บทที่ 696 ความจริง

บัลลังก์พญาหงส์

หมอหลวงมองหลี่เย่ทีหนึ่ง แล้วถึงได้พูดต่อไป “ที่มีผลข้างเคียงมากเช่นนั้น ที่จริงก็เป็นแค่การกระตุ้นสมรรถภาพเดิมของคนให้คนฮึกเหิม แต่ก็เท่ากับว่ากำลังเผาผลาญสมรรถภาพของตนเอง เหมือนกับตะเกียงน้ำมัน หลังจากเพิ่มความหนาของไส้ตะเกียงแล้ว แสงไฟย่อมต้องสว่างและใหญ่ขึ้น แต่น้ำมันตะเกียงก็จะยิ่งเผาผลาญเร็วขึ้นและมากขึ้นพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

“เช่นนั้นยานี้ก็เหมือนกับกำลังทำให้ร่างกายคนขาดสมดุลมาตลอดอย่างนั้นหรือ?” ถาวจวินหลันแทรกขึ้นมาอย่างเอาจริงเอาจัง 

 

 

หมอหลวงพยักหน้า สุดท้ายก็พูดว่า “ที่สำคัญที่สุดไม่ใช่สิ่งนี้พ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

ทุกคนถูกสะกิดความสนใจอีกครั้ง จึงพากันมองไปทางหมอหลวง 

 

 

หมอหลวงถูกมองจนเริ่มประหม่า กลืนน้ำลายอึกหนึ่ง แล้วถึงพูดว่า “ใช้ยานี้นานเข้าเกรงว่าจะติดได้พ่ะย่ะค่ะ ไม่ใช่เรื่องของร่างกาย แต่เป็นที่จิตใจ อย่างไรผลของยานี้ก็เห็นกันอยู่ หากไม่เสวยก็จะรู้สึกเหนื่อยล้า ไร้เรี่ยวแรง จึงต้องเสวยต่อไป ไม่อาจหยุดได้พ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

“แล้วถ้ากินตลอดเล่า?” หลี่เย่ส่งเสียงถาม 

 

 

“หากเสวยตลอด ด้วยองค์รัชทายาทที่ยังหนุ่มแน่นคงเห็นผลไม่ชัด แต่หากเป็นฮ่องเต้ เกรงว่า…” เสียงของหมอหลวงค่อยๆ เบาลง แล้วยังแฝงไว้ด้วยความหวาดกลัว “เกรงว่าอาจจะลุกไม่ขึ้นได้ทุกเมื่อพ่ะย่ะค่ะ”  

 

 

เห็นชัดว่าหมอหลวงน่าจะพอคาเดาอะไรได้แล้ว แต่ก็ไม่กล้าพูดออกมาโต้งๆ เพียงแค่ใช้การบอกใบ้เท่านั้น 

 

 

หลี่เย่กวาดตามองทีหนึ่ง หมอหลวงคนนั้นตกใจจนหดคอเข้าไป เงียบปากไม่กล้าพูดอะไรอีก 

 

 

แต่หลังจากนั้นหลี่เย่ก็ไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่ถามเสียงต่ำ “เรื่องยานี้พวกเจ้าได้พูดมดเท็จหรือเรื่องไม่จริงบ้างหรือไม่?” 

 

 

บรรดาหมอหลวงส่ายหน้าเป็นพัลวัน เอ่ยบอกมิกล้า 

 

 

“แล้วกล้าไปพูดเช่นนี้ต่อหน้าเสด็จพ่อหรือไม่?” หลี่เย่ถามอีกครั้ง 

 

 

 

 

 

ครั้งนี้บรรดาหมอหลวงต่างนิ่งเงียบไม่พูดจา คำพูดของหลี่เย่ถือเป็นการยอมรับการคาดเดาของหมอหลวงเมื่อครู่นี้ แต่ตอนนี้ก็ยังไม่มีใครกล้าส่งเสียงออกมา 

 

 

เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก ไปพูดต่อหน้าฮ่องเต้ว่าที่จริงแล้วโอสถที่พระองค์เสวย เป็นยาพิษที่ทำให้คนติด แล้วฮ่องเต้จะตอบสนองเช่นไร? 

