ตอนที่ 492 เตาสามอัคคี

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

ตอนที่ 492 เตาสามอัคคี โดย Ink Stone_Fantasy

พอได้ยินว่าสามารถจัดการเรื่องเมฆอัคคี และทำให้พลังของอัคคีจิตวิญญาณลดลงได้ ฝูงชนย่อมรู้สึกดีใจมาก

หลังจากคนกลุ่มนี้หารือกันรอบหนึ่งแล้ว ในที่สุดก็เห็นด้วยกับแผนทำลายรังอัคคีจิตวิญญาณ

ต่อให้อัคคีจิตวิญญาณกลายพันธุ์เหล่านี้จะมีพลังแข็งแกร่ง แต่ในขณะที่ยังมีพลังอยู่ในระดับของเหลว และศิษย์สายนอกที่มาถึงที่นี่ได้ก็ไม่ใช่คนอ่อนแอ ย่อมไม่มีใครหวาดกลัวอย่างแน่นอน

เพราะเทียบกับแต้มคุณูปการที่จะได้รับเป็นจำนวนมากแล้ว อันตรายแค่นี้นับว่าคุ้มค่ามาก

“ในเมื่อทุกท่านไม่มีข้อคิดเห็นใดๆ แล้ว ก็เหลือคนยี่สิบคนไว้ช่วยศิษย์น้องเฉินเติงวางค่ายกลขับไล่เมฆอัคคี คนที่เหลือตามข้าบุกเข้าไปในหุบเขา ชิงของล้ำค่ามา” ชายหน้าดำแบ่งงานเช่นนี้

“มีเรื่องหนึ่งที่ต้องพูดให้ชัดเจนก่อน เมื่อได้ของล้ำค่าชิ้นนี้มา แม้ทุกคนในที่นี้จะได้ส่วนแบ่งแต้มคุณูปการ แต่ก็ต้องแบ่งตามผลงานที่ทำ ผู้ที่รับผิดชอบค่ายกลกับข้ามีอันตรายค่อนข้างน้อย จึงได้แค่หนึ่งในสามของผู้ที่บุกเข้าไปในหุบเขา ส่วนผู้ที่บุกเข้าไปในหุบเขาเพื่อชิงของล้ำค่านั้น มีอันตรายกว่ามาก ดังนั้นจึงได้รับแต้มคุณูปการมากกว่า” เฉินเติงกล่าวเสริมด้วยสีหน้าหนักแน่น

สำหรับการแบ่งแต้มคุณูปการเช่นนี้ ผู้คนกลับมีความเห็นไม่มาก

ศิษย์ที่คิดว่าตนเองมีพลังแข็งแกร่ง ย่อมยินยอมเข้าไปในหุบเขา ซึ่งไม่เพียงแต่จะได้รับแต้มคุณูปการจำนวนมาก แต่ยังได้แก่นบริสุทธิ์จากการสังหารอัคคีจิตวิญญาณด้วย

ส่วนผู้ที่ได้รับบาดเจ็บในก่อนหน้านั้นกับผู้ที่ระมัดวังตัวหน่อย ต่างก็เต็มใจไปรักษาค่ายกลกับเฉินเติง

ขณะนี้ เฉินเติงก็หยิบธงค่ายกลห้าสีปึกหนึ่งกับแผ่นค่ายกลออกจากแขนเสื้อ และแบ่งให้กับศิษย์สายนอก

หลิ่วหมิงคิดใคร่ครวญอย่างรวดเร็วแล้วลุกขึ้นมาทันที จากนั้นก็เดินไปรับธงค่ายกลที่เฉินเติงมาชุดหนึ่ง และไปยืนรออยู่ข้างๆ

จั้งเสวียนรู้สึกประหลาดใจกับการกระทำของหลิ่วหมิงเล็กน้อย แต่ไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ จากนั้นก็เดินไปรับธงค่ายกลจากเฉินเติงเช่นกัน

เยี่ยนหมิงกับเสวี่ยอวิ๋นเห็นเช่นนี้ ก็ส่งเสียงคุยกันสองสามประโยค และเข้าอยู่ไปในกลุ่มเดียวกับศิษย์ที่วางค่ายกล

