“พระชายาน้อย ตื่นเถิด”
เซี่ยฟางหวารู้สึกได้ว่ามีคนเขย่าตัวท่ามกลางสติที่เลอะเลือน เสียงที่เข้าสู่โสตการฟังคุ้นเคยเป็นอย่างยิ่ง นางเปิดเปลือกตาเชื่องช้า พบว่าเยว่ลั่วกำลังประคองไหล่เขย่านางให้ตื่นขึ้นมา
“ในที่สุดท่านก็ฟื้นแล้ว” เย่วลั่วเห็นว่านางฟื้นแล้วก็รีบปล่อยมือแล้วถอยห่างออกไปสองก้าว
เซี่ยฟางหวาพินิจมองรอบทิศ พบว่าตนยังอยู่ในถ้ำแห่งนั้น ทว่าเบื้องหน้านอกจากเยว่ลั่วก็ไม่พบเซี่ยอวิ๋นหลานอยู่แล้ว นางจึงรีบถามขึ้น “เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”
“ข้าน้อยได้รับคำสั่งจากท่านอ๋องน้อยให้คอยคุ้มครองท่าน พอท่านเกิดเรื่อง ข้าน้อยก็นำคนออกตามหาเลียบภูเขาลูกนี้” เยว่ลั่วเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก “ค้นหามาหนึ่งคืน ในที่สุดก็หาท่านจนพบ”
“หนึ่งคืน” ตอนนี้เซี่ยฟางหวาเพิ่งเห็นรอยขาดบนเสื้อผ้าของเขาที่ไม่รู้ว่าถูกกิ่งไม้หรือหินผาเกี่ยวเข้า ดูกระเซอะกระเซิงอย่างยิ่ง
“ขอรับ บ่ายเมื่อวาน ท่านกับคุณชายอวิ๋นหลานไปสำรวจสถานการณ์ที่อารามลี่อวิ๋นแล้วประสบดินถล่ม ตอนนั้นข้าน้อยไปช่วยไม่ทัน ต่อมาจึงนำคนออกค้นหาทั่วหุบเขา เพิ่งจะพบท่านเมื่อครู่นี้เอง” เยว่ลั่วบอก
“พี่…อวิ๋นหลานเล่า เจ้าเห็นเขาหรือไม่” เซี่ยฟางหวาถาม
เยว่ลั่วส่ายหน้า “ข้าเพิ่งหาตรงนี้ได้ไม่นาน พบแค่ท่านเท่านั้น ไม่เห็นคุณชายอวิ๋นหลานเลย” พูดจบก็กล่าวต่อ “แทบจะพลิกหาทั่วทั้งป่าแล้ว”
เซี่ยฟางหวามองรอบกาย ถ้ำแห่งนี้ไม่ต่างอันใดจากก่อนหน้าที่นางหมดสติไปแม้แต่น้อย นางจึงหลับตาลง “ส่งข่าวบอกฉินเจิงหรือยัง”
“เมื่อคืนส่งข่าวบอกท่านอ๋องน้อยแล้ว” เยว่ลั่วตอบ “ท่านอ๋องน้อยรุดเดินทางมาในคืนนั้น นำคนค้นหาทั้งภูเขา ข้าน้อยเพิ่งหาท่านพบจึงยังมิได้ส่งข่าวบอก เช่นนั้นขอไปส่งข่าวบอกท่านอ๋องน้อยก่อน”
เซี่ยฟางหวาพยักหน้า
เยว่ลั่วหันหลังเดินออกไป
เซี่ยฟางหวาเห็นว่านอกถ้ำฝนหยุดตกแล้ว ฝนที่ตกหนักติดต่อกันหลายวันในที่สุดก็หยุดลงเสียที นางลุกขึ้นยืน ทว่าก็รู้สึกไร้เรี่ยวแรงจนล้มลงไปนั่งใหม่
ไม่นานเยว่ลั่วก็กลับเข้ามา เห็นนางนั่งอยู่บนพื้นก็ช่วยประคองนาง
