ตอนที่ 14 ขนมไหว้พระจันทร์ โดย Ink Stone_Fantasy
มีหลายวิธีที่ผู้บำเพ็ญเซียนตบะขั้นกำเนิดใหม่จะบรรลุสู่ขั้นเปลี่ยนวิญญาณ หนึ่งในนั้นคือวิธีแบ่งภาคอวตารเพื่อเรียนรู้สั่งสมประสบการณ์ที่เสี่ยวชีใช้ แน่นอนหลายคนมองว่าวิธีนี้นั้นไร้เกียรติ แม้หวังลู่จะเข้าใจแต่ก็ไม่เคยใส่ใจอย่างจริงจัง
“แต่ไหนๆ ร่างจริงของท่านก็อยู่ในขั้นกำเนิดใหม่ช่วงปลาย หากเรียกร่างจริงของตัวเองกลับมา ท่านก็สามารถกวาดล้างสาขาเขาอวิ๋นไท่นี่ได้ในพริบตาเดียวไม่ใช่หรือ”
เสี่ยวชีตอบ “เพราะการจะเรียกร่างจริงกลับมามันไม่สะดวก ข้าเลยต้องขอให้เจ้าช่วยไงเล่า ตอนนี้ข้าอยู่ในช่วงทุกข์ทรมานของเปลี่ยนผ่านเป็นขั้นเปลี่ยนวิญญาณ เพราะร่างจริงของข้าถูกแบ่งภาคออกไปมากมาย ตอนนี้ร่างข้าเลยอยู่ในช่วงกึ่งมีอยู่จริงกึ่งไม่มีอยู่จริง และในช่วงทุกข์ทรมานนี้ ร่างของข้าก็ไม่อาจมาปรากฏตัวได้ ดังนั้น…”
หวังลู่ถอนใจ “พูดง่ายๆ ก็คือ ตอนนี้ท่านก็เป็นเพียงไก่อ่อนตบะขั้นสร้างแกนระดับกลางเท่านั้น”
“…เจ้า ตบะขั้นสร้างฐานระดับกลางอย่างเจ้ากล้าเรียกข้าว่าไก่อ่อนหรือ”
“อย่างน้อยข้าก็รู้จักตัวเองดีพอที่จะไม่ไปยั่วยุฝ่ายตรงข้ามซึ่งข้ารับมือไม่ไหวแน่ๆ”
“เป็นข้าหรือที่เพิ่งชี้นิ้วด่าชาวบ้านมาเมื่อกี้น่ะ”
“หากท่านไม่ให้ข้อมูลข้าผิดๆ ข้าก็หนีออกมานานแล้ว”
“…ช่างเถอะ ข้าจะไม่เสียเวลาเถียงกับเด็กหัวดื้ออย่างเจ้าหรอก ในเมื่อเรามีเป้าหมายเดียวกัน… แล้วจะเอายังไงต่อดี”
เสี่ยวชีเอ่ยขึ้นและมองหวังลู่อย่างคาดหวัง ราวกับว่ากำลังมองหาคำแนะนำจากเขา
หวังลู่พออกพอใจอย่างหนัก“เฮ้ ท่านเป็นถึงศิษย์พี่ที่ทรงพลัง แต่กลับอยากให้ข้าชี้แนะเนี่ยนะ!?”