หลังจากเฉินเติงแจกธงค่ายกลเสร็จแล้ว ก็เริ่มบอกตำแหน่งของตาค่ายกลและวิธีการกระตุ้น ขณะที่พูดก็ถือแผ่นสีเขียวหยกทำการคำนวณอะไรบางอย่างอยู่

แม้ว่าค่ายกลเมฆาชุดนี้จะไม่ซับซ้อนมากนัก แต่เพื่อขับไล่เมฆอัคคีเหนือหุบเขาทั้งหมด ย่อมกินพื้นที่ไม่น้อย ด้วยเหตุนี้จึงต้องขยายออกไปหลายครั้ง เพื่อป้องกันเหตุที่ไม่คาดคิด

สิ่งที่ไม่มีใครสังเกตเห็นเลยก็คือ ใต้ที่ดินที่ลึกลงไปจากที่พวกเขาอยู่หลายร้อยจั้ง อสูรน้อยสีแดงที่ดูคล้ายกับหนูนาพลันระเบิดตัวออกมา จากนั้นเลือดเนื้อของมันก็กลายเป็นหมอกโลหิตจมหายไปใต้ดิน

……

ขณะที่ศิษย์สายนอกนิกายยอดบริสุทธิ์เตรียมดำเนินการตามแผนนั้น

ภายในส่วนลึกของหุบเขาใหญ่ที่อยู่ห่างจากจุดรวมตัวของฝูงชนไปสิบกว่าลี้ ภายในหลุมยักษ์ที่มีขนาดหมู่กว่าๆ ถูกปกคลุมไปด้วยหินจิตวิญญาณธาตุไฟสีแดง

ใจกลางหลุมมีเสาผลึกขนาดเท่าอ่างล้างหน้า สูงราวๆ สามสิบกว่าจั้งตั้งตระหง่านอยู่  มันมีลักษณะกึ่งโปร่งแสง และเปล่งแสงสีแดงแปลกประหลาดออกมาไม่หยุด

ปลายผลึกมีอัคคีจิตวิญญาณร่างมนุษย์ยักษ์นั่งขัดสมาธิอยู่ อัคคีจิตวิญญาณมีรูปร่างแตกต่างจากตัวอื่นมาก มีขนาดใหญ่สองจั้ง สีของเปลวไฟที่ลอยวนรอบตัวก็เข้มกว่าตัวอื่นมาก และแผ่กลิ่นไอเข้าใกล้ระดับผลึกออกมาลางๆ

และบริเวณเสาผลึกก็มีอัคคีจิตวิญญาณกว่าร้อยตัวนั่งขัดสมาธิอยู่เนืองแน่น แต่ละตัวต่างก็อ้าปากดูดซับแสงสีแดงแปลกประหลาดที่แผ่ออกจากเสาผลึกอย่างสุดชีวิต

และพอดูซับเข้าไปส่วนหนึ่ง เปลวไฟบนตัวก็สว่างขึ้นเล็กน้อย กลิ่นไอบนตัวก็ค่อยๆ แข็งแกร่งมากขึ้น

แสงสีแดงจำนวนมากที่เสาผลึกแผ่ออกมา กลับถูกอัคคีจิตวิญญาณยักษ์ดูดซับภายในอึดใจเดียว ทำให้กลิ่นไอบนตัวมันน่ากลัวมากขึ้นกว่าเดิม

ทันใดนั้น พออัคคีจิตวิญญาณยักษ์ขยับตัว เปลวไฟรอบตัวก็ลุกพรึ่บขึ้นมา จากนั้นก็ลืมตาทั้งสองขึ้น เผยให้เห็นลูกตาสีขาวเทาที่ไม่เหมือนกับอัคคีจิตวิญญาณตัวอื่นๆ ทั้งยังเต็มไปด้วยความกระหายเลือด

“นิกายยอดบริสุทธิ์ ฆ่า ฆ่า ฆ่า……”

