เฮ่อเหลี่ยนนั่งคุกเข่าลงไปอย่างหมดแรง ความรู้สึกไร้ซึ่งความหวังได้เข้ามาแทนที่ นัยน์ตามืดมัว จนสุดท้ายก็เป็นลมล้มไป

 

 

ฮ่องเต้มองด้วยสายตาสมเพช แล้วสั่งให้คนหามไปส่งที่จวนมหาเสนาบดี

 

 

เฮ่อจางได้ฟังข่าวจากขันทีที่ไปส่งตัวเฮ่อเหลี่ยน ก็กระอักเลือดออกมา

 

 

เฮ่อจางมีเฮ่อเหลี่ยนเป็นลูกชายคนเดียว เคยคิดที่จะส่งเขาให้ไปได้มีตำแหน่งสูงส่งตราบเมื่อยังมีชิวิตอยู่ ตอนนี้มีราชโองการออกมาเช่นนี้ ก็เท่ากับว่าได้ตัดทางเจริญก้าวหน้าของเขาไปแล้ว ไม่มีโอกาสได้ทำหน้าที่ใดอีกแล้ว

 

 

เฮ่อกุ้ยเฟยก็ได้ยินเรื่องนี้แล้วเช่นกัน นางโกรธเป็นฟืนไฟจนโยนของในห้องจนเสียหาย

 

 

ครอบครัวของนางคือผู้ที่นางจะพึ่งได้ มหาเสนาบดีก็อายุมากแล้ว อีกไม่กี่ปีก็ต้องเกษียณกลับไปอยู่บ้านเกิด ถึงเวลานั้นที่พึ่งเดียวของนางและลูกชายคือพี่ชายคนนี้ พระราชโองการที่ออกในวันนี้ก็เท่ากับตัดที่พึ่งของนางนั่นเอง หากไม่มีที่พึ่งในวังกินคน อีกไม่นานนางก็จะโดนเบียดออกไป ถึงเวลานั้นฮ่องเต้ก็คงลืมไปแล้วว่านางเป็นใคร

 

 

ความแค้นในใจผุดขึ้นมา แล้วตะโกนด่าออกไปว่า “พวกเจ้ารอข้าก่อนเถอะ แค้นนี้ต้องชำระอย่างสาสม”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวที่อยู่หลินเฉิงก็ยังไม่ได้รับข่าวคราวอะไร ต่อให้รู้เรื่อง พวกเขาทั้งสองก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี หลังจากที่เมิ่งเสียนได้รับข่าวแล้ว จึงใช้รถม้าที่มีทั้งหมดในบ้าน ที่ยังบรรทุกได้แค่มันฝรั่งเพียงส่วนน้อยเท่านั้น ให้เหวินหู่และเหวินเป้าพาคนจากสำนักคุ้มกันภัยมาช่วยขนย้ายไป

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวชี้ให้ทุกคนนำมันฝรั่งไปวางไว้ตรงที่ว่างที่จางเจ๋อหวยจัดเตรียมไว้ให้ แล้วสอนทุกคนว่าทำอย่างไรถึงจะให้มันฝรั่งแตกหน่อได้อย่างรวดเร็ว

 

 

ส่วนเหวินหู่และเหวินเป้าก็พักไปหนึ่งคืน วันที่สองก็พาทุกคนกลับไปอย่างรีบร้อน ถึงแม้ว่าจะเหนื่อยยากลำบาก แต่ว่าคนที่มาจากสำนักคุ้มภัยนั้นดีใจเป็นอย่างมาก หลายปีมานี้ เพิ่งได้ลิ้มรสถึงการทำงานขนส่งก็วันนี้แหละ

 

 

เมิ่งเสียนอยู่ต่อที่หลินเฉิง ช่วยเมิ่งเชี่ยนโยวสอนทุกคนขุดร่องเพื่อปลูกมันฝรั่งก่อน

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนก็ไม่ได้หยุดนิ่ง ไปช่วยเมิ่งเสียนสอนด้วยเช่นกัน

 

 

หลายวันผ่านไป มันฝรั่งส่วนที่สองก็มาถึง ส่วนๆ ที่หนึ่งก็แตกหน่อแล้วเรียบร้อย ชาวบ้านก็เอาต้นกล้ามันฝรั่งที่เมิ่งเชี่ยนโยวสอนไปปลูก