เซี่ยฟางหวาปล่อยให้เขาประคองช่วยพลางเอ่ยขึ้น “ฝนหยุดแล้วหรือ ประคองข้าออกไปนอกถ้ำ”
“ฝนเพิ่งหยุดตกเมื่อเช้านี้ เมื่อคืนหากไม่ใช่เพราะฝนตกหนัก คงหาท่านพบเร็วกว่านี้” เยว่ลั่วพยักหน้า
เซี่ยฟางหวาไม่เอ่ยคำใด
เยว่ลั่วประคองเซี่ยฟางหวาออกมานอกถ้ำ หลังฝนหยุดตกทุกแห่งเต็มไปด้วยน้ำหลาก สะสมจนกลายเป็นแม่น้ำ
เบื้องหน้านอกจากต้นไม้ ป่าหญ้า และแอ่งน้ำขนาดใหญ่แล้วก็ไร้ซึ่งผู้ใด นางละสายตากลับมา ก่อนพิงเข้ากับผนังหินอย่างเฉื่อยชา
ไม่นานก็มีหมอกควันระเบิดขึ้นกลางท้องฟ้า
“ท่านอ๋องน้อยเห็นสัญญาณที่ข้าส่งไปแล้ว นี่คือการตอบกลับ คงจะรีบตามมา” เยว่ลั่วรีบเอ่ยขึ้น
“หน้าผาสูงถึงเพียงนี้ เจ้าส่งสัญญาณออกไปอย่างไร” เซี่ยฟางหวาพยักหน้าก่อนมองขึ้นไปยังหน้าผาสูงเฉียดเมฆ
“มีนกตัวหนึ่งนำระเบิดสัญญาณบินขึ้นไป” เยว่ลั่วตอบ “ท่านอ๋องน้อยคงอยู่ไม่ไกลนัก”
เซี่ยฟางหวาไม่เอ่ยคำใดอีก
เป็นจริงดังคาด ครึ่งชั่วยามถัดมา ฉินเจิงก็ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าเซี่ยฟางหวาด้วยสภาพที่กระเซอะกระเซิงยิ่งกว่าเยว่ลั่ว
เซี่ยฟางหวามองฉินเจิงที่รุดหน้ามาด้วยความรีบร้อน คล้ายกับว่าไม่ได้พบเขานานมากแล้ว ตอนที่นางกลับมาจากเขาไร้นาม เขายังเป็นเด็กหนุ่มอายุราวยี่สิบปี ทว่ายามนี้เขาคือสามีของนาง
ฉินเจิง
เป็นฉินเจิง
เป็นเขา
ทันทีที่ฉินเจิงมาถึงและได้พบเซี่ยฟางหวา คล้ายมีลมวูบหนึ่งพัดกระทบใบหน้านาง ในขณะที่นางยังไม่ทันได้มองใบหน้าเขาให้ชัดเจนก็ถูกดึงเข้าไปกอดแล้ว
เซี่ยฟางหวาสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นที่เยือกเย็นจากกายเขา มันเต็มไปด้วยไอชื้นจากทะเลสาบ ขอบตานางพลันเจ็บแปลบขึ้นมา เอื้อมมือไปกอดเขาแน่นเช่นกัน ส่งเสียงทุ้มต่ำเรียก “ฉินเจิง”
“ข้าอยู่นี่” ฉินเจิงโอบกอดนางแน่น ราวกับต้องการให้จมหายไปกับอกเขา น้ำเสียงแหบพร่า
“ฉินเจิง” เซี่ยฟางหวาเอ่ยเรียกขึ้นอีก
“ข้าอยู่นี่” ลำคอฉินเจิงแห้งผากจนน่ากลัว
เซี่ยฟางหวาเอ่ยเรียกขึ้นอีกครั้ง
“ข้าอยู่นี่ ข้าอยู่นี่ ข้าอยู่นี่แล้ว…” ฉินเจิงพร่ำปลอบ พร้อมกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น
