หลังจากที่หลิน ชูจิ่ว เสร็จสิ้นจากการทักทาย องค์รัชทายาทและองค์ชายเจ็ดก็ออกมาด้านหน้าเพื่อทำความเคารพต่อเสี่ยวเทียนเหยา หลิน ชูจิ่ว ไม่ได้พูดอะไร ในขณะที่เสี่ยวเทียนเหยา ก็พูดขึ้นอย่างเย็นชา “ไม่จำเป็นต้องมากพิธี” เมื่อทุกคนเสร็จสิ้นจากการทำความเคารพเรียบร้อยแล้ว ฮ่องเต้ก็ไม่ได้เสนอที่นั่งให้กับพวกเขา อย่างไรก็ตามเสี่ยวเทียนเหยา ไม่ได้รอคำสั่งของฮ่องเต้แต่อย่างใด เขาพาหลิน ชูจิ่ว ไปนั่งลงในที่ว่างเปล่า จากนั้นเขาก็ถามขึ้น “ฝ่าบาท นอกเหนือจากเรื่องขององค์ชายสามแล้ว มีอะไรอีกบ้างที่เราจำเป็นต้องเข้าวัง?”
ทัศนคตินี้ไม่ใช่สิ่งที่สามารถอธิบายได้ว่าเป็นการเย่อหยิ่ง แต่เสี่ยวเทียนเหยา ไม่ได้เห็นหัวของฮ่องเต้แม้แต่น้อย จากก้นบึ้งของหัวใจหลิน ชูจิ่ว รู้สึก เห็นใจฮ่องเต้อยู่อย่างเงียบ ๆ
เมื่อฮ่องเต้ได้ยินชื่อขององค์ชายสาม เขาก็พยายามที่จะปราบปรามความโกรธของเขาลงไป
ถึงแม้ว่าฮ่องเต้จะโกรธมากแค่ไหน แต่เขาก็ยังมีเหตุผล เขาแอบหายใจเข้าลึก ๆ และแสดงรอยยิ้มอันใหญ่บนใบหน้าของเขาขึ้น “นอกเหนือจากเรื่องขององค์ชายสามแล้ว เจิ้นก็อยากพบเจ้า ตอนนี้เจ้าสามารถเดินได้อีกครั้ง เจิ้นก็รู้สึกผ่อนคลาย และถ้าเสด็จพ่อเห็นสภาพของเจ้าในตอนนี้ พระองค์จะมีความสุขอย่างแน่นอน “
“เสด็จพ่อจะมีความสุขมากจริงๆที่เปิ่นหวางรอดจากภัยพิบัติและไม่ตาย แต่สำหรับคนอื่น ๆ เปิ่นหวางไม่รู้ “คำพูดของเสี่ยวเทียนเหยา เต็มไปด้วยคำพูดเสียดสี แต่ … …
ฮ่องเต้สามารถทำหน้าที่ได้อย่างสงบราวกับว่าเหตุการณ์เหล่านั้นไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเขา”ถ้าเจ้าไม่ตายก็หมายความว่าเจ้ามีความโชคดีที่ใหญ่หลวง เทียนเหยามั่นใจได้ เจิ้นจะไม่ให้ใครปฏิบัติกับเจ้าอย่างไม่เป็นธรรมอีกครั้ง “
“ขอบพระทัยฝ่าบาท” เสี่ยวเทียนเหยานั้นหยาบคายมาก เห็นได้ชัดว่าเขารู้สึกขี้เกียจที่จะเปิดปากของเขาด้วยซ้ำ เมื่อเห็นฮ่องเต้ที่อยู่ด้านบนดูเหมือนจะไม่มีอะไรจะพูดอีกต่อไป เสี่ยวเทียนเหยาก็พูดขึ้นอย่างเฉื่อยชาและตรงประเด็น “ฝ่าบาท ไม่ใช่ว่าท่านเรียกหวางเฟยของข้ามาเพื่อดูอาการของบุตรชายที่ป่วยของท่านหรือ แล้วจื่ออันอยู่ที่ไหน? ”
ฮ่องเต้ไม่ได้คาดหวังว่าเสี่ยวเทียนเหยา จะพูดถึงเรื่องนั้นตรงๆ ดังนั้นตอนนี้เขาจึงสามารถพูดได้แค่ “อยู่ด้านใน”
“เช่นนั้นก็ไปกันเถอะ” เสี่ยวเทียนเหยา ลุกขึ้นยืนและเหลือบมองหลิน ชูจิ่ว เมื่อหลิน ชูจิ่ว ลุกขึ้นเขาจึงก้าวไปข้างหน้า