 

 

ส่วนที่หนึ่งผ่านไป ส่วนสองผ่านไป แล้วส่วนที่สามก็มาถึง ส่วนก่อนหน้านี้ที่แตกหน่อเป็นต้นกล้าก็ได้นำไปปลูกแล้วเรียบร้อย เป็นแบบนี้จนผ่านไปครึ่งเดือน มันฝรั่งที่บ้านก็ย้ายมาจนหมดแล้ว อีกทั้งพื้นที่เกินครึ่งของหลินเฉิงก็เต็มไปด้วยมันฝรั่ง

 

 

เพียงสิ่งเหล่านี้ก็สามารถทำให้ชาวบ้านหลินเฉิงอยู่ได้ไปจนถึงฤดูกาลหน้าแล้ว ความรู้สึกไม่สบายใจของจางเจ๋อหวยก็ค่อยๆ ดีขึ้น

 

 

แต่เมิ่งเชี่ยนโยวกลับวางใจไม่ลง มันฝรั่งของที่บ้านเริ่มผลิดอกออกใบแล้ว แต่ทางนี้เพิ่งจะได้ปลูก ไม่สามารถรู้ได้ว่าจะรอดหรือไม่ นางรู้สึกไม่สบายใจไปหลายวัน จนกระทั่งมันฝรั่งที่ปลูกไปส่วนใหญ่มีต้นกล้าผุดขึ้นมาแล้ว เช่นนี้ถึงจะวางใจได้

 

 

ไม่นานก็ผ่านไปอีกหนึ่งเดือน เมื่อเมิ่งเสียนรู้ว่างานแต่งงานของเมิ่งเชี่ยนโยวถูกกำหนดไว้เป็นเดือนสิบ ก็เลยรีบกลับไปกับเหวินหู่ เหวินเป้า และคนจากสำนักคุ้มภัย ให้คนที่บ้านรีบเตรียมเรื่องงานแต่งงานของเมิ่งเชี่ยนโยวนั่นเอง

 

 

เมื่อเห็นว่ามันฝรั่งส่วนใหญ่เติบโตได้แล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวและหวงฝู่อี้เซวียนจึงเตรียมตัวกลับเมืองหลวง

 

 

ก่อนกลับเมืองหลวงครั้งก่อน ได้รับปากอวี้อวี่เอาไว้วาจะไปนั่งเล่นที่จวนของนาง แต่ว่าเรื่องราวเร่งรัดจนไม่ได้ไป ครั้งนี้มีเวลา เมิ่งเชี่ยนโยวจึงให้ชิงหลวนเตรียมของขวัญ แล้วไปหานางที่จวนนายอำเภอก่อนที่จะกลับหนึ่งวัน

 

 

ขณะนี้ไม่ว่าจะเด็กน้อยสามสี่ขวบไปจนกระทั่งคนแก่อายุหกเจ็ดสิบ ไม่มีใครไม่รู้จักเมิ่งเชี่ยนโยว เจ้าหน้าที่ประตูของจวนนายอำเภอยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย เมื่อเห็นนางมา ต่างก็ทำความเคารพนาง “แม่นางเมิ่ง!”

 

 

“ฮูหยินของพวกเจ้าอยู่หรือไม่” เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มถาม

 

 

“อยู่ขอรับ เชิญแม่นางเมิ่งเข้าด้านในเถิด” เจ้าหน้าที่ตอบรับ

 

 

ตามเขามาที่ด้านหลังที่ว่าการ ก็เห็นเซี่ยเหอที่มัดผมกำลังเล่นกับเด็กๆ อยู่ เมื่อเห็นข้าราขการพาเมิ่งเชี่ยนโยวไปที่ด้านหลัง จึงตะโกนออกมาด้วยความดีใจว่า “แม่นางเมิ่ง!”

