ตอนที่ 178 ปีศาจปลาไนน้ำ

ลำนำสตรียอดเซียน

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกของโม่เทียนเกอในการต่อสู้กับสัตว์ปีศาจระดับห้า แต่นี่เป็นครั้งแรกของนางในการต่อสู้ใต้น้ำ

 

 

จากที่ไกลๆ เริ่นอวี่เฟิงและเซี่ยงจือหยางกำลังรีบเร่งเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง ไม่แน่ชัดนักว่าพวกเขาใช้วิชาหลบหนีแบบใด แต่ความเร็วของพวกเขาตอนนี้เร็วกว่าเมื่อพวกเขาอยู่บนพื้นดินอย่างไม่น่าเชื่อ คาดว่าผู้ฝึกตนสำนักเจิ้งฝ่าคงจะเก่งในการใช้เวทมนตร์ธาตุน้ำ ดังนั้นการใช้วิชาหลบลี้หนีน้ำที่ใต้น้ำจึงเหมาะสำหรับพวกเขามาก

 

 

ขณะที่ทั้งสองคนยังคงรีบเข้ามา พวกเขาก็ตะโกน “ม่านพลัง!”

 

 

ลู่หรงเซิงกวัดแกว่งกระบี่ไม้ของเขาทันทีและตะโกน “เปิดม่านพลัง!”

 

 

ทั้งเจ็ดคนเสกคาถาของพวกเขาพร้อมกัน รังสีระยิบระยับปรากฏขึ้นบนพื้นผิวของเกราะป้องกัน ก่อให้เกิดเป็นช่องว่างเล็กๆ ซึ่งทำให้เริ่นอวี่เฟิงและเซี่ยงจือหยางเหาะเข้ามาในม่านพลังได้

 

 

ลู่หรงเซิงตะโกนอีกครั้ง “ปิดม่านพลัง!”

 

 

ช่องว่างเล็กๆ ปล่อยแสงวิญญาณและในชั่วพริบตาช่องว่างนั้นก็หายวับไป

 

 

ทันทีหลังจากที่เกราะป้องกันปิดสนิท ลมปราณของปีศาจปลาไนน้ำก็กระเพื่อมเข้ามาหาพวกเขาอย่างรุนแรง ชั่วขณะหนึ่ง คนทั้งสิบภายในเกราะป้องกันล้วนตัวซีดเผือด

 

 

ถึงแม้พวกเขาจะคิดหาวิธีต่อกรกับสัตว์ปีศาจตัวนี้มานานแล้ว ทว่าระดับของมันก็ยังเทียบเท่ากับดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลัง ในฐานะผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังงาน พวกเขายังครองสติอยู่ได้อย่างยากลำบากเมื่อเผชิญกับแรงเคลื่อนไหวล้นทะลักที่น่าเกรงขามของมัน

 

 

เริ่นอวี่เฟิงตะโกน “ศิษย์น้อง สงบสติเอาไว้! ม่านพลังล่องหนเจ็ดดาราของเราจะสามารถสกัดกั้นมันไว้ได้แน่!”

 

 

พอถึงเวลาที่เขาพูดจบ ปีศาจปลาไนน้ำก็สังเกตเห็นพวกเขาแล้ว สัตว์ปีศาจโดยทั่วไปมักจะพึ่งสัญชาตญาณมากกว่าและเนื่องจากปีศาจปลาไนน้ำถูกทำให้โกรธจนเดือดดาล มันจึงเอาหัวกระแทกกับเกราะป้องกันทันทีเมื่อเห็นพวกเขา!

 

 

โม่เทียนเกอฝืนตัวเองให้สงบนิ่ง นางมองจากภายในม่านพลัง ปีศาจปลาไนน้ำตัวใหญ่มากกว่าพวกเขาทั้งสิบคนรวมกัน และทั้งตัวของมันก็ดำขลับอย่างกับหมึกดำ มันดูเหมือนกับปลาคาร์พปกติทั่วไปแต่มีหัวขนาดมโหฬาร ปากดำและฟันไขว้กัน มันช่าง… น่าเกลียดน่ากลัว!