หลิน ชูจิ่ว ตามไปเงียบ ๆ แต่ในเวลาเดียวกันเธอก็คิดว่า: ถ้าเสี่ยวเทียนเหยาอยู่กับเธอ จะไม่มีใครสร้างปัญหาให้เธอได้
โชคดีที่แม้ว่าเสี่ยวเทียนเหยา จะบ้าเลือด แต่เขาก็ไม่ลืมว่ามีทหารองครักษ์อยู่ในวังมากมาย เขาไม่ได้เดินเข้าไปในห้องโถงด้านในทันที แต่เขารอคอยให้ฮ่องเต้ลุกขึ้นและนำทาง
หลิน ชูจิ่วแอบโห่ร้อง เสี่ยวเทียนเหยาอย่าเพิ่งโกรธ ฮ่องเต้ไม่มีเหตุผลที่จะสร้างปัญหาให้พวกเขา เพราะถ้าฮ่องเต้ลงโทษเสี่ยวเทียนเหยา เธอก็จะตกอยู่ในปัญหาด้วย
ภายใต้การนำทางของฮ่องเต้ ฮองเฮาและคนอื่น ๆ ต่างก็เดินออกไปจากห้องโถง แม้แต่พระสนมโจรที่ไม่เคยพูดอะไรก็ตามมา
พระสนมโจว ไม่สนใจเรื่องการสู้รบระหว่างฮ่องเต้กับเสี่ยวหวางเย่ ทั้งหมดที่นางต้องการและอธิษฐานคือให้เสี่ยวหวางเฟย ช่วยบุตรชายของนางได้เท่านั้น
ในโอกาสนี้อาจกล่าวได้ว่าเทพธิดาหิมะอย่างโม่ อวี้เอ้อร์ ไม่สามารถเข้าไปในห้องด้านในได้เหมือนทุกคน แต่โม่ อวี้เอ้อร์ ก็ไม่ได้ตระหนักถึงเรื่องนี้ นางไม่เพียงตามทุกคนไป แต่ยังเดินเคียงข้างกับเสี่ยวเทียนเหยาและหลิน ชูจิ่วอีกด้วย
เมื่อพระสนมโจวสังเกตเห็นโม่ อวี้เอ้อร์ หัวคิ้วของนางก็ขมวดขึ้น นางสนมคนนี้กล้าที่จะเดินนำหน้านางเชียวหรือ?
อย่างไรก็ตาม ในโอกาสดังกล่าวพระสนมโจวไม่กล้าที่จะเปิดปากของนาง แต่นางก็เขียนมันลงไปภายในใจของนางแล้ว ในทางกลับกันเสี่ยวเทียนเหยา จู่ๆ ก็หยุดเดินแล้วก็พูดขึ้นด้วยความไม่พอใจอย่างมาก “ฝ่าบาท ท่านควรจะจัดการกับนางสนมของท่าน”
อะไรกัน?
เมื่อทุกคนได้ยิน พวกเขาก็หยุดและมองย้อนกลับไป แต่ใครจะรู้ว่าเมื่อไหร่ที่โม่ อวี้เอ้อร์มาเดินอยู่เคียงข้างกับหลิน ชูจิ่ว นางสนมฐานะเล็กๆอย่างนางไม่เพียงแต่เดินนำหน้าพระสนมโจว แต่ยังยืนเคียงข้างเสี่ยวหวางเฟยอีกด้วย!
โม่ อวี้เอ้อร์ หมายความว่าอย่างไรโดยการทำเช่นนี้?
ทุกคนมองไปที่โม่ อวี้เอ้อร์ แต่โม่ อวี้เอ้อร์ ก็ยังทำท่าไม่สนใจ นางเพียงแค่ยืนนิ่ง ๆ อยู่เช่นนั้น หัวคิ้วของฮองเฮาขมวดขึ้น นางกำลังจะเปิดปาก ของนาง แต่แล้วก็ได้ยินเสียงของฮ่องเต้ดังขึ้น “ใครก็ได้มาพาอวี้เหม่ยเหรินกลับไปพักผ่อนที่ตำหนักของนาง”
เมื่อเห็นเสี่ยวเทียนเหยาเดินอย่างอิสระ ฮ่องเต้ก็ยิ่งรู้สึกโกรธมากขึ้น ดังนั้นเนื่องจากการเคลื่อนไหวของโม่ อวี้เอ้อร์ในเวลานี้ ไฟก็ลุกขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัยในหัวใจของฮ่องเต้ แต่ … …
******เนื่องจากเดือนนี้ยุ่งจริงๆ จะขอลงให้ตอนเดียวก่อนนะคะ หลังจากเดือนนี้จะกลับมาลงให้สองตอนเหมือนเดิมนะคะ