 

 

อวี้อวี่กำลังนั่งถักเสื้อให้กับเด็กๆ อยู่ในห้อง เมื่อได้ยินเสียงตะโกนเรียกของเซี่ยเหอ ก็รีบวางงานที่มือทันที แล้วรีบเดินออกมาต้อนรับ พูดด้วยน้ำเสียงดีใจว่า “แม่นางเมิ่ง มาแล้วหรือ มานั่งด้านในเร็วเข้า”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเดินเข้าด้านใน แล้วนั่งลง

 

 

อวี้อวี่สั่งให้ยกชามา แล้วหัวเราะพูดว่า “เมื่อวานหลังจากที่ท่านพี่กลับมา บอกข้าว่ามันฝรั่งปลูกเสร็จหมดแล้ว หลายวันนี้พวกเจ้าเตรียมตัวกลับเมืองหลวง พวกเราก็กำลังรอให้เขาทำธุระเสร็จ แล้วกำลังเตรียมตัวไปหาเจ้าและซื่อจื่อ ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะมา”

 

 

“ครั้งที่แล้วรับปากไว้แล้วว่าจะมา ตอนนั้นรีบกลับเมืองหลวง ไม่มีเวลาเหลือจึงไม่ได้มา วันพรุ่งนี้พวกข้าจะกลับเมืองหลวงแล้ว จึงแวะมาหา” เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มตอบกลับไป

 

 

เซี่ยเหอพาเด็กๆ สามคนเข้ามา มีเด็กสองคนวิ่งเข้ามาที่อ้อมอกของอวี้อวี่แล้วเรียกว่า “ท่านแม่” ส่วนอีกคนหนึ่งเด็กหน่อยก็อยู่อ้อมอกของเซี่ยเหอ

 

 

อวี้อวี่พูดกับเด็กๆ ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “พวกเจ้าทำความเคารพน้าเมิ่งเสียสิ นางไม่เป็นเพียงเทพธิดาที่มาช่วยเหลือชาวบ้านหลินเฉิงเท่านั้น แต่ว่าเป็นผู้มีพระคุณของแม่และพ่อด้วย”

 

 

เด็กๆ เคยได้ยินชื่อของเมิ่งเชี่ยนโยวจากเสียงเล่าลือของผู้ใหญ่มาบ้างแล้ว จึงมองนางด้วยสายตาที่ใสซื่อและประหลาดใจ

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วโบกมือ “อย่าพูดเช่นนี้เลย เรื่องในปีนั้น เป็นเพราะพี่ชายของข้าขอร้องเอาไว้ ไม่เกี่ยวกับข้าเลยสักนิด ถ้าหากว่าพวกเจ้าจะขอบคุณ ก็ขอบคุณพี่ชายของข้าเถิด”

 

 

เมิ่งเสียนมาเมื่อหลายวันก่อน จางเจ๋อหวยและอวี้อวี่อยากหาโอกาสเข้าไปขอบคุณเขา แต่ว่าเขายุ่งเหลือเกิน ขนาดเวลาจะสนทนาพูดคุยกันยังไม่มี ทั้งสองคนเลยไม่ได้มีโอกาสนั้น ได้ยินดังนั้น อวี้อวี่จึงพูดว่า “พระคุณของคุณชายเมิ่ง พวกเราสองสามีภรรยายังจำได้ไม่ลืม”

 

 

เรื่องผ่านไปแล้วหลายปี เมิ่งเชี่ยนโยวไม่อยากจะพูดถึงซ้ำแล้วซ้ำเล่า จึงยิ้มแล้วโบกมือให้กับเด็กๆ ทั้งสามคน

 

 

ทั้งสามคนก็ไม่ได้เกรงกลัว เดินมาที่ตรงหน้านาง

 

 

ลูบหัวพวกเขาทีละคน เมิ่งเชี่ยนโยวทำสัญญาณบอกให้ชิงหลวนเอาของขวัญที่เตรียมมาให้เด็กๆ ออกมา บอกว่า “นี่เป็นของที่ข้าซื้อมาได้ ก็ไม่รู้ว่าพวกเจ้าจะชอบหรือไม่”

 

 

ทั้งสามคนรับของขวัญแล้ว ดีใจเป็นอย่างมาก แล้วตอบกลับไปด้วยความดีใจพร้อมๆ กันว่า “ชอบ! ขอบพระคุณน้าเมิ่งขอรับ”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวก็ลูบหัวพวกเขาทีละคนอีกครั้ง

 

 