 

 

ขณะที่ปีศาจปลาไนน้ำเอาหัวพุ่งเข้าหาพวกเขา แรงเคลื่อนไหวของสัตว์ปีศาจระดับห้าทะลักออกมาอย่างแรงและโม่เทียนเกอก็เกือบจะคิดว่าพวกเขาคงโดนมันกลืนกินแน่ๆ แล้ว อย่างไรก็ตาม มันถูกสกัดกั้นไว้ด้วยเกราะป้องกันสีฟ้า วินาทีที่สัตว์ปีศาจกระแทกเข้ากับเกราะป้องกัน แสงสีฟ้าบนพื้นผิวของเกราะป้องกันส่องแสงวูบวาบ แต่สามารถสกัดกั้นสัตว์ปีศาจไว้ได้ในท้ายที่สุด

 

 

เมื่อเห็นว่าเกิดอะไรขึ้น ไม่เพียงแต่โม่เทียนเกอเท่านั้น แต่ขนาดเริ่นอวี่เฟิงและคนอื่นๆ ยังถอนใจด้วยความโล่งอกเช่นกัน ในเมื่อพวกเขาวางม่านพลังไว้ พวกเขาจึงมั่นใจกับประสิทธิภาพของมันเป็นธรรมดา แต่อย่างไรก็ตาม ความมั่นใจของพวกเขาก็ยังจำเป็นต้องอิงตามหลักความจริง ตอนนี้ที่พวกเขาเห็นแล้วว่ามันสามารถขัดขวางปีศาจปลาไนน้ำได้ รอยยิ้มจึงปรากฏขึ้นบนใบหน้าพวกเขาในท้ายที่สุด

 

 

“ศิษย์น้องทั้งชายและหญิง! พวกเจ้าก็เห็นด้วยตัวเองแล้ว เราควรจะปฏิบัติตามแผนของเราเสียเลยตอนนี้!”

 

 

ทุกคนส่งเสียงเห็นด้วยจากนั้นจึงตั้งมั่นอยู่ประจำตำแหน่งของตัวเอง เริ่นอวี่เฟิงพูดกับโม่เทียนเกอว่า “ศิษย์น้องเยี่ย ปีศาจปลาไนน้ำตัวนั้นมีคาถาที่ทรงพลังมากซึ่งต้องใช้เวลารวบรวมนานมากระหว่างการใช้คาถาแต่ละครั้ง เมื่อคาถานี้ผ่านไป เราจะเปิดม่านพลังชั่วคราวและเจ้าจะต้องโจมตีมันด้วยพละกำลังทั้งหมดที่มี”

 

 

“ตกลง” นั่นมันไม่ยากแต่… นางคิดครู่หนึ่งแล้วจึงถามเริ่นอวี่เฟิง “ศิษย์พี่เริ่น เมื่อเราเปิดม่านพลัง หรือว่าเราจะ…”

 

 

“ศิษย์น้องเยี่ยแค่ต้องเชื่อเรา!” ก่อนนางจะทันถามคำถาม เริ่นอวี่เฟิงก็พูดตัดบทนาง เขากำลังดูปีศาจปลาไนน้ำอย่างประหม่า ไม่สนใจจะตอบคำถามของโม่เทียนเกอ ความยโสของเขาจากเมื่อครั้งแรกที่พวกเขาพบกันตอนนี้ถูกแสดงออกมาอย่างเต็มที่โดยไม่รู้ตัว

 

 

โม่เทียนเกอขมวดคิ้วแต่ไม่ได้พูดอะไร ด้วยสถานะปัจจุบันของนางที่โรงเรียนเสวียนชิง ไม่ได้มีคนมากมายนักที่พูดเช่นนั้นกับนางได้ นางเป็นศิษย์ของประมุขเต๋าจิงเหอ เพราะฉะนั้นใครกันจะกล้ากวนใจนาง นิสัยของเริ่นอวี่เฟิงไม่ดีจริงๆ แต่นางก็สงสัยว่าพละกำลังของเขาจะมีมากพอเป็นเหตุผลให้นิสัยของเขาเป็นแบบนี้หรือไม่

 

 

ขณะที่นางกำลังใช้ความคิด นางได้ยินเริ่นอวี่เฟิงตะโกนอย่างดัง “เดี๋ยวนี้เลย! เปิดม่านพลัง!”