ร่างของอัคคีจิตวิญญาณยักษ์ล้วนเต็มไปด้วยเปลวไฟ ใบหน้าที่พร่ามัวเผยให้เห็นถึงปากสีเลือดขนาดใหญ่ที่อ้าออกมา มันเปล่งเสียงแหบแห้งไม่ชัดเจน แม้ว่าน้ำเสียงจะแหลมแปลกประหลาด แต่ดูเหมือนว่าจะเป็นภาษามนุษย์

อัคคีจิตวิญญาณธรรมดาที่อยู่บริเวณรอบๆ ฮือฮาขึ้นมาตามเสียงนี้ในทันที ราวกับว่าได้รับกระตุ้นอย่างรุนแรง ไม่นานดวงตาของพวกมันก็ดูบ้าคลั่งขึ้นมา เสียงแผดร้องแหลมขานรับกันชั่วขณะหนึ่ง ทันใดนั้น ก็มีเสียงดังสะท้อนไปทั่วทิศ

และเมฆอัคคีที่อยู่บริเวณหลุมยักษ์อย่างหนาแน่น ก็พลันมีเสียงอสูรชนิดต่างๆ คำรามออกมา จากนั้นก็มีเงาดำเคลื่อนไหว หนึ่งตัว สองตัว สิบตัว ร้อยตัว พริบตาเดียว อสูรเพลิงจำนวนมากก็ทะลักออกมา

ไม่รู้ว่าฝูงอสูรจำนวนนับพันปรากฏออกมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ในนั้นมีอสูรเพลิงระดับของเหลวหลายสิบตัว และศิษย์นิกายยอดบริสุทธิ์ที่อยู่ด้านนอก ไม่รับรู้เรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย มิเช่นนั้นคงวิ่งหนีไปให้ไกลเท่าที่จะไกลได้แล้ว ไหนเลยจะกล้าบุกรังของอัคคีจิตวิญญาณกลุ่มนี้

จิ้งจอกเพลิง อสรพิษเพลิง อีกาเพลิง และอสูรเพลิงชนิดอื่นๆ ต่างก็รวมตัวอยู่รอบๆ หลุมยักษ์ ทันนั้นใดนั้นพวกมันก็เงียบเป็นเป่าสาก ราวกับว่ากำลังรอคอยอะไรอยู่

……

บนยอดเขาบางแห่งในเทือกเขาหมื่นวิญญาณ ภายในห้องโถงใหญ่ที่เป็นทางเข้าแดนลึกลับ ขณะนี้เจียงจ้งและหัวหน้าสาขาทั้งเจ็ด ต่างก็มีสีหน้าเคร่งเครียดผิดปกติ และจ้องมองค่ายกลส่งตัวอยู่ตลอดเวลา

แผ่นป้ายยังคงลอยอยู่ตรงหน้าคนทั้งแปด แต่ทว่ามันได้เกิดรอยแตกร้าวแล้ว

ค่ายกลขนาดใหญ่ที่อยู่ใจกลางห้องโถง ก็มีรอยร้าวลึกๆ เส้นหนึ่ง อักขระบนนั้นก็มืดลงราวกับไม่มีพลังจิตวิญญาณอยู่ ผู้เชี่ยวชาญค่ายกลที่สวมชุดขาวเจ็ดแปดคน กำลังยุ่งอยู่กับการซ่อมแซมอะไรบางอย่างในค่ายกล

“ผู้เชี่ยวชาญไต้ ต้องใช้เวลาอีกนานเท่าใดถึงสามารถฟื้นฟูค่ายกลส่งตัวได้” เจียงจ้งเอ่ยปากถามในฉับพลัน

“พี่เจียง ค่ายกลเชื่อมทะลุแดนอบอ้าวนี้ ใช้วัสดุและลวดลายที่พิเศษ หากเพียงแค่ซ่อมแซมล่ะก็ ใช้เวลาไม่นานมากนัก แต่หากต้องการเพิ่มพลังการส่งตัวเป็นทวีล่ะก็ อย่างน้อยต้องใช้เวลายี่สิบชั่วยามถึงจะได้” ผู้เชี่ยวชาญค่ายกลที่มีผมสีขาวเงยหน้าตอบด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก จากนั้นก็ก้มหน้าทำงานต่ออย่างไม่สนใจ