“ในเมื่อเจ้าเป็นศิษย์ของหวังอู่ วิธีคิดของเจ้าย่อมดีกว่าข้าอยู่แล้ว ข้ากวนให้เจ้าคิดหาวิธีตรงๆ แบบนี้ดีที่สุด หนำซ้ำข้าไม่ใช่คนที่ชอบพูดจาอวดตัว ดังนั้นเจ้าย่อมไม่ต้องใช้จิตวิทยากับข้าให้เป็นภาระ”
“…ไม่ ภาระของข้าย่อมไม่ใช่ความอวดตัวของท่าน” เมื่อเรื่องมาถึงจุดนี้ หวังลู่ก็รู้สึกว่าการจะเชื่อศิษย์พี่ที่ดูสูงส่งและแข็งแกร่งซึ่งกำลังกวัดแกว่งไม้เท้าอยู่ตอนนี้นั้นเป็นเรื่องยาก แต่ก็อีกนั่นละ ไม่ว่านางจะไม่น่าเชื่อถือเพียงไร แต่ความจริงคือนางคือผู้บำเพ็ญเซียนตบะขั้นเปลี่ยนวิญญาณช่วงปลายที่มีอาวุธศักดิ์สิทธิ์ในมือและตอนนี้มีพลังอยู่ในขั้นสร้างแกน ความแข็งแกร่งของนางนั้นมากกว่าหวังลู่และหลิวหลีรวมกันเสียอีก ก่อนหน้านี้หากไม่เป็นเพราะสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์ได้เปรียบเรื่องสถานที่ และหากนางยอมปะทะซึ่งๆ หน้ากับแม่สาวหูแมวนั้น ก็ไม่รู้ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร
หนำซ้ำแม้พวกเขาจะต้องล่าถอยออกมาจากเขาอวิ๋นไท่ แต่หวังลู่ไม่คิดจะยอมแพ้แค่นี้ ตรงข้ามยิ่งเห็นฉากบนยกพื้นนั่นแล้ว ความคิดที่จะลงโทษสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์ก็ยิ่งมีมากขึ้น
ความจริงแม้การกระทำของสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์จะเข้าข่ายเส้นทางมาร แต่การใช้เล่ห์เพทุบายในอาณาจักรเก้าแคว้นไม่ถือว่าเป็นเรื่องผิดธรรมดาแต่อย่างใด สำนักเที่ยงธรรมชื่อดังทุกสำนักล้วนทำเช่นนี้ลับๆ ทั้งนั้น ยกตัวอย่างเช่น สำนักเซิ่งจิงที่รู้กันว่าเป็นหัวหน้าของเหล่าพันธมิตรหมื่นเซียน ยังมีเรื่องของปรมาจารย์จื้อเฟิงและสิ่งที่เขากระทำในแคว้นธาราครามเลย ไม่แน่ว่าวิธีที่สำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์แห่งแคว้นทักษิณสวรรค์ใช้จัดการสิ่งต่างๆ อาจจะโหดร้ายกว่านั้นนับร้อยเท่า ผู้บำเพ็ญเซียนบางคนของสำนักนี้ห้ามคนทั่วไปกินเนื้อ เนื้อของสัตว์ภูตประเภทที่พวกเขารัก เข่นฆ่าผู้คนหรือแม้กระทั่งทั้งตระกูล มันเป็นการกระทำของสายมารอย่างแท้จริง แต่แล้วอย่างไรเล่า ผู้บำเพ็ญเซียนที่ลงมือฆ่าก็แค่ต้องจ่ายค่าทำขวัญ สำนึกผิดและเก็บตัวจนกว่าเรื่องจะเงียบ ในเมื่อความรับผิดชอบส่วนบุคคลสามารถจัดการเรื่องให้คลี่คลายได้ ใครจะต้องการมีปัญหากัน
สิ่งนี้รวมถึงตอนที่หวังลู่ก่อตั้งสำนักภูมิปัญญาด้วย ถึงแม้มันจะดำเนินบนเส้นทางที่ถูกต้องและตอนนี้ก็มีระเบียบแบบแผนมากขึ้นกว่าเดิม แต่การใช้วิชาโลหิตเพลิงโหมนภาในขั้นต้นของการพัฒนาสำนักก็เป็นความจริงที่พวกเขาไม่อาจลบล้างได้
สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดอะไรในโลกบำเพ็ญเซียน ทว่าตรงข้าม การพบเจอกับตัวป่วนก็ถือเป็นเรื่องธรรมดาเช่นกัน การที่ปรมาจารย์จื้อเฟิงต้องเผชิญหน้ากับหวังอู่นั้นทำให้ความอุตสาหะหลายปีของเขาต้องสูญเปล่า สำหรับสำนักภูมิปัญญาของหวังลู่นั้นโชคดีกว่ามาก ในการพัฒนาช่วงแรกๆ สำนักไม่เคยต้องเจอกับผู้มากฝีมือที่ทำตัวจุ้นจ้าน หากต้องเผชิญหน้ากันหวังลู่คงต้องคิดหาทางรับมือกับศิษย์พี่เหล่านั้น แต่มาตอนนี้บนเขาอวิ๋นไท่ หวังลู่กลับอยากเข้าไปวุ่นวายกับเรื่องของคนอื่นเสียเอง
แม้เขาจะไม่ใช่ศิษย์พี่ที่เชี่ยวชาญ แต่การยื่นมือเข้าไปยุ่งกับเรื่องชาวบ้านก็ไม่จำเป็นต้องมีทักษะสูงส่งอะไร
“จะว่าไป สำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์จับสุนัขภูตเพื่อไปหลอมทำปลอกคอวิเศษเอาไว้จับตัวอ่อนของสัตว์เซียน ข้าอยากรู้จังว่าเจ้าสัตว์เซียนที่ว่านี่มันคือตัวอะไรกันแน่”
เสี่ยวชีกล่าว “ไม่แน่ใจ ตอนนี้ไม่มีใครแน่ใจทั้งนั้น แม้แต่สำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์ก็ทำได้เพียงประเมินระดับของมันเท่านั้น ซึ่งระดับของมันน่าจะเทียบเท่าผู้บำเพ็ญเซียนตบะขั้นพิสุทธิ์ช่วงปลาย แต่พวกเขาไม่รู้ว่ามันเป็นสัตว์ชนิดใดหรือว่าสายพันธุ์อะไร… แต่สัตว์เซียนในโลกนี้ส่วนใหญ่ก็ล้วนแตกต่างไม่เหมือนใครอยู่แล้ว ทำไม หรือเจ้าเองก็สนใจมันเหมือนกัน”
หวังลู่หัวเราะขำและมองไปยังเขาอวิ๋นไท่ที่อยู่ไกลๆ “สำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์มาเปิดสาขาที่นี่นานนับปีแล้ว พวกเขาทั้งเปลี่ยนเส้นฮวงจุ้ย สร้างสระวิญญาณและค่ายกลขึ้นมา ท่านว่าสิ่งเหล่านี้ต้องจ่ายไปเท่าไรกัน”
เสี่ยวชีคำนวณ “หากไม่นับแรงงานคน ก็น่าจะประมาณหนึ่งหรือสองล้านศิลาวิญญาณ”
“ถูกต้อง พวกเขาเพิ่งมาที่นี่ได้ไม่นาน จึงไม่ได้ลงทุนไปมากมายนัก ดังนั้นต่อให้ที่นี่ถูกทำลายราบเป็นหน้ากลอง คนพวกนั้นก็คงไม่เจ็บตัวเท่าไร… แต่ตรงข้ามท่านว่าเจ้าสัตว์เซียนนั่นมีมูลค่าเท่าไรกัน”
เสี่ยวชีตกตะลึง จากนั้นก็กล่าวพร้อมรอยยิ้ม “ย่อมประเมินค่าไม่ได้แน่”
สัตว์เซียนที่แท้จริงมีสถานะสูงส่งจนเกือบเกินขอบเขตของโลกบำเพ็ญเซียนในอาณาจักรเก้าแคว้น และเทียบได้กับขอบเขตของเซียนจริงๆ ซึ่งเป็นขั้นที่หัวหน้าของพันธมิตรหมื่นเซียนปรมาจารย์เหอตู้พยายามที่จะบรรลุอยู่ เมื่อครั้งที่จิ้งจอกเก้าหางมาที่เขากระบี่วิญญาณในปีนั้น พวกเขาต้องใช้ความพยายามและทรัพยากรมากมายในการผนึกมัน ดังนั้นจึงไม่ยากที่จะจินตนาการถึงมูลค่าของสัตว์ตัวนี้ หากเป็นสัตว์กึ่งเซียนอย่างเฟนรีร์ อย่างน้อยมูลค่าของมันก็น่าจะประมาณร้อยล้านศิลาวิญญาณ ส่วนสัตว์เซียนที่แท้จริงนั้นไม่อาจประเมินค่าเป็นศิลาวิญญาณได้