 

 

ลู่หรงเซิงโบกกระบี่ไม้ในมือเขาทันที “เปิดม่านพลัง!”

 

 

ในชั่วพริบตา ช่องโหว่เล็กๆ ปรากฏขึ้นในเกราะป้องกันด้านบนพวกเขา

 

 

เริ่นอวี่เฟิงตะโกนอีกครั้ง “โจมตีได้!”

 

 

โม่เทียนเกอยกมือขึ้นทำให้กระสวยอัปสราลอยออกไปนอกม่านพลังผ่านช่องโหว่เล็กๆ นั้น เปลี่ยนเป็นลำแสงสีทองซึ่งยิงเข้าใส่ปีศาจปลาไนน้ำ ในขณะเดียวกันเครื่องมือเวทของเริ่นอวี่เฟิงและเซี่ยงจือหยางก็ลอยออกไปเช่นกัน แต่เครื่องมือเวทของพวกเขาเป็นแค่กระบี่บินเท่านั้น คาดว่าพวกเขาคงไม่มีเวลาขัดเกลาเครื่องมือเวทด้วยคุณสมบัติของธาตุอื่น ดังนั้นพวกเขาจึงใช้กระบี่บินธรรมดา

 

 

กระบี่บินของเริ่นอวี่เฟิงและเซี่ยงจือหยางแทงเข้าใส่ปีศาจปลาไนน้ำอย่างรวดเร็ว แต่ผิวหนังของมันแข็งมาก กระบี่บินทั้งสองทำให้เกิดแค่รอยข่วนสีขาวรอยเดียวและไม่สามารถแทงผ่านตัวของมันได้

 

 

กระสวยอัปสราของโม่เทียนเกอขยับ ลำแสงสีทองหมุนวนรอบตัวปีศาจปลาไนน้ำและล้อมมันไว้ ขณะนั้นกระบี่บินทั้งสองเล่มก็ได้กลับสู่เจ้าของด้วยความพ่ายแพ้ เริ่นอวี่เฟิงตะโกน “ศิษย์น้องเยี่ย เร็วเข้า!”

 

 

โม่เทียนเกอไม่เหลือบมองเขาด้วยซ้ำ ชั่วขณะที่ลำแสงสีทองอยู่ใต้หัวของปีศาจปลาไนน้ำพอดี ทันใดนั้นลำแสงก็แทงเข้าร่างของมัน ปีศาจปลาไนน้ำร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดและโกรธจนบ้าระห่ำขึ้นทันที

 

 

ในทางกลับกัน เริ่นอวี่เฟิงและคนอื่นๆ ตื่นเต้นไปด้วยความดีใจ เครื่องมือเวทของโม่เทียนเกออย่างน้อยก็สามารถทำให้สัตว์ปีศาจบาดเจ็บได้ ดังนั้นท้ายที่สุดแล้วการเดินทางของพวกเขาจึงไม่สูญเปล่า

 

 

“ศิษย์น้องเยี่ย!” เริ่นอวี่เฟิงตะโกน “ทุกอย่างขึ้นอยู่กับเจ้าแล้ว!”

 

 

แทนที่จะตอบ โม่เทียนเกอกลับเอาเครื่องรางระดับสูงกองหนึ่งออกมาและเขวี้ยงไปข้างหน้า

 

 

หลังจากนั้นพวกเขาเห็นทรายในน้ำข้างนอกกำลังผุดขึ้นเป็นฟองอย่างรุนแรง โม่เทียนเกอโยนเครื่องรางธาตุดินออกไป!