“ต้องใช้เวลาหนึ่งวันหนึ่งคืนหรือ? เช่นนี้ล่ะก็ศิษย์ในแดนอบอ้าวคงไม่อาจยืนหยัดได้นานขนาดนั้น เกรงว่าจะต้องเสียชีวิตเป็นจำนวนไม่น้อย” ผู้อาวุโสคิ้วเหลืองที่เป็นหัวหน้าสาขาวายุทะยานฟ้า ก็มีสีหน้าเคร่งขรึมมาก จากนั้นก็พลิกฝ่ามือขึ้นมา เผยให้เห็นแผ่นหยกสีขาวแผ่นหนึ่ง และมีอักขระสีเงินจางๆ ลอยขึ้นมาแถวหนึ่ง

“พลังปราณเปลี่ยนแปลงไปมาก ไม่สามารถส่งตัวได้ อัคคีจิตวิญญาณกลายพันธุ์ ฝูงอสูรลอบโจมตี……”

“พี่เฉินไม่ต้องกังวลจนเกินไป หลานเฉินเติงมีระดับการฝึกฝนที่ลึกซึ้ง ทั้งยังเชี่ยวชาญสายค่ายกล บวกกับมีของล้ำค่าที่ท่านมอบให้คอยป้องกันตัว คิดว่าคงไม่มีปัญหาอะไรมาก ยิ่งไปกว่านั้น หากครั้งนี้ไม่มีหลานเฉินเติงอยู่ เกรงว่าจนถึงตอนนี้พวกเราก็คงยังไม่สามารถยืนยันได้ว่า การเปลี่ยนแปลงในแดนอบอ้าวทำให้ค่ายกลกับกระจกเหล่านี้ถูกทำทำลาย” หญิงทำลาย” หญิงชุดแดงกล่าวออกมา

“เจ้าเด็กนี่เพียงแค่ส่งข่าวมาอย่างรีบร้อน จากนั้นก็ไม่มีข้อมูลใดๆ อีกเลย แต่ที่ข้ากังวลที่สุดกลับไม่ใช่เรื่องนี้ ทุกท่านยังจำการทดสอบในแดนอบอ้าวเมื่อครั้งก่อนได้หรือไม่ ศิษย์ทรยศนิกายที่แฝงตัวเข้ามาในบรรดาศิษย์สายนอก แล้วถือโอกาสขโมยเตาสามอัคคีไปผู้นั้น แอบซ่อนตัวเข้าไปในแดนอบอ้าว แต่กลับถูกศิษย์ของหอคุมกฎร่วมมือกันโจมตีจนเสียชีวิต” หัวหน้าสาขาวายุทะยานฟ้าส่ายหน้าและกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขรึม

“ทำไมล่ะ? ความหมายของพี่เฉินคือ การเปลี่ยนแปลงของแดนอบอ้าวในครั้งนี้เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้หรือ?” หญิงชุดแดงได้ยินเช่นนี้ ก็ถามด้วยความประหลาดใจ

คนอื่นๆ ฟังแล้วก็มีสีหน้าแตกต่างกันออกไป

“จะว่าไปแล้วมันก็มีโอกาสเป็นไปได้ ข้าจำได้ว่า แม้ศิษย์ผู้นั้นจะระเบิดตัวจนเสียชีวิตก่อนถูกจับ แม้กระทั่งดวงจิตก็ไม่เหลือไว้ แต่เตาสามอัคคีที่ควรจะอยู่บนตัวเขา กลับหายไปอย่างไร้ร่องรอย และยังหาไม่พบมาโดยตลอด” เจียงจ้งกระแอมไอเบาๆ และมองหญิงชุดแดงทีหนึ่งก่อนกล่าวออกมา

