไปด้วยค่อนข้างจะเสี่ยงอันตราย เขาจึงกลับมายังแทซากุกด้วยตัวคนเดียว 

 

 

“แล้วตอนนี้เกิดอะไรขึ้น” 

 

 

“หลังจากต้องไปติดอยู่ในหุบเขาในระยะหนึ่ง ข้าก็เลยไม่รู้ว่าสถานการณ์ข้างนอกนั่นเป็นอย่างไรบ้าง แต่ดูเหมือนว่าไอ้หมอนั่นหรือท่านพี่ของข้าน่าจะหากลุ่มเจอแล้วอย่างแน่นอน แต่ในคราวนี้เพราะว่าข้าต้องออกตามหามินอา จึงส่งหน่วยข่าวกรอกออกไปแทน แต่ก็ไม่ได้ยินข่าวคราวใดๆ มานานแล้วขอรับ” 

 

 

“ถ้าอย่างนั้นก็คงจะไม่ได้ตามหาเพื่อจะฆ่าเจ้าสินะ” 

 

 

“ขอรับ เขาตามหาเพื่อให้ข้าเป็นรัชทายาทขอรับ ในคราวนี้น่ะ” 

 

 

“ถ้าอย่างนั้นก็บอกไปสิว่าจะทำ” 

 

 

“พูดอะไรน่าขนลุก”