 

 

ปีศาจปลาไนน้ำสัมพันธ์กับธาตุน้ำและธาตุดินข่มธาตุน้ำ เครื่องรางเหล่านี้มุ่งเป้าไปที่จุดอ่อนของมันได้อย่างสมบูรณ์แบบ

 

 

ปีศาจปลาไนน้ำโกรธจัด ทันใดนั้นเอง จู่ๆ มันก็ตวัดหางฟาดเข้ากับเกราะป้องกันและทำให้เกราะสีฟ้าเริ่มสั่นสะท้าน ลู่หรงเซิงที่กำลังรักษาม่านพลังให้คงอยู่กระอักเลือดออกมา ถึงแม้พวกเขาจะเตรียมตัวมานาน แต่การโจมตีอย่างเกรี้ยวกราดของสัตว์ปีศาจระดับห้าก็ไม่ง่ายที่จะต้านทาน

 

 

ในสภาวะคลุ้มคลั่งของมัน ปีศาจปลาไนน้ำดูเหมือนกำลังเตรียมใช้เวทมนตร์อะไรสักอย่าง เริ่นอวี่เฟิงตะโกน “หยุดโจมตี! ปิดม่านพลัง!”

 

 

เมื่อโม่เทียนเกอได้ยินสิ่งที่เขาพูด นางเคลื่อนพลังวิญญาณของนางและถอนกระสวยอัปสรากลับและทันทีหลังจากนั้นม่านพลังก็ปิดลงอีกครั้ง

 

 

เพราะมันไม่สามารถเห็นหรือโจมตีกลุ่มพวกเขาได้ ความโกรธของปีศาจปลาไนน้ำจึงเพิ่มขึ้นอีกครั้งและเหวี่ยงหางชนปะทะเข้ากับเกราะป้องกันด้วยแรงทั้งหมดของมัน ขณะที่มันปะทะเข้าหลายๆ ที ลู่หรงเซิงกระอักเลือดออกมาเต็มปากหลายครั้ง

 

 

เมื่อเห็นเช่นนี้ เริ่นอวี่เฟิงรีบสั่งการ “ศิษน์น้องเซี่ยง สลับที่กับศิษย์น้องลู่!”

 

 

เซี่ยงจือหยางส่งเสียงรับคำสั่งและเดินไปที่ตำแหน่งของลู่หรงเซิง จากนั้นเขาเอาอาวุธเวทซึ่งเป็นแผ่นหยกบันทึกออกมา

 

 

สถานการณ์ปัจจุบันของพวกเขาทำให้โม่เทียนเกอนิ่วหน้า เซี่ยงจือหยางเข้ามาแทนที่ตำแหน่งของลู่หรงเซิง ลู่หรงเซิงไม่ได้ช่วยเหลืออะไรพวกเขาในตอนนี้เนื่องด้วยอาการบาดเจ็บรุนแรงของเขา เมื่อเป็นเช่นนั้น คนพวกเดียวที่ช่วยรุกอย่างต่อเนื่องตอนนี้จึงมีเพียงแค่เริ่นอวี่เฟิงและตัวนาง กระบี่บินของเริ่นอวี่เฟิงสามารถทำร้ายสัตว์ปีศาจได้อย่างมีขีดจำกัด ดังนั้นพวกเขาจึงต้องหวังพึ่งแค่นางคนเดียวเพื่อให้จัดการกับปีศาจ… พูดตามตรง โม่เทียนเกอก็ไม่มั่นใจเลยว่านางจะทำได้

 

 

ถึงอย่างนั้น แม้ว่านางจะอยากถอย แต่สถานการณ์ปัจจุบันของพวกเขาทำให้เป็นไปไม่ได้ที่นางจะทำเช่นนั้น นางต้องกัดฟันและอดทนต่อไป

 

 

“ศิษย์น้องเยี่ย” ระหว่างการโจมตี เริ่นอวี่เฟิงมองนางและพูดว่า “เครื่องมือเวทของเจ้าน่าทึ่งดีนะ”

 

 

โม่เทียนพูดว่า “ท่านอาจารย์ของข้ามอบให้เมื่อข้าสร้างฐานแห่งพลังงานสำเร็จ โชคดีที่มันมีประโยชน์”

 

 

“อย่างนั้นหรือ” เริ่นอวี่เฟิงถาม “ศิษย์น้องเยี่ย ผู้ฝึกตนคนไหนจากโรงเรียนเสวียนชิงที่เป็นท่านอาจารย์ของเจ้าหรือ ข้าเคยเดินทางไปคุนอู๋เมื่อข้ายังเด็ก ดังนั้นข้าจึงคุ้นเคยกับผู้อาวุโสบางท่านในโรงเรียนเสวียนชิง บางทีข้าอาจจะคุ้นเคยกับท่านอาจารย์ของเจ้า”