 

 

แน่นอนว่าไม่ใช่ปฏิกิริยาที่ดีเป็นแน่ 

 

 

อีกทั้งสถานการณ์ของฮ่องเต้ตอนนี้ก็ซับซ้อนมาก ต่อให้รู้เรื่องนี้แล้วจะทำไม? จะกินต่อไป หรือจะเลิกยา? อีกทั้งไม่พูดถึงว่าหากเลิกยาไปแล้วฮ่องเต้จะทำได้จริงหรือไม่ พูดแค่ว่าจากสุขภาพและอายุของฮ่องเต้แล้วมีความจำเป็นต้องเลิกยาจริงหรือ? 

 

 

หลี่เย่หัวเราะเบาๆ จากนั้นก็ตบมือ “เอาเถิด พวกเจ้ากลับไปก่อน แต่เรื่องวันนี้ใครกล้าพูดมั่วๆ แม้แต่คำเดียว…” 

 

 

คราวนี้บรรดาหมอหลวงพร้อมใจกันอย่างยิ่ง “กระหม่อมไม่กล้าพูดแม้แต่คำเดียวพ่ะย่ะค่ะ!” ในขณะเดียวกันล้วนแอบคิดในใจว่า พูดออกไปชีวิตก็คงหาไม่ แล้วยังไปพูดอะไรอีก? 

 

 

รอจนหมอหลวงถอยออกมาแล้ว หลี่เย่ก็เบนหน้าไปมองถาวจวินหลัน “เจ้าคิดว่าเป็นฝีมือของนักพรตเหล่านั้น หรือว่า…” 

 

 

ถาวจวินหลันหลุบตาลง ถอนหายใจเบาๆ จากนั้นถึงถามหลี่เย่กลับว่า “ท่านคิดว่านักพรตเหล่านั้นโง่เง่าถึงเพียงนี้หรือเพคะ? อีกทั้งทำไมฮ่องเต้ถึงได้โปรดปรานกู้ซีเช่นนี้…” 

 

 

พูดมาถึงตรงนี้ยังมีอะไรต้องพูดอีก? ความจริงได้ปรากฏต่อหน้าทุกคนอย่างชัดเจนแล้วไม่ใช่หรือ? 

 

 

หลี่เย่ถอนหายใจ แต่ก็ไม่ได้ตัดสินใจอย่างเด็ดขาด “เช่นนั้นตอนนี้พวกเราจะทำอย่างไร? ปิดบังเรื่องนี้เอาไว้หรือว่า…” 

 

 

“กู้ซีไม่ใช่คนที่จะหยุดนิ่งกับสถานการณ์ปัจจุบัน” ถาวจวินหลันส่ายหน้าน้อยๆ มองหลี่เย่อย่างตั้งใจ “หากนางยอมปล่อยมือก็คงไม่เดินมาถึงวันนี้ ไม่เพียงแค่นางไม่ยอม ที่สำคัญที่สุดยังคงเป็นเพราะฮ่องเต้เป็นบิดาของท่าน ไม่ว่าเขาตัดสินใจอย่างไร พวกเราก็ไม่อาจปิดบังเรื่องนี้ได้เพคะ” 

 

 

ถ้าปิดบังเรื่องนี้ ก็รับรองได้ยากว่าหลี่เย่จะไม่รู้สึกผิดภายหลัง เพราะทำเช่นนี้ถือเป็นการยืนมองฮ่องเต้ค่อยๆ เดินสู่ปากเหว เขาเป็นลูกชาย แต่กลับช่วยเอาไว้ไม่ได้ แม้แต่เอ่ยเตือนก็ยังไม่เคยทำ เช่นนั้นย่อมทำไม่ได้ คนเป็นลูกทำเช่นนี้ถือว่าอกตัญญู ผู้นำอกตัญญูแล้วจะอยู่ในใต้หล้านี้ได้อย่างไร 

 

 

แล้วอีกอย่างหลี่เย่ยังเป็นอนาคตผู้นำของแคว้น ยิ่งไม่อาจทำเช่นนี้ได้ 

 

 

ใบหน้าของหลี่เย่แฝงไว้ด้วยความเย็นชา “เป็นบิดาของข้าแล้วอย่างไร? เขาเคยทำหน้าที่ของบิดาอย่างนั้นหรือ? บิดาไร้เมตตา แล้วลูกจะกตัญญูได้อย่างไร?” 