ส่วนเรื่องการจัดหมวดหมู่ของเฟนรีร์ มีคนไม่น้อยในอาณาจักรเก้าแคว้นยังต่อต้านสินค้าจากทวีปตะวันตกอยู่ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าความแข็งแกร่งของเฟนรีร์ไม่เข้าตามมาตรฐานของสัตว์เซียน ทว่าอย่างไรเสียในเมื่อไม่มีตัวอย่างการประลองที่แท้จริงให้เห็น จึงไม่มีข้อโต้แย้งที่เพียงพอจะไปแย้งในจุดนี้
เหตุผลที่หวังลู่ยกประเด็นสัตว์เซียนขึ้นมาก็เพื่อจะกวนน้ำให้ขุ่น ตอนนี้สำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์พยายามอย่างหนักที่จะจับตัวอ่อนของสัตว์เซียนนี้ แต่ความจริงเจ้าสุนัขภูตนี้อาจไม่เข้ามาตราฐานของสัตว์เซียน หรืออาจจะเป็นเพียงแค่สัตว์กึ่งเซียนก็ได้ ทว่าในเมื่อสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์ให้ความสำคัญกับมันและมองว่ามันเป็นเป้าหมาย ก็จะเป็นการเสียเปล่าหากฝั่งของหวังลู่ไม่มองว่ามันเป็นเป้าหมายเช่นกัน
“แล้วเจ้าคิดจะทำยังไงกันแน่” เสี่ยวชีล้มเลิกที่จะใช้สมองและมองหวังลู่อย่างคาดหวังที่จะเอาคำตอบ
หวังลู่เองก็ไม่ลังเล “มีอยู่สองทาง ทางแรกนั้นง่ายมาก ทันทีที่เราปล่อยข่าวว่าสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์พยายามจะจับตัวอ่อนของสัตว์เซียน ต้องมีตัวก่อกวนจำนวนไม่น้อยมาที่นี่เพื่อสร้างปัญหาแน่ เราก็แค่มองดูอยู่เงียบๆ พอสบโอกาสเราก็ค่อยออกไปฉวยผลประโยชน์มาเป็นของตัวเอง แบบนี้ก็ประหยัดแรงไปได้ไม่น้อย”
เสี่ยวชีปรบมือชมเชยอีกฝ่าย “โอ้ วิธีนี้ไม่เลวเลย”
“แต่วิธีนี้ก็มีปัญหา กลยุทธ์นี้จะโจ่งแจ้งไป และสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์ก็เป็นสำนักชั้นสูง พวกเขาแข็งแกร่ง มีชื่อเสียงดีงาม และมุ่งมั่นในเรื่องนี้อย่างมาก หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป พวกเขาอาจขอให้ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่และขั้นเปลี่ยนวิญญาณจากฐานที่มั่นหลักที่แคว้นทักษิณสวรรค์เดินทางมาที่นี่เพื่อกำราบความวุ่นวาย ถึงตอนนั้นคงไม่ง่ายที่เราจะฉกฉวยผลประโยชน์ได้”
“ฟังดูมีเหตุผล ยังไงซะเจ้านี่ก็เป็นถึงตัวอ่อนของสัตว์เซียนเชียวนะ”
หวังลู่กล่าวต่อ “ดังนั้นทางที่สองคือเดินหมากอย่างเงียบๆ เพื่อที่ว่ากว่าพวกขี้แพ้ของสาขานี้จะรู้ตัวและโต้กลับมันก็สายไปเสียแล้วเพราะความจริงของเรื่องนี้ถูกเปิดเผยไปแล้ว จากนั้นหากไม่มีทางอื่นอีก อย่างน้อยก็สามารถใช้ชื่อเสียงของสำนักกระบี่วิญญาณของข้าได้”
เสี่ยวชีถามกลับ “ความจริงของเรื่องนี้ถูกเปิดเผยไปแล้ว ตรงนี้เจ้าหมายความว่ายังไง”