 

 

โม่เทียนเกอหัวเราะและพูดกว้างๆ “ข้าเป็นศิษย์แห่งยอดเขาวสันต์กระจ่าง ท่านอาจารย์ของข้าไม่ออกจากภูเขามาหลายปีแล้ว ศิษย์พี่เริ่นคงจำเขาไม่ได้หรอก”

 

 

“อ้อ…” คำตอบของนางคลุมเครือ แต่เริ่นอวี่เฟิงก็เป็นคนเข้าใจง่าย เขาเห็นว่านางไม่ต้องการพูดมากเกินไปเกี่ยวกับเรื่องนั้น ดังนั้นเขาจึงหยุดถาม เขาแค่เหลือบมองนางอย่างครุ่นคิดอยู่หลายครั้งก่อนที่จะเฝ้าดูปีศาจปลาไนน้ำด้านนอกเกราะป้องกันต่อไป

 

 

ม่านพลังล่องหนเจ็ดดาราของสำนักเจิ้งฝ่านั้นยอดเยี่ยม ภายใต้โทสะของปลาไนน้ำ ม่านพลังยังสามารถต้านทานการโจมตีของมันได้อย่างหนักแน่น

 

 

โอกาสครั้งที่สองในการเปิดม่านพลังของพวกเขามาถึงเร็วมาก ครั้งนี้เพราะปีศาจปลาไนน้ำบาดเจ็บอยู่แล้ว ในที่สุดกระบี่บินของเริ่นอวี่เฟิงจึงได้ผล ตอนนี้มันสามารถทิ้งรอยบากได้บ้างเมื่อปะทะเข้ากับตัวของปีศาจปลาไนน้ำ

 

 

โม่เทียนเกอยังคงจู่โจมโดยใช้กระสวยอัปสราของนาง แต่ในระหว่างนั้นนางโยนเข็มบินได้และมีดขว้างเล่มเล็กๆ ไปด้วยเช่นกัน โชคร้ายที่ผิวหนังของปีศาจปลาไนน้ำนั้นหนามาก ดังนั้นนอกเหนือจากกระสวยอัปสราแล้ว อาวุธอย่างอื่นจึงไม่สามารถทำให้เกิดบาดแผลเด่นชัดอะไรต่อมันได้ ส่วนพวกเครื่องรางนั้นก่อนหน้านี้นางใช้เครื่องรางระดับสูงไปหลายอันและไม่มีเหลืออยู่มากแล้วในตอนนี้ นางจึงไม่อยากจะเสียของไปเปล่าๆ อีก

 

 

หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง ปีศาจปลาไนน้ำควบคุมอารมณ์ไม่ได้ พวกเขาจึงปิดม่านพลังลงอีกครั้ง

 

 

ทำซ้ำเช่นนี้อยู่หลายครั้ง ปีศาจปลาไนน้ำไม่สามารถทำอะไรพวกเขาได้และได้รับบาดเจ็บเล็กๆ น้อยๆ อีกนับไม่ถ้วน ดังนั้นในท้ายที่สุดมันก็ค่อยๆ หมดแรงไปทีละนิด ทำให้การเคลื่อนไหวของมันช้าลง

 

 

เมื่อเห็นเช่นนี้ เริ่นอวี่เฟิงพูดด้วยความดีใจ “ทุกคน อดทนไว้! การเคลื่อนไหวของปีศาจปลาไนน้ำกำลังช้าลงแล้ว ในไม่ช้าเราก็จะสามารถทำให้มันเหนื่อยจนตายได้!”