เซี่ยฟางหวาแนบใบหน้าเข้ากับทรวงอก ฟังเสียงหัวใจเขาเต้น
ผ่านไปเนิ่นนานฉินเจิงก็ปล่อยนางออกเชื่องช้า ก่อนช้อนเอวอุ้มนางแทน “ออกจากหุบเขากันเถอะ”
เซี่ยฟางหวาส่งเสียง “อืม” ตอบรับ ก่อนฝังใบหน้าเข้ากับแผ่นอกเขา
ฉินเจิงไม่เอ่ยคำใดเลย เพียงอุ้มเซี่ยฟางหวาเดินออกไปเท่านั้น เซี่ยฟางหวาก็ไม่เอ่ยคำใดเช่นกัน ฟังเสียงเขาย่ำเท้าเหยียบหญ้าบนพื้นจนเกิดเสียงแซกๆ ดังไม่หยุด
“อีกไกลหรือไม่กว่าจะออกไปได้ เจ้าวางข้าลงเถอะ ข้าเดินเองได้” เดินไปได้พักใหญ่เซี่ยฟางหวาก็เอ่ยถามเสียงต่ำ
“ไม่ไกลนัก” ฉินเจิงก้มมองนาง “ข้าไม่เหนื่อย อุ้มเจ้าเดินได้”
เซี่ยฟางหวาไม่เอ่ยคำใดอีก
เมื่อเดินต่อไปอีกเป็นเวลาราวสองก้านธูป เสียงของพวกซื่อฮว่ากับซื่อม่อแปดคนก็ดังขึ้นมาจากข้างหน้า “คุณหนู”
เซี่ยฟางหวาได้ยินน้ำเสียงแหบแห้งของแต่ละคนคล้ายกับผ่านการร้องไห้มา นางทำท่าบอกให้ฉินเจิงปล่อยนางลง
ฉินเจิงกลับอุ้มนางต่อ ไม่มีท่าทีว่าจะวางนางลง
ไม่นานพวกซื่อฮว่าก็เดินเข้ามาใกล้ “คุณหนู ท่านเป็นอย่างไรบ้าง พวกบ่าว…”
“ข้าสบายดี ไม่เป็นไร” เซี่ยฟางหวามองทั้งแปดคน ดูออกว่าพวกนางก็ตามหาตนมาทั้งคืนเช่นกัน แต่ละคนดูกระเซอะกระเซิงอย่างยิ่ง นางจึงส่ายหน้าตอบ
ฉินเจิงมองทั้งแปดคนแวบหนึ่ง ก่อนผิวปากเรียกม้าตัวหนึ่งวิ่งมา
“ไปยังตำบลเหมียนที่ใกล้จากตรงนี่ที่สุดก่อน” เขาอุ้มเซี่ยฟางหวาขึ้นม้าแล้วเอ่ยบอกทั้งแปด
พวกซื่อฮว่าพยักหน้ารับ
ฉินเจิงโอบเซี่ยฟางหวา ก่อนควบม้ามุ่งหน้าออกจากหุบเขา
หุบเขาแห่งนี้แม้พบร่องรอยมนุษย์น้อยมาก แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นหุบเขาปิดตายไร้ทางออกเสียทีเดียว เพียงแต่หาทางเข้ายาก และออกไปยากด้วยก็เท่านั้น
ฉินเจิงทราบดีว่าเซี่ยฟางหวาอ่อนแรงยิ่ง จึงตั้งใจผ่อนความเร็วลง
ครึ่งชั่วยามถัดมาก็อ้อมออกจากเขาลูกนี้ได้ และมาถึงตำบลเหมียน
เมื่อเข้ามาข้างในตัวตำบล ฉินเจิงก็มองหาโรงเตี๊ยมแล้วเหมาเรือนหลังเล็ก ก่อนอุ้มเซี่ยฟางหวาเข้าไปข้างใน ขณะนั้นก็สั่งงานพวกซื่อฮว่าที่ตามมาข้างหลัง “ไปบอกเจ้าของโรงเตี๊ยมให้ต้มน้ำอุ่นมาด้วยสองถัง”
“เจ้าค่ะ ท่านอ๋องน้อย” ซื่อฮว่ารีบออกไป
ฉินเจิงวางเซี่ยฟางหวาลงบนเตียง