“ตอนนี้สำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์ยังจับตัวอ่อนของสัตว์เซียนไม่ได้ ดังนั้นมันจึงถือว่ายังไม่มีเจ้าของ และในทางทฤษฎีก็คือใครดีใครได้ แคว้นสายหมอกเป็นสถานที่ที่วุ่นวาย แม้แต่สำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์ก็ยังไม่อาจสร้างชื่อเสียงที่เขาอวิ๋นไท่ได้ อย่างน้อยพันธมิตรหมื่นเซียนก็ยังไม่ถอนตัวออกจากที่นี่ ดังนั้นทรัพยากรต่างๆ ในดินแดนนี้ก็จะยังไม่มีเจ้าของจนกว่าจะมีคนยื่นมือเข้าไป แน่นอนว่าทฤษฎีนี้ใช้ไม่ได้กับสำนักดาดๆ เพราะสำหรับคนพวกนั้นแล้ว ความแข็งแกร่งคือกฎ ถ้าสำนักพวกนั้นจับตัวอ่อนของสัตว์เซียนได้ สำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์ย่อมต้องใช้กำลังเอามันไปแน่ แต่สำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์จะกล้าหาเรื่องสำนักกระบี่วิญญาณหรือ”
ดวงตาของเสี่ยวชีเป็นประกาย ใบหน้าของนางเปี่ยมไปด้วยความชื่นชม “ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะศึกษากฎพรรค์นี้ด้วย”
“หึ นี่คือคุณสมบัติที่นักผจญภัยมืออาชีพต้องมี” หวังลู่ไม่มีท่าทีถ่อมตัวแม้แต่น้อย “ดังนั้นสำหรับพวกเราที่มีกันอยู่แค่นี้ เราควรทำตัวให้เรียบง่ายที่สุด พอเราหาตัวอ่อนของสัตว์เซียนนั่นเจอก่อนสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์ ข้าก็จะใช้ยันต์สวรรค์กลับสำนัก จากนั้นพวกเขาก็ทำได้เพียงร้องไห้ให้กับโชคชะตาเพราะไม่มีที่ที่จะให้ไปร้องทุกข์”
เสี่ยวชีตื่นเต้นหนักกว่าเดิม “กล่าวได้ดี แต่เราจะหาตัวอ่อนสัตว์เซียนนั่นได้ยังไง เท่าที่ข้ารู้ แม้มันจะไม่แข็งแกร่งเท่าไหร่ แต่มันก็มีพลังวิเศษที่ทำให้ผู้อาวุโสของสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์ไม่อาจทำอะไรได้ จนพวกเขาต้องหันไปหลอมปลอกคอสัตว์ภูตขึ้นมาแทน หากหาตัวมันได้ง่าย คนพวกนั้นคงไม่เข้าตาจนจนต้องทำกับสุนัขภูตอย่างไร้มนุษยธรรมแบบนั้นหรอก”
“เรื่องนี้เราเองก็ต้องดูก่อน” หวังลู่พูดจากนั้นก็ยกเท้าขึ้นเตะเจ้าสุนัขหน้าโง่ “เจ้านี่อย่างน้อยก็เป็นสัตว์กึ่งเซียน ยังไงซะก็น่าจะออกค้นหาสหายตัวน้อยของมันได้ละมั้ง”
เสี่ยวชีตกตะลึง “ใช้เสียงสะท้อนรึ”
“ถูกต้อง ในตำรากล่าวว่า สัตว์ภูตยิ่งชั้นสูงแค่ไหน มันก็น่าจะสะท้อนเสียงใส่กันได้ดีเท่านั้น ตัวอย่างเช่น หากมีอาวุธโบราณที่เปลี่ยนร่างมาเป็นสิ่งมีชีวิต อาวุธศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ใกล้ๆ นั้นก็อาจจะมีปฏิกิริยาขึ้นมา แม้เจ้าสุนัขหน้าโง่ตัวนี้จะทึ่มไปหน่อย แต่มันก็เป็นถึงสัตว์กึ่งเซียน ดังนั้นมันจึงควรมีโหมดเสียงสะท้อนจริงไหม”
“อืม…” เสี่ยวชีมองหัวหัวที่อยู่บนพื้นอย่างไม่ค่อยมั่นใจ “แน่ใจหรือว่าเจ้านี่จะทำได้”
“ไม่มีปัญหา ถ้ามันทำไม่ได้ ก็ให้อดอาหารไปซะ”
“โฮ่ง!?”