 

 

หลังจากได้ยินเช่นนี้ ผู้ฝึกตนสำนักเจิ้งฝ่าที่กำลังเฝ้าดวงตาแห่งม่านพลังอย่างเหน็ดเหนื่อยหันเหสายตาของพวกเขาไปมองที่ปีศาจปลาไนน้ำ ทุกคนต่างมีกำลังใจดีขึ้น แม้แต่ลู่หรงเซิงที่กำลังนั่งขัดสมาธิเพื่อฟื้นตัวก็ยังลืมตาขึ้นเช่นกัน

 

 

เซี่ยงจือหยางผู้ที่ทำหน้าที่แทนลู่หรงเซิงในการควบคุมม่านพลังก็เงยหน้าขึ้นมองเช่นกัน แต่แล้วเขาพูดอย่างอ่อนแรง “ศิษย์พี่เริ่น… ครั้งนี้ต้องได้ผลนะเพราะข้าไม่สามารถทนได้อีกนานไปกว่านี้แล้ว…”

 

 

สำหรับม่านพลังอย่างม่านพลังเพิ่มพลังป้องกันนี้ คนที่รับหน้าที่ควบคุมม่านพลังต้องทนกับภาระอันหนักหน่วงมากกว่าคนอื่นๆ ในกลุ่มของพวกเขารวมถึงโม่เทียนเกอ มีผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังงานขั้นกลางแค่สามคนและขั้นสุดท้ายหนึ่งคนเท่านั้น เริ่นอวี่เฟิงต้องคอยสั่งการกำกับคนอื่น และโม่เทียนเกอก็ไม่เข้าใจวิชาที่ใช้กันโดยสำนักเจิ้งฝ่า ดังนั้นจึงมีเพียงลู่หรงเซิงและเซี่ยงจือหยางที่สามารถควบคุมม่านพลังนี้ได้ ในเมื่อลู่หรงเซิงใช้พละกำลังของเขาไปจนหมดสิ้นแล้วจึงไม่มีใครสามารถทำแทนเซี่ยงจือหยางได้อีก

 

 

สภาพปัจจุบันของเซี่ยงจือหยางทำให้เริ่นอวี่เฟิงบ่นพึมพำด้วยความลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนเขาจะพูดว่า “ถ้าศิษย์น้องเซี่ยงไม่สามารถทนต่อไปได้อีก ครั้งหน้าที่เราเปิดม่านพลัง เราควรสู้สุดแรงและฆ่าปีศาจปลาไนน้ำให้ได้!”

 

 

คำพูดของเขาที่จริงแล้วพุ่งเป้ามาที่โม่เทียนเกอผู้ซึ่งกำลังทำสมาธิอยู่ขณะนั้น ถึงแม้นางจะไม่จำเป็นต้องใช้พลังวิญญาณอย่างต่อเนื่อง แต่การโจมตีสัตว์ปีศาจระดับห้าก็ยังทำให้นางต้องเสียพลังวิญญาณไปอย่างมหาศาล ดังนั้นนางจึงต้องใช้เวลาช่วงสั้นๆ นี้ให้คุ้มค่าที่สุดในการฟื้นฟูพลังวิญญาณให้ได้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้

 

 

โม่เทียนเกอลืมตาและยืนขึ้น “ศิษย์พี่เริ่น ข้าไม่มีเครื่องรางเหลืออยู่อีกมากนัก ข้าไม่มั่นใจจริงๆ ว่าข้าจะสามารถฆ่ามันได้ทันทีในครั้งต่อไปที่เราเปิดม่านพลัง”

 

 

“วางใจเถอะศิษย์น้องเยี่ย” เริ่นอวี่เฟิงพูดอย่างร้อนใจ “เจ้าแค่ต้องใช้เครื่องรางของเจ้า เมื่อเราเจอสมบัติ เราจะให้ส่วนแบ่งที่มากขึ้นแน่นอน”

 

 

“…” โม่เทียนเกออยากจะบอกว่านางไม่ได้หมายความเช่นนั้น แต่เมื่อพิจารณาให้ดีนางจึงไม่ได้พูดอะไรอีก นางยังมีท่าไม้ตายอีกอย่างที่นางยังไม่ได้ใช้เพราะนางรู้สึกว่าพวกเขายังไม่ถึงจุดที่จำเป็นต้องใช้ แต่ถึงอย่างนั้น ตอนนี้นางไม่สามารถกังวลเรื่องนั้นได้ นอกเหนือจากนาง ผู้ฝึกตนสำนักเจิ้งฝ่าทั้งหมดไม่มีวิธีที่มีประสิทธิภาพในการสู้กับปีศาจปลาไนน้ำ ถ้านางไม่ใช้ท่าไม้ตายสุดท้ายของนางและเกราะป้องกันของพวกเขาถูกทำลายลง นางจะต้องตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากแน่