 

 

คำพูดของหลี่เย่แฝงไว้ด้วยการประชดประชัน ถาวจวินหลันได้ยินน้ำเสียงของเขาพลันก็หัวเราะขบขัน นางส่ายหน้าไม่เห็นด้วย “พวกเราก็เพียงทำตามหน้าที่ของตนอย่างสุดความสามารถเท่านั้น ขอเพียงไม่รู้สึกผิดในใจเท่านั้นก็พอเพคะ เหตุใดต้องคิดมากด้วย? อีกอย่าง หลังจากท่านพูดเรื่องนี้ออกไปแล้ว ฮ่องเต้ต้องไม่พอพระทัยแน่เพคะ” 

 

 

หลี่เย่นิ่งเงียบไปนาน สุดท้ายก็ขมวดคิ้วพูดว่า “แต่หากรู้เรื่องนี้แล้ว เขารับไม่ได้ขึ้นมาจะทำอย่างไร?” 

 

 

ถาวจวินหลันตะลึงไป นางไม่เคยคิดถึงจุดนี้มาก่อน แต่ถ้าเป็นตามความคิดของนางก็เป็นเรื่องดี อย่างน้อยสำหรับหลี่เย่แล้วก็ถือว่าเป็นเช่นนั้น อย่างไรหากสถานการณ์ตอนนี้ยังดำเนินต่อไป ก็มีแต่ทำให้สถานการณ์ของหลี่เย่แย่ลงเท่านั้นเอง 

 

 

อีกทั้งไม่แน่ว่าหากลากยาวต่อไป ชื่อเสียงชาญฉลาดเกรียงไกรของฮ่องเต้ ก็คงเหลือเพียงชื่อเสียงเสียหายไปหลายพันปีเท่านั้น หากฮ่องเต้สิ้นพระชนม์ไปตั้งแต่ตอนนี้ บางทีอาจจะเหลือชื่อเสียงด้านดีไว้บ้าง 

 

 

แน่นอนว่านี่เป็นเพียงความเห็นแก่ตัวของนางเท่านั้น แต่หากมองในมุมของลูกสะใภ้และขุนนางแล้ว ความคิดของนางช่างเนรคุณเป็นล้นพ้น 

 

 

สุดท้ายนางก็ส่ายหน้า “หากเป็นเช่นนี้จริงก็ถือเป็นโชคชะตาแล้วเพคะ หากเป็นหม่อมฉันคงยอมตายไปอย่างเข้าใจแจ่มแจ้ง แต่ไม่ยอมเป็นวิญญาณเลอะเลือนแน่เพคะ” 

 

 

พอได้ยินคำพูดของถาวจวินหลัน หลี่เย่ก็ตัดสินใจอย่างแน่วแน่ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ไปบอกเสด็จพ่อเถิด“ 

 

 

“แล้วจะบอกเมื่อไรเพคะ” ถาวจวินหลันกระวีกระวาดร้อนใจอยากเห็นสีหน้าของฮ่องเต้ และสีหน้าของกู้ซี ไม่รู้ว่าหลังจากฮ่องเต้ทราบเรื่องนี้แล้วจะตัดสินใจเช่นไร? แล้วจะปฏิบัติกับกู้ซีเช่นไร? 