เมื่อสัมผัสได้ถึงวิกฤตที่ใกล้เข้ามา เจ้าสุนัขหน้าโง่ก็รู้สึกร้อนรนอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ดวงตาสองข้างของมันเบิกกว้าง จมูกกระตุกรุนแรงขณะสูดดมกลิ่นอย่างไม่ลดละ
ท่าทางแสร้งทำเช่นนี้ดูคล้ายคลึงสุนัขตัวอื่นๆ ที่พยายามดมกลิ่นอะไรสักอย่าง แต่ในตอนนั้นไม่มีใครเห็นเป็นเรื่องจริงจัง โดยเฉพาะเสี่ยวชีที่คุ้นเคยกับพฤติกรรมของสุนัขเป็นอย่างดี นางกลับรู้สึกว่าเป็นเรื่องตลกไม่น้อย “เจ้านี่ฉลาดไม่เบา”
ทว่าอึดใจถัดมา รอยยิ้มของเสี่ยวชีก็แข็งค้างไป
ฮวาฮวาพูดออกมาเป็นภาษามนุษย์ “เงียบหน่อย ข้าเหมือนได้กลิ่นบางอย่าง”
เสี่ยวชีประหลาดใจเหลือล้น “มันพูดได้ด้วย!?”
หวังลู่เองก็ประหลาดใจเช่นกัน “เจ้าได้กลิ่นอะไร ไม่ใช่เนื้อสุนัขใช่ไหม!?”
ฮวาฮวาเมินคำพูดของมนุษย์ทั้งสอง มันดมกลิ่นต่อจากนั้นก็พูดขึ้น “บนเขาอวิ๋นไท่แห่งนี้ ทุกที่มีแต่กลิ่นแปลกๆ ก่อนหน้านี้ข้าไม่ทันได้ใส่ใจ แต่พอได้ยินที่ท่านพูด… อาจจะเป็นกลิ่นเดียวกันก็ได้”
หวังลู่ถาม “เจ้าฟันธงไม่ได้หรือ”
“ยากไปหน่อย กลิ่นมันค่อนข้างจาง กลิ่นนี้มีอยู่ทั่วในรัศมีหนึ่งพันลี้รอบเขาอวิ๋นไท่ ดังนั้นข้าเลยกำหนดพิกัดของมันไม่ได้”
“ไม่เป็นไร เป็นไปตามที่ข้าคิดไว้อยู่แล้ว” หวังลู่พยักหน้า “หากตามตัวได้ง่าย สำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์คงจัดการเรื่องนี้ได้ไปนานแล้ว ครั้งนี้ฝั่งเรายังมีเวลาเหลือเฟือ รัศมีหนึ่งพันลี้รอบเขาอวิ๋นไท่ไม่ใช่พื้นที่ที่ใหญ่โตอะไร ถ้าลองตรวจสอบพื้นที่กันสักครั้ง ย่อมต้องได้ร่องรอยอะไรบ้างแน่ๆ”
ฮวาฮวาดมกลิ่นอีกครั้งจากนั้นก็กล่าวขึ้น “มีกลิ่นของพระจันทร์ด้วย”
หวังลู่ตกใจ จากนั้นก็ล้วงเอาขนมไหว้พระจันทร์ออกมาโยนให้เจ้าสุนัขหน้าโง่ “เจ้าได้กลิ่นสิ่งนี้ด้วย!? นี่ใช่กลิ่นพระจันทร์ที่เจ้าพูดถึงไหม”
ฮวาฮวาคิดอยู่พักหนึ่ง แต่ปากก็รีบกัดขนมไหว้พระจันทร์ในทันใด จากนั้นก็พูดออกมาอย่างคลุมเครือ “อาจจะ”
ผ่านไปพักหนึ่ง เจ้าสุนัขก็พ่นขนมไหว้พระจันทร์ออกมา “นี่มันขนมไหว้พระจันทร์ไส้เนื้อนี่!”