“วางข้าลงเถอะ ตัวข้ามีแต่โคลน ทำเตียงเขาสกปรกพอดี” เซี่ยฟางหวารีบเอ่ยห้าม
“สกปรกก็ค่อยซื้ออันใหม่มาชดใช้ให้” ฉินเจิงไม่สนใจ ตรงไปวางนางบนเตียง
เซี่ยฟางหวาได้แต่ปล่อยเลยตามเลย
เมื่อฉินเจิงวางนางลงแล้วก็นั่งลงบนหัวเตียง จ้องมองนางตาไม่กะพริบ
“ขอโทษ ทำให้เจ้าเป็นห่วงแล้ว” เซี่ยฟางหวามองเขาพลางเอ่ยเสียงเบา
“เจ้าก็รู้ว่าทำให้ข้าเป็นห่วง ต่อไปเรื่องแบบนี้อนุญาตแค่ครั้งนี้ครั้งเดียวเท่านั้น” ฉินเจิงเม้มปาก
เซี่ยฟางหวาพยักหน้ารับ
ฉินเจิงดึงนางเข้ามากอดอีกครั้ง ไม่เอ่ยคำใดขึ้นอีก
เซี่ยฟางหวาซุกแผ่นอกเขา เวลานั้นไม่รู้ว่าควรเอ่ยคำใดดี ตั้งแต่เยว่ลั่วส่งข่าวบอกเขา กระทั่งเขาหานางพบ ตลอดทางเขาก็ไม่แม้แต่จะเอ่ยถามว่าเกิดอันใดขึ้น ตกลงว่าเขารู้หรือไม่รู้กันแน่…
“ท่านอ๋องน้อย น้ำพร้อมแล้วเจ้าค่ะ ให้ยกเข้าไปเลยหรือไม่” ซื่อฮว่าเอ่ยถามจากข้างนอก
“ยกเข้ามา” ฉินเจิงปล่อยเซี่ยฟางหวา
ซื่อฮว่านำคนยกถังบรรจุน้ำเข้ามาวางหลังฉากกั้นสองถัง แล้วเอ่ยขึ้นอีก “ท่านอ๋องน้อย คุณหนู บ่าวจะไปสั่งให้คนเตรียมอาหารก่อน หากท่านทั้งสอบอาบน้ำเสร็จแล้วก็เรียกบ่าวได้”
“ไปเถอะ” เซี่ยฟางหวาพยักหน้า
ซื่อฮว่าเดินออกไปแล้วปิดประตูให้
ฉินเจิงฉีกอาภรณ์บนกายเซี่ยฟางหวาออก ก่อนอุ้มนางเดินไปยังหลังฉากกั้นแล้ววางนางลงในถังไม้ จากนั้นเขาก็หันหลังเดินออกไปสั่งงานข้างนอก “ไปซื้อเสื้อผ้าสองชุดกับเครื่องนอนใหม่มาด้วย”
“ขอรับ” มีคนขานรับแล้วรีบออกไป
ฉินเจิงหันกลับมาเดินไปยังหลังฉากกั้น ฉีกเสื้อตัวนอกออกแล้วลงไปแช่น้ำในอีกถังอีกใบหนึ่ง
ไอน้ำห่อหุ้มผิวกาย เซี่ยฟางหวาที่ตัวเย็นเยียบค่อยๆ อุ่นขึ้นมาหลายส่วน ครุ่นคิดแล้วก็เอ่ยถามขึ้น “ท่านป้า จินเยี่ยน กับเยี่ยนหลันกลับถึงเมืองปลอดภัยหรือไม่”
“พวกนางประสบเหตุลอบสังหารระหว่างทาง แต่เจ้ามอบผู้คุ้มกันจวนอิงชินอ๋องที่ท่านแม่มอบให้เจ้ากับพวกนางแล้ว ผู้คุ้มกันพวกนั้นเรียกได้ว่าหนึ่งต่อสาม นอกจากเยี่ยนหลันที่บาดเจ็บ ก็แค่สร้างความตื่นตระหนกแต่ไร้อันตราย” ฉินเจิงหลับตาผิงขอบถังด้วยความเหนื่อยล้า
“เยี่ยนหลันบาดเจ็บสาหัสหรือไม่” เซี่ยฟางหวาถาม
“ไม่ถึงชีวิต” ฉินเจิงตอบ