พอนางรับรู้ถึงสายตาของเว่ยจ้ง ก็ทำเสียงฮึดฮัด แต่กลับไม่กล่าวอะไรออกมา

“แน่นอน! ว่ากันว่าเพื่อเรื่องนี้ ตอนนั้นคนของหอคุมกฎก็เคยไปค้นแดนอบอ้าวเงียบๆ ไปหนึ่งรอบ แต่ก็ไม่พบอะไร ดีที่ว่าต่อมาท่านประมุขได้เชิญแขกระดับสูงในนิกายผู้นั้นมาทำนาย และรู้ว่าของล้ำค่าชิ้นนี้ยังไม่ได้ตกอยู่ในมือของคนนอก ถึงได้หยุดเรื่องนี้ไปชั่วคราว” ผู้อาวุโสคิ้วเหลืองหรี่ตาทั้งคู่และค่อยๆ กล่าวออกมา

“ความหมายของพี่เฉินก็คือ ความจริงแล้วเตาสามอัคคียังถูกซ่อนอยู่ในแดนอบอ้าว ถึงทำให้แดนแห่งนี้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นมา?” หญิงชุดแดงดวงตาเป็นประกาย และกล่าวด้วยความตกใจ

“เฮ่อๆ! นี่เป็นวิธีเดียวที่สามารถอธิบายได้ เตาสามอัคคีเป็นของล้ำค่าระดับไหน! บวกกับที่มันเป็นธาตุไฟแล้ว เมื่อไปอยู่ในแดนอบอ้าวก็เหมือนกับปลาที่ได้น้ำ ทำให้ปราณพลังฟ้าดินเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ได้อย่างง่ายดาย ตอนนี้ได้แต่หวังว่าศิษย์ที่เข้าไปในแดนอบอ้าวเหล่านี้ จะสามารถปกป้องตนเองได้ชั่วคราว และยืนหยัดได้ชั่วระยะเวลาหนึ่ง” หัวหน้าสาขาวายุทะยานฟ้ามองดูค่ายกลที่ยังซ่อมไม่เสร็จทีหนึ่ง และถอนหายใจก่อนกล่าวออกมา

“ในเมื่อเรื่องนี้พัวพันไปถึงเตาสามอัคคี พวกเราควรจะแจ้งเบื้องบนหรือไม่?” หญิงสาวชุดเขียวที่เงียบมาโดยตลอดพลันกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม

“จมูกของเจ้าพวกหอคุมกฎไวยังกับอะไรยังต้องให้พวกเราไปแจ้งอีกหรือ มีความเป็นไปได้ว่าตอนนี้คงรู้เรื่องการเปลี่ยนแปลงของแดนอบอ้าวแล้ว” เจียงจ้งกล่าวออกมาอย่างราบเรียบ

พอคำพูดนี้ออกมาจากปาก หัวหน้าสาขาคนอื่นๆ รวมถึงหญิงชุดแดงกับผู้อาวุโสคิ้วเหลือง ก็เผยสีหน้าราวกับกำลังคิดอะไรอยู่

……

ภายในแดนอบอ้าว ขณะนี้หลิ่วหมิงและศิษย์ยี่สิบกว่าคนกำลังทำตามที่เฉินเติงบอก พวกเขายุ่งอยู่ในสถานที่ที่ห่างจากปากทางเข้าหุบเขาลี้กว่าๆ โดยปักธงค่ายกลลงดิน เพื่อวางค่ายกลยักษ์ที่มีขนาดหมู่กว่าๆ

จากการคำนวณของเฉินเติง หากจะขับไล่เมฆอัคคีเหนือหุบเขาจำนวนมาก ต้องให้คนยี่สิบกว่าคนกระตุ้นค่ายกลพร้อมกัน มันถึงจะสำเร็จได้

ผ่านไปหนึ่งชั่วยามกว่าๆ ค่ายกลทั้งหลังก็ถูกวางจนเสร็จสมบูรณ์ ศิษย์ยี่สิบกว่าคนเข้าไปในค่ายกลพร้อมกัน และยืนตามตำแหน่งต่างๆ จากนั้นก็ค่อยๆ กระตุ้นอาวุธวางค่ายกลในมือ เพื่อกระตุ้นค่ายกลทั้งหลัง

…………………………………