 

 

ขณะที่นางกำลังตกอยู่ในภวังค์ความคิด ม่านพลังถูกเปิดขึ้นอีกครั้ง เริ่นอวี่เฟิงตะโกน “ศิษย์น้องเยี่ย เจ้าต้องทุ่มสุดแรง!” หลังจากเขาพูดจบ กระบี่บินของเขาโจมตีนำไปก่อน

 

 

โม่เทียนเกอไม่ลังเล นางเขวี้ยงกระสวยอัปสราไปข้างหน้าและในขณะเดียวกัน จิตสัมผัสของนางซึ่งกลายเป็นรูปธรรมหลังจากใช้ศาสตร์หลอมจิตวิญญาณทำให้แกร่งขึ้นก็แผ่ขยายออกไปเช่นกัน!

 

 

จิตสัมผัสที่เป็นรูปธรรมที่เกิดขึ้นโดยศาสตร์หลอมจิตวิญญาณละเอียดอ่อนมากและล่องหนโดยแท้ ปีศาจปลาไนน้ำระดับห้าจึงแค่รู้สึกว่ามีอะไรกำลังโจมตีมัน มันสะบัดครีบพยายามจะปัดจิตสัมผัสออกไป แต่รูปธรรมของจิตสัมผัสยังไม่เทียบเท่ากับคุณสมบัติอื่นๆ ดังนั้นเมื่อมันสะบัดครีบ โม่เทียนเกอจึงปล่อยให้จิตสัมผัสที่เป็นรูปธรรมกระจายไปทันทีและเปลี่ยนให้กลายเป็นจิตสัมผัสธรรมดา

 

 

ดวงตาของปีศาจปลาไนน้ำกลอกไปทั่วด้วยความสับสน อย่างไรก็ตาม ในวินาทีต่อมา จิตสัมผัสของโม่เทียนเกอมาบรรจบกันอีกครั้งและกระแทกเข้าใส่สัตว์ปีศาจอย่างไม่ปรานี

 

 

“บุ๋ง!” ปีศาจปลาไนน้ำครวญคราง จิตวิญญาณเริ่มต้นของมันถูกโจมตีเข้าอย่างจัง!

 

 

การรับมือกับศาสตร์หลอมจิตวิญญาณที่จริงแล้วง่ายดายมาก คนผู้นั้นแค่ต้องป้องกันจิตใจและไม่ใช้จิตสัมผัสของตัวเอง ด้วยวิธีนั้นจิตวิญญาณเริ่มต้นของพวกเขาก็จะถูกซ่อนเร้นไว้ลึกอยู่ในทะเลแห่งความรู้ซึ่งไม่มีใครสามารถเข้าถึงได้ตามอำเภอใจ แต่อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกตนหรือสัตว์ปีศาจ ทั้งคู่ต่างต้องใช้จิตสัมผัสไปตามสัญชาตญาณในระหว่างการต่อสู้ จิตสัมผัสของพวกเขาสำคัญเหมือนกับดวงตา เพราะฉะนั้นพวกเขาจะไม่ใช้เครื่องมือนี้ได้อย่างไร โดยเฉพาะกับสัตว์ปีศาจ พวกมันไม่มีความฉลาด การใช้จิตสัมผัสจึงเป็นไปตามสัญชาตญาณ

 

 

ใช้ข้อได้เปรียบจากความจริงที่ว่าจิตวิญญาณเริ่มต้นของปีศาจปลาไนน้ำเพิ่งถูกปะทะเข้าโดยตรง โม่เทียนเกอยังคงโจมตีต่อไป นางขยายจิตสัมผัสที่เป็นรูปธรรมของนางออกไปข้างหน้าอีกครั้งเพื่อทิ่มแทงปีศาจปลาไนน้ำ และในขณะเดียวกันนางยังควบคุมกระสวยอัปสราไปด้วย แสร้งทำว่านางกำลังจะใช้มันเพื่อโจมต