เซี่ยฟางหวาโล่งใจ ก่อนเม้มปาก “ตกลงว่าเป็นใครกันแน่ นึกไม่ถึงว่าจะวางแผนการทุกย่างก้าว สร้างคดีลอบสังหารต่อเนื่องเช่นนี้ วันนั้นเจ้าไปที่จวนหมอหลวงซุน ได้ความคืบหน้าบ้างหรือไม่”
“หมอหลวงซุนถูกสังหารเพราะลูกสะใภ้คนที่สองของเขานอกใจ แอบคบชู้กับคนขับรถในบ้าน เมื่อหมอหลวงซุนรู้เข้า ยังไม่ทันได้จัดการก็ถูกเรียกตัวไปค่ายทหาร ดังนั้นสตรีผู้นั้นจึงฉวยโอกาสสั่งให้คนขับรถนายนั้นสังหารหมอหลวงซุนเสีย คนขับรถนายนั้นเดิมทีมีวิทยายุทธ์อยู่บ้าง อาศัยจังหวะที่หมอหลวงซุนไม่ทันระวังตัวสังหารเขา หลังสังหารหมอหลวงซุนแล้วก็กลัวว่าจะเกี่ยวโยงไปถึงมารดาแม่หม้ายกับน้องชายในบ้าน ด้วยเหตุนี้จึงสร้างสถานการณ์ตบตาว่าเขาเองก็ถูกสังหารเช่นกัน” ฉินเจิงมีใบหน้าเคร่งขรึม
“นึกไม่ถึงว่าเป็นเช่นนี้” เซี่ยฟางหวาไม่อยากเชื่อ
ฉินเจิงพยักหน้า
“เช่นนั้นใต้เท้าหานเล่า”
“ยังไม่ได้เบาะแส” ฉินเจิงตอบ
“เรื่องอื่นเล่า” เซี่ยฟางหวาถามอีก
“ผู้อาวุโสอีกท่านจากตระกูลหลูแห่งฟ่านหยางที่ถูกคุมตัวไปส่งที่กรมอาญาตายในคุกแล้ว เสนาบดีฝ่ายซ้ายเห็นใจสายเลือดในตระกูลเดียวกันจึงยื่นหนังสือต่อเสด็จอา ขอความเมตตาให้ตระกูลหลูแห่งฟ่านหยางสักหนึ่งส่วน เมื่อวานเสด็จอาทรงเข้าว่าราชการยามเช้า และทรงมีพระราชโองการว่า ไม่อนุญาตให้ตระกูลหลูแห่งฟ่านหยางคนใดในสามรุ่นเข้ามาเป็นขุนนางในราชสำนักอีก” ฉินเจิงตวัดตามองนาง
“ถือว่าเร่งจัดการตระกูลหลูแห่งฟ่านหยาง หมายความปิดคดีฆาตกรรมที่ค่ายใหญ่เขาตะวันตกแล้วหรือ” เซี่ยฟางหวามองเขา “คดีใต้เท้าหานกับผู้อยู่เบื้องหลังเล่า”
“ไม่ถือว่าเป็นการปิดคดี เพียงแต่สร้างขวัญทหารในค่ายให้มั่นคงเท่านั้น” ฉินเจิงตอบ
“ฉินอวี้เล่า” เซี่ยฟางหวาถาม
“ฉินอวี้เดินทางไปขุดลอกคูคลองด้วยตัวเองที่มณฑลโจวแล้ว” ฉินเจิงตอบ “ฝนเทกระหน่ำตลอดหลายวันมานี้ หลายพื้นที่ในหนานฉินเกิดอุทกภัย ขุนนางทุกคนในราชสำนักกระทั่งขุนนางทุกคนในมณฑลโจวต่างต้องควบคุมดูแลการขุดลอกคูคลองทีละขั้น หากรัชทายาทไม่ไปกำกับควบคุมด้วยตัวเอง ขุนนางระดับล่างคงสะเพร่า กลัวว่าหากประชาชนไม่พอใจจะนำมาซึ่งการก่อจลาจล”