 

 

“เรียกนักพรตคนนั้นมาถามก่อนเถิด” สุดท้ายหลี่เย่ก็ยังกังวลว่านี่จะเป็นเพียงเรื่องเข้าใจผิดเท่านั้น จึงได้ตัดสินใจอย่างรอบคอบ 

 

 

ถาวจวินหลันก็ไม่มีเหตุผลต้องคัดค้าน 

 

 

แต่อยากพบนักพรตที่ปรุงยาให้ฮ่องเต้โดยเฉพาะก็ไม่ใช่เรื่องง่าย นักพรตกู่เป็นตัวอย่างให้เห็นภาพแล้ว อีกทั้งฮ่องเต้ยังปกป้องไว้เป็นอย่างดี แม้แต่บรรดานักพรตด้วยกันเองก็ยังไม่กล้าชะล่าใจมิใช่หรือ? อย่างไรก็ปรุงยาให้ฮ่องเต้เพื่อชื่อเสียงเงินทอง แต่ชื่อเสียงเงินทองก็ต้องมีชีวิตถึงเสพสุขได้มิใช่หรือ? ตอนแรกหลี่เย่คิดจะหาข้ออ้าง แต่ถาวจวินหลันกลับไม่คิดเช่นนั้น เรื่องนี้ต้องทำให้เร็วถึงจะดี อีกทั้งไม่จำเป็นต้องหาข้ออ้างอะไร เพียงแต่ต้องการให้หลี่เย่พาคนไปจับตัวเอาไว้ก็พอแล้ว 

 

 

ถามให้เสร็จเรียบร้อยแล้วก็พาตัวคนไปหาฮ่องเต้ ถึงเวลานั้นไม่ว่าเป็นกู้ซีหรือไม่ เรื่องนี้ก็ไม่ได้ดูกระโตกกระตากนัก แต่ถ้าตั้งใจวางแผนอย่างประณีต พอเรื่องจบ แล้วฮ่องเต้ไล่เอาความขึ้นมาคงไม่ดี 

 

 

ถาวจวินหลันมองหลี่เย่ เขาคิดอยู่ครู่หนึ่งก็พยักหน้า เป็นเช่นนั้นจริง อย่างไรถ้าไม่ใช่ฝีมือของนักพรตเหล่านั้นก็ต้องเป็นฝีมือของกู้ซี ไม่ว่าจะเป็นทางไหนอย่างไรก็หนีไม่รอด 

 

 

“ทางที่ดีที่สุดจะต้องเอายาเม็ดที่เพิ่งทำเสร็จมาจากนักพรตให้ได้เพคะ” ถาวจวินหลันช่วยจัดคอเสื้อให้หลี่เย่ จากนั้นก็พูดเตือนว่า “หากเอามาเป็นหลักฐาน ก็ไม่รู้ว่ามีน้ำหนักกว่าคำพูดลอยๆ ตั้งกี่เท่านะเพคะ” 

 

 

แล้วหลี่เย่ก็ออกจากเรือนไป ส่วนถาวจวินหลันกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าตนเอง รอหลี่เย่ส่งข่าวกลับมา จากนั้นนางค่อยรีบไปที่วังของกู้ซี ที่จริงแล้วนางไม่จำเป็นต้องไป อย่างไรก็ควรปิดเรื่องนี้เอาไว้ ยิ่งคนรู้น้อยเท่าไรก็ยิ่งดี แต่นางกลับกดความแปลกใจและความสะใจอย่างน่าแปลกได้ สุดท้ายจึงตัดสินใจไป 

 

 

นางยังจำคำพูดลำพองใจของกู้ซีได้ที่ว่า ‘ไม่พ้นสามวันฮ่องเต้ต้องกลับมาเป็นแน่’ ได้อย่างแม่นยำ โดยเฉพาะท่าทีของกู้ซี 

 

 

กู้ซีอาจจะไม่รู้ว่าคำพูดของตนเองบอกใบ้ให้นางตงิดใจสงสัย หากกู้ซีรู้เรื่องนี้ ไม่รู้ว่าจะเสียดายขนาดไหน? 

 

 

ชั่วยามหนึ่งผ่านไป ถาวจวินหลันก็มุ่งไปที่วังของกู้ซี 

 

 

ฮ่องเต้กำลังวาดรูปสาวงาม  

 

 

แน่นอนว่ากู้ซีก็คือสาวงามคนนั้น ส่วนฮ่องเต้ถือพู่กันวาดคนงาม กู้ซีพาดผ้าคลุมหนังจิ้งจอกสีขาวบริสุทธิ์เอาไว้ มือถือดอกเหมยสีแดงสด แลดูเหมือนเทพธิดาดอกเหมยลงมาบนโลก 

 

 