เซี่ยเหอก็โค้งทำความเคารพนาง “แม่นางเมิ่ง ท่านคุยกับฮูหยินไปเถิดเจ้าค่ะ ข้าจะพาเด็กๆ ออกไปเล่น”

 

 

พูดจบ ก็กวักมือเรียกให้เด็กๆ กลับไปหาตน แล้วพาทั้งสามคนออกไป

 

 

อวี้อวี่ยิ้มแล้วอธิบายว่า “ตอนที่อยู่เสิ่งเฉิง เซี่ยเหอถูกใจกับเจ้าหน้าที่หนุ่มในที่ว่าการ ข้ากับท่านพี่เลยเห็นว่า ให้พวกเขาแต่งงานกัน เด็กน้อยที่อายุที่สุดคนนั้นคือลูกของนาง ตอนนี้เพิ่งจะสามขวบ”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า ถามว่า “เซี่ยเหอซื่อสัตย์ต่อพวกเจ้าสองสามีภรรยามาก นางกับเจ้าหน้าที่คนนั้นเลยกลายเป็นแขนซ้ายแขนขวาของพวกเจ้า เวลามีเรื่องอะไรพวกเจ้าก็เบาใจไปได้มาก”

 

 

อวี้อวี่ก็ดีใจเหมือนกัน “อืม จริงด้วย มีเขาทั้งสองคนอยู่ด้วย ทุกวันนี้เรื่องต่างๆ ในจวนล้วนไม่มีอะไรให้ข้าเป็นห่วงเลย” พูดจบ ก็เหมือนจะนึกอะไรขึ้นได้ ท่าทางเกิดความลังเลขึ้นมา

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นดังนัน จึงพูดว่า “ถึงแม้ว่าพวกเราไม่ใช่เพื่อนเก่าแก่กันมาก่อน แต่ถ้าหากว่าเจ้ามีเรื่องอะไรที่จัดการไม่ได้ล่ะก็ให้บอกข้า เผื่อช่วยอะไรได้”

 

 

รอยยิ้มบนใบหน้าของอวี้อวี่หายไป มองไปที่ชิงหลวน

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเข้าใจ จึงสั่งว่า “ชิงหลวน เจ้าออกไปรอข้าด้านนอกก่อน”

 

 

ชิงหลวนตอบรับ แล้วเดินออกไป

 

 

อวี้อวี่เดินมาอีกด้านหนึ่งของโต๊ะ แล้วทำท่าบอกให้เมิ่งเชี่ยนโยวดื่มชา

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยกถ้วยน้ำชาขึ้น จิบไปหนึ่งที แล้ววางลง มองไปที่นาง

 

 

อวี้อวี่ถึงถอนหายใจออกมา บอกว่า “เรื่องนี้ข้าก็บอกได้แต่กับแม่นางเมิ่งเท่านั้น คนอื่นช่วยข้าไม่ได้จริงๆ”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวมองไปที่นางไม่พูดอะไร

 

 

อวี้อวี่พูดต่อ “แม่นางเมิ่งรู้ว่าปีนั้นข้ากับสามีหนีมา มีเพียงตั๋วเงินที่เจ้าให้สองสามร้อยตำลึงเท่านั้น พวกเรามุ่งหน้าไปที่เมืองหลวง ต่อมาสามีสอบได้ ถูกส่งไปที่เสิ่งเฉิง ส่วนข้าตอนนั้นก็กำลังท้องอยู่ รอคลอดลูกเสร็จ พอรักษาตัวแล้ว ก็ผ่านไปแล้วหนึ่งปี ข้าอยากส่งจดหมายถึงท่านพ่อท่านแม่และพี่ชายของข้า บอกกับพวกเขาว่าข้าสบายดี แต่ว่าข้าไม่กล้า กลัวว่าหากพวกเขาโกรธ ก็จะรุดมาที่เสิ่งเฉิง แล้วจะกระทบต่อหน้าที่การงานของท่านพี่ เมื่อครุ่นคิดดู จึงอดใจไว้ไม่ส่งจดหมายกลับไป หลายปีมานี้ จนกระทั่งตอนนี้ ยิ่งไม่กล้าคิดติดต่อกับที่บ้านเลย ตอนที่หลินเฉิงยังไม่ประสบภัย ข้าได้ส่งคนไปสืบดูที่หมู่บ้านแล้ว เห็นว่าพ่อแม่ของข้าแก่ตัวลงมาก ผมเปลี่ยนเป็นสีขาวโพลนไปทั้งหัวแล้ว ข้าอดใจไม่ไหวร้องไห้ไปตั้งหลายวัน…”