เซี่ยฟางหวาได้ยินเช่นนั้นก็ไม่เอ่ยคำใดอีก
“ท่านอ๋องน้อย ซื้อของที่ท่านต้องการมาแล้ว” มีคนเอ่ยขึ้นจากข้างนอก
“นำเข้ามา” ฉินเจิงสั่ง
มีคนผลักประตูนำของเข้ามาวางอย่างรวดเร็ว ก่อนปิดประตูเดินออกไป
ฉินเจิงขึ้นจากถังอาบน้ำ ห่อผ้าเช็ดตัวเดินออกมาจากหลังฉากกั้นเพื่อตรงไปสวมเสื้อผ้า พร้อมทั้งนำชุดกระโปรงของเซี่ยฟางหวาเข้ามาวางบนชั้นด้านข้าง จากนั้นก็เอ่ยขึ้น “เจ้าติดอยู่ในหุบเขามานาน ไอความเย็นซึมสู่ร่างกาย แช่น้ำต่ออีกหน่อยค่อยขึ้นมาเถอะ”
เซี่ยฟางหวาพยักหน้า
ฉินเจิงเดินออกมาจากหลังฉากกั้นอีกหน ก่อนรื้อเครื่องนอนที่สกปรกออกแล้วเปลี่ยนเป็นเครื่องนอนชุดใหม่ จากนั้นก็เดินมาริมหน้าต่างแล้วตะโกนเรียก “ใครก็ได้”
“ท่านอ๋องน้อย” มีคนขานรับ
“ส่งข่าวบอกจวนอิงชินอ๋องกับจวนจงหย่งโหวว่าพระชายาน้อยปลอดภัยแล้ว” ฉินเจิงสั่งงาน
“ขอรับ” คนผู้นั้นเห็นว่าเขาไม่มีคำสั่งอื่นก็ถอยกลับออกไป
ฉินเจิงยืนอยู่ริมหน้าต่างพลางมองออกไปข้างนอก ผ่านไปเนิ่นนานก็เดินกลับมาที่เตียงแล้วล้มตัวนอน
เซี่ยฟางหวาแช่น้ำในถังต่ออีกเป็นเวลาราวสองถ้วยชาก่อนขึ้นจากน้ำ นำชุดกระโปรงมาสวมใส่ให้เรียบร้อยก่อนเดินออกจากหลังฉากกั้น พบว่าฉินเจิงนอนอยู่บนเตียง ลมหายใจผ่อนเข้าออกสม่ำเสมอกัน เขาหลับไปแล้ว
เซี่ยฟางหวาเดินมาที่เตียงด้วยฝีเท้าแผ่วเบา พินิจมองเขาอย่างละเอียด ถึงแม้กำลังหลับอยู่ แต่คิ้วยังขมวดเข้าหากันเป็นปม นางมองพักหนึ่งก็นั่งลงบนหัวเตียงแช่มช้า
ตั้งแต่เมื่อวานกระทั่งวันนี้ เขาได้รับข่าวก็รีบห้อตะบึงม้ามาจากเมืองหลวง ทั้งตากฝนตามหานางตลอดทั้งคืน จะต้องเหนื่อยมากเป็นแน่
ทว่าเมื่อหานางพบ เขาก็ไม่แม้แต่จะเอ่ยถามหรือพูดคำใดเลย
เมื่อวาน นางกับพี่อวิ๋นหลานประสบเหตุหินผาทลายลง เศษหินดินโคลนไถลไล่หลังจนร่วงตกจากหน้าผา ตอนนั้นเป็นเวลาในยามอู่*[1] ต่อมานางก็ทำแผลที่หลังให้เขา ทั้งยับยั้งคำสาปเผาใจให้ ตอนนั้นน่าจะเป็นยามเว่ย**[2] หลังจากนั้นเขาก็ตวัดฝ่ามือสะกดจุดนอนหลับบนตัวนาง เช้านี้นางถึงตื่นขึ้นมาด้วยแรงเขย่าจากเยว่ลั่ว
เหตุใดพี่อวิ๋นหลานต้องสะกดจุดนอนหลับบนตัวนางด้วย เพื่อไม่ให้นางซักถามต่อหรือ
ทว่าตอนนี้เขาไปอยู่ที่ไหน