เห็นชัดว่าการมาถึงของนางและหลี่เย่ไม่ได้รบกวนพวกเขา 

 

 

กู้ซีไม่ได้มีท่าทางเปลี่ยนไปแม้แต่น้อย รักษาท่าทางเช่นเดิมเอาไว้เพื่อให้ฮ่องเต้วาดรูปต่อ ฮ่องเต้ยิ่งทำเหมือนไม่ได้ยินและไม่เห็นว่านางกับหลี่เย่อยู่ตรงนี้ 

 

 

แต่เมื่อครู่นี้นางกำนัลเข้ามารายงานไปแล้ว 

 

 

หากเป็นหลี่เย่คนเดียวก็แล้วไป แต่ตอนนี้ถาวจวินหลันอยู่ด้วย แล้วยังเป็นหญิงมีครรภ์ ดังนั้นหลี่เย่จึงเอ่ยปากพูดตรงๆ “ลูกมีเรื่องอยากรายงานเสด็จพ่อพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

ความสงบเสียงของหลี่เย่แลดูต่างไปจากทุกที บวกกับคอที่บาดเจ็บอยู่แล้ว เสียงของเขาไม่นับว่าน่าฟังนัก ดังนั้นจึงยิ่งฟังดูประหลาด 

 

 

ฮ่องเต้ชะงักไป ยังไม่ทันวาดนิ้วมือของสาวงามเรียบร้อยดีก็เป็นมุมแปลกๆ ไปเสียแล้ว  

 

 

ภาพวาดนี้หมดค่าไปเช่นนี้ ฮ่องเต้หงุดหงิดไม่พอใจ โยนพู่กันทิ้งในทันใด พูดเสียงกราดเกรี้ยว “กล้านัก! มารยาทเจ้าเอาไปให้สุนัขกินหมดแล้วหรืออย่างไร?!” 

 

 

หลี่เย่ยกยิ้มเยาะ จากนั้นก็พูดเสียงใสกังวาน “ลูกมิกล้าพ่ะย่ะค่ะ แต่ลูกไม่รู้ว่ายังมีกฎเกณฑ์เช่นนี้ด้วยพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

 

 

 

ฮ่องเต้โมโหถลึงตามองหลี่เย่ 

 

 

กู้ซีก้มหน้าเอ่ยกล่อมฮ่องเต้ “ฮ่องเต้เพคะ ทำไมท่านต้องกริ้วด้วย? ในเมื่อรัชทายาทเป็นเช่นนี้ย่อมต้องมีเรื่องสำคัญเป็นแน่” 

 

 

หลี่เย่แค่นหัวเราะ “เรื่องนี้สำคัญมากพ่ะย่ะค่ะ ซ้ำยังเกี่ยวข้องกับพระชนมายุและพระวรกายของเสด็จพ่อด้วย” 

 

 

เรื่องราชการฮ่องเต้ไม่สนใจ แต่เรื่องความแข็งแรงและอายุของตนเองกลับทำให้ฮ่องเต้เครียดมาก จึงไม่โมโหโกรธเกรี้ยวอีกต่อไป แต่มองหลี่เย่นิ่ง พูดเร่งว่า “ยังไม่รีบพูดออกมาอีก? รออะไรอยู่เล่า?” 

 

 

ถาวจวินหลันรู้สึกว่าวันนี้ฮ่องเต้ดูหงุดหงิดผิดปกติ  

 

 

แต่เห็นชัดว่าหลี่เย่เคยชินแล้ว เก็บรอยยิ้ม ใบหน้าเย็นชา น้ำเสียงเรียบนิ่งพูดว่า “วันนี้เสด็จพ่อได้เสวยยาอายุวัฒนะหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?” 

 

 

ฮ่องเต้อึ้งไป ด้วยยังไม่ทันตั้งตัว 

 

 

กู้ซีใจกระตุกวูบ อดมองหลี่เย่ไม่ได้ ท่าทีเช่นนั้นมองอย่างไรก็เคร่งเครียดและประหม่า 

 

 

ถาวจวินหลันเห็นทุกอย่างด้วยตา ก็ให้ริมฝีปากกระตุกขึ้นเล็กน้อย