 

 

“ถ้าอย่างนั้นก็กลับไปดูเสียหน่อยเถิด” นางยังพูดไม่ทันจบ เมิ่งเชี่ยนโยวก็พูดตัดบททันที

 

 

อวี้อวี่ชะงักไป อ้าปากค้างมองไปที่นาง คิดไม่ถึงว่าวิธีที่นางจะให้นั้นจะง่ายดายขนาดนี้

 

 

“เจ้าเป็นลูกของพวกเขา ไม่ว่าจะทำเรื่องผิดพลาดสักแค่ไหน พวกเขาก็ให้อภัยได้ ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้ใต้เท้าจางก็เป็นถึงนายอำเภอ นี่ก็เป็นการทดแทนที่เขาหนีออกมาในตอนนั้นได้แล้ว พ่อแม่ของท่านต้องอภัยเจ้าอย่างแน่นอน”

 

 

“แต่ แต่ว่า…” อวี้อวี่เอาแต่อ้ำอึ้งไม่พูดอะไร

 

 

“ไม่มีแต่ พวกเจ้าทำผิดพลาดไป คนที่ได้รับบทลงโทษนั้นคือพ่อแม่ต่างหาก หลายปีมานี้ ไม่รู้ว่าพวกเขาจะเป็นห่วงมากเท่าใด ไม่อย่างนั้นผมคงไม่ขาวตั้งแต่ยังอายุเท่านี้หรอก ตอนนี้สิ่งที่ควรทำก็คือ เก็บข้าวของ แล้วกลับบ้านในวันพรุ่งนี้”

 

 

อวี้อวี่ซาบซึ้งในทันใด ตาเป็นประกาย ลุกขึ้นยืน แล้วเดินไปเดินมาในห้องไม่หยุด พูดเบาๆ ว่า “ทำไมข้าถึงคิดไม่ได้นะ ทำไมข้าถึงคิดไม่ได้นะ” เมื่อพูดจบ ก็ทำเหมือนเมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้อยู่ในห้องอย่างใดอย่างนั้น เดินไปที่ประตู แล้วเปิดม่านประตูออก ตะโกนเรียก “เซี่ยเหอ เจ้ามานี่หน่อย”

 

 

เซี่ยเหอรีบวิ่งมา ถามอย่างรีบรนว่า “ฮูหยิน มีเรื่องอะไรหรือเจ้าคะ”

 

 

“เจ้ารีบไปเก็บของ พรุ่งนี้เราจะกลับตำบลชิงซี เยี่ยมท่านพ่อกับท่านแม่” อวี้อวี่สั่งอย่างรีบรน

 

 

เซี่ยเหอยืนอยู่กับที่ ชะงักไปชั่วครู่หนึ่ง

 

 

เห็นนางไม่เข้าใจ อวี้อวี่รีบร้อนเร่งนาง “เร็วเข้าสิ!”

 

 

เซี่ยเหอถึงได้รู้สึกตัว แล้วตอบรับด้วยน้ำเสียงดีใจ “ได้เจ้าค่ะ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้”

 

 

พูดจบ ก็ไม่ได้สนใจเด็กทั้งสามคนแล้ว วิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว

 

 

ทั้งสามคนก็รู้สึกสนุกด้วย หัวเราะวิ่งตามไปด้วย

 

 

อวี้อวี่ก็ไม่ได้เรียกให้พวกเขาหยุด ยิ้มแก้มปริมองพวกเขาวิ่งออกไป ถึงหันหลังกลับมา แล้วพูดด้วยสีหน้าที่ปลื้มปริ่มใจ “แม่นางเมิ่ง ขอบคุณมาก”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วลุกขึ้น “เจ้ามีความคิดที่จะกลับไป แต่ว่าต้องการคนที่มาสนับสนุนความคิดของเจ้าก็เท่านั้นเอง และคนนั้นก็คือข้านี่เอง ไม่ต้องขอบคุณหรอก ไม่เป็นไรเสียหน่อย ข้าก็ควรกลับไปได้แล้ว วันพรุ่งนี้ข้าต้องกลับเมืองหลวงแต่เช้า”