นางนั่งคิดเงียบๆ บนหัวเตียงพักหนึ่งก่อนลุกขึ้นยืน เดินมาที่ประตูแล้วเปิดออก
“คุณหนู” ซื่อฮว่ากับซื่อม่อก็แต่งตัวใหม่แล้ว เมื่อเห็นนางออกมาก็รีบส่งเสียงเรียก
เซี่ยฟางหวาเห็นความเหนื่อยล้าบนใบหน้าพวกนาง นางปิดประตูแล้วทำท่าทางบอกทั้งสองให้ไปคุยกันที่ใต้ต้นไม้ในลาน
ทั้งสองพยักหน้ารับแล้วเดินตามนางไปยังใต้ต้นพุทรากลางลาน
“หลังเกิดเรื่อง พวกเจ้าทำอะไรไปบ้าง” เซี่ยฟางหวาเอ่ยถามทุ้มต่ำ
ซื่อฮว่ากับซื่อม่อมองหน้ากัน ก่อนตอบด้วยเสียงทุ้มต่ำเช่นกัน “คุณหนู พอเกิดเรื่องกับท่านและคุณชายอวิ๋นหลาน พวกเราก็ตกใจแทบแย่ แต่พวกเราอยู่ห่างเกินไปจึงไม่อาจช่วยเหลือได้ กระทั่งพวกเราหาจุดที่พวกท่านเกิดเหตุได้ทุกอย่างก็หยุดลงแล้ว เราแยกย้ายกันตามหาเลียบภูเขา ตอนนั้นไม่นึกว่าพวกท่านจะกระโดดหน้าผา…”
“ตอนนั้นสถานการณ์บังคับให้กระโดด” เซี่ยฟางหวาพยักหน้า
“กลางดึกท่านอ๋องน้อยก็มาถึง แล้ววิเคราะห์ว่าท่านกับคุณชายอวิ๋นหลานน่าจะตกจากหน้าผา จึงให้พวกเราลงเขาแล้วทำการค้นหาเลียบหุบเขาแทน” ซื่อฮว่าบอก “ค้นหาอยู่หนึ่งคืน ในที่สุดก็หาท่านพบ”
“ตอนฉินเจิงมาถึง เจ้าเห็นหรือไม่ว่าเขามีทีท่าอย่างไร” เซี่ยฟางหวากดเสียงต่ำ
“ตอนนั้นฟ้ามืดเกินไป ทั้งมีฝนตกลงมา บ่าวเพียงรู้สึกว่าท่านอ๋องน้อยน่ากลัวมาก แต่ไม่กล้าสังเกตสีหน้าเขาละเอียด และตำหนิตัวเองที่มิได้คุ้มครองคุณหนูให้ดี พวกเราไร้ประโยชน์…” ซื่อฮว่ามองซ้ายขวาแวบหนึ่งแล้วเอ่ยตอบ
“ไม่ใช่ความผิดพวกเจ้า” เซี่ยฟางหวายกมือปราม
“คุณหนู ท่านก็ทราบดีว่าต้องเสี่ยงอันตราย เหตุใดถึงดึงดันจะไปอีก” ซื่อฮว่ามองนาง
เซี่ยฟางหวาเม้มปากพลางมองไปยังทิศที่ตั้งอารามลี่อวิ๋น น้ำเสียงเจือความเย็นชา “ข้าสงสัย”
ซื่อฮว่ามองนาง
“พวกเจ้าค้นหาทั้งภูเขา แต่ไม่พบพี่อวิ๋นหลานเลยหรือ” เซี่ยฟางหวาถามอีก
ซื่อฮว่าส่ายหน้า “ไม่พบคุณชายอวิ๋นหลานเลยเจ้าค่ะ” พูดจบก็มองเซี่ยฟางหวาอย่างระวัง “คุณหนู คุณชายอวิ๋นหลานกระโดดหน้าผาลงไปพร้อมท่านใช่หรือไม่ เขาคงมิได้เป็นอะไรไปหรอกใช่ไหมเจ้าคะ”
*ยามอู่ คือ ช่วงเวลาประมาณ 11:00 น. – 13:00 น.
**ยามเว่ย คือ ช่วงเวลาประมาณ 13:00 น. – 15:00 น.