 

 

อวี้อวี่พยักหน้า ไม่ได้ดึงดันให้อยู่ต่อ แล้วออกมาส่งนางด้วยตนเอง มองนางที่ขึ้นรถม้าห่างออกไปแล้ว ถึงจะเดินหันหลังกลับเข้าไปยังที่ว่าการ

 

 

กลับไปที่ห้อง หวงฝู่อี้เซวียนได้สั่งคนให้เก็บของเรียบร้อยแล้ว นั่งรอนางกลับมาอยู่ในห้อง

 

 

ทั้งสองคนปรึกษากัน ตัดสินใจทำเหมือนครั้งที่แล้ว ก็คือออกจากเมืองอย่างเงียบๆ ในตอนเช้า

 

 

ตอนกลางคืนเข้านอนเร็วกว่าปกติ วันรุ่งขึ้นทั้งสองตื่นแต่เช้า กินข้าวเช้าเล็กน้อย กัวเฟยและทุกคนจัดเตรียมรถม้าเรียบร้อยแล้ว หวงฝู่อี้เซวียนกับเมิ่งเชี่ยนโยวและทุกคนก็นั่งบนรถม้าของแต่ละคน แล้วมุ่งหน้าไปที่ประตูเมืองอย่างเงียบๆ

 

 

คิดไม่ถึงเลยว่า ตอนที่พวกเขามาถึงที่ประตูเมือง ประตูเมืองเปิดแล้ว ที่หน้าประตูเมืองรายล้อมไปด้วยชาวบ้านที่มาส่ง

 

 

กัวเฟยเห็นเช่นนั้น จึงหยุดรถม้า แล้วตะโกนเรียกด้วยความซาบซึ้งว่า “นายหญิง ท่านลงมาดูเร็วเข้า!”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนเปิดม่านออก หยุดชะงัก

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยื่นหัวออกมาดู เมื่อเห็นภาพที่อยู่ตรงหน้าแล้ว ก็ชะงักไปเช่นเดียวกัน

 

 

นายอำเภอจางเจ๋อหวยยืนอยู่ที่ประตู แล้วเป็นผู้นำทุกคนคุกเข่าลง “นายอำเภอเขตหลินเฉิงจางเจ๋อหวยได้นำชาวบ้านมาคำนับซื่อจื่อและแม่นางเมิ่ง ขอขอบพระคุณซื่อจื่อและแม่นางเมิ่งที่มีพระคุณช่วยเหลือพวกเราชาวหลินเฉิงเอาไว้”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนกระโดดลงมาจากรถม้า แล้วเดินไปที่ตรงหน้าจางเจ๋อหวยอย่างรวดเร็ว พยุงเขาขึ้นมาด้วยตนเอง “นายอำเภอจาง ลุกขึ้นเร็วเข้าเถิด” พูดจบ ก็ยื่นมือออกไป “ทุกคนก็ลุกขึ้นด้วย”

 

 

ทุกคนลุกขึ้น

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวก็ลงจากม้าด้วย เดินมาที่ข้างๆ หวงฝู่อี้เซวียน

 

 

มีผู้อาวุโสท่านหนึ่งยืนอยู่ทางด้านหลังจางเจ๋อหวย มีลูกหลานคอยพยุงอยู่ ค่อยๆ เดินมาที่ด้านหน้า บอกว่า “ซื่อจื่อ แม่นางเมิ่ง ข้าขออาศัยความอาวุโสนี้เป็นตัวแทนพูดแทนชาวเมืองหลินเฉิงเสียหน่อย ท่านทั้งสองคนไม่เพียงแต่จัดการโรคระบาดให้กับหลินเฉิง แถมยังมอบเส้นทางทำมาหากินให้พวกเราอยู่รอดอีกด้วย เปรียบเสมือนเป็นพ่อแม่ของชาวบ้านเมืองนี้ก็ว่าได้ พระคุณและคุณธรรมอันล้ำเลิศของพวกท่าน พวกเราชาวหลินเฉิงจะไม่มีวันลืมอย่างแน่นอน”