ตอนที่ 707 ปล่อยวาง

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 707 ปล่อยวาง

“ชาวฮวงสามารถผลิตปืนคาบศิลาสำเร็จแล้วเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

ข่าวนี้ทำให้ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกตื่นตกใจได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น

กองกำลังดาบเทวะจำนวน 2,000 นายเป็นราคาที่ต้องจ่ายให้กับการทำลายโรงงานวิจัยอาวุธของชาวฮวง เดิมทีเขาอยากเลื่อนการคิดค้นปืนคาบศิลารุ่นใหม่ออกไปอย่างน้อยอีกครึ่งปี แต่ทว่าวันนี้เห็นทีว่าตนนั้นประเมินความสามารถของชาวฮวงต่ำจนเกินไป

ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ปืนคาบศิลารุ่นสองคงต้องเร่งการผลิตในเร็ววันเสียแล้ว

ตามแผนการเดิมที่ฟู่เสี่ยวกวนวางเอาไว้คือ ปืนคาบศิลารุ่นสองจะดำเนินการผลิตที่ราชวงศ์อู๋เพื่อเตรียมความพร้อมของอาวุธให้แก่ทหารของราชอาณาจักรอู๋…และตอนนี้ฟู่เสี่ยวกวนก็ยังมิล้มเลิกแผนการนี้

แม้ว่าชาวฮวงจะผลิตปืนคาบศิลาออกมาได้ก็จริงแต่เยี่ยงไรก็ตามย่อมมีข้อจำกัดในหลาย ๆ ด้าน กองทัพของชาวฮวงมีด้วยกันทั้งสิ้น 100,000 นาย ถ้าเขาสามารถติดอาวุธให้ทหารจำนวน 3,000 นายได้ ก็ถือว่าเยี่ยมยอดมากแล้ว

ฮ่องเต้ได้ส่งช่างฝีมือจากกรมกลาโหมมาให้เขากลุ่มหนึ่ง และช่างฝีมือกลุ่มนี้ก็ถูกเขาส่งไปยังกรมสรรพาวุธประจำอำเภอผิงหลิงเรียบร้อยแล้ว

กรมสรรพาวุธประจำซีซานและอำเภอผิงหลิงทั้งสองแห่งในทุกวันนี้ สามารถผลิตปืนคาบศิลาได้ 500 กระบอกต่อเดือน ย่อมผลิตได้มากกว่าของชาวฮวงอย่างแน่นอน เขาตริตรองอยู่ในใจเงียบ ๆ จากนั้นจึงได้คลายความกังวลลง

“สงคราม ณ ที่ราบชางหลางนั้น ท่าป๋ายิงย่อมพ่ายแพ้อย่างแน่นอน แต่ข้าก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่าเขาจะลงมือสังหารชาวอี๋ให้มากสักหน่อยก่อนจะเผชิญความพ่ายแพ้ไป”

หยูเวิ่นเทียนพยักหน้าเห็นด้วย “กองทัพทหารชายแดนตะวันออก ทุกวันนี้มีปืนคาบศิลาเพียงแค่ 4,000 กระบอกเท่านั้น ข้าได้คัดรายชื่อผู้มีความสามารถมา 30,000 นายเพื่อจัดตั้งให้เป็นกองพลทหารภูเขา เจ้าจงรีบส่งมอบปืนคาบศิลามาให้ข้าโดยเร็วเถิด ! ”

ฟู่เสี่ยวกวนยิ้มออกมา “ท่านคิดมากเกินไปแล้ว หากอิงตามพระราชโองการของฝ่าบาทนั้น ปืนคาบศิลาที่กำลังผลิตต่อไปจะถูกส่งไปยังกองทัพชายแดนเหนือให้เพียงพอเสียก่อน”

เขาชูจอกสุราให้หยูเวิ่นเทียน ทั้งสองคนจึงดื่มจนหมดจอกพร้อมกัน จากนั้นก็เอ่ยต่อว่า “ทุกวันนี้แคว้นอี๋ย่อมมิบังอาจโจมตีทางด่านหว่าเฉียวอย่างแน่นอน อีกประการหนึ่งทุกวันนี้กองทัพชายแดนตะวันออกมีปืนใหญ่ประจำการอยู่ 400 กระบอก ชาวอี๋เคยถูกปืนใหญ่นี้ทำให้พ่ายแพ้จนเกิดความเกรงกลัว พวกเขาย่อมมิบังอาจเปิดศึกกับพวกเราอีก แต่ทว่าทางชายแดนเหนือนี่สิ…แม้ทางชายแดนเหนือจะขยายกำลังพลมากถึง 400,000 นายแล้วก็ตาม แต่พวกเราก็มิอาจดูถูกทหารชุดเกราะของชาวฮวงได้เลย ! ”

หยูเวิ่นเทียนได้แต่ทำหน้านิ่วคิ้วขมวดใส่ฟู่เสี่ยวกวนอย่างจนหนทาง เขาเข้าใจในเหตุผลที่คู่สนทนาเอ่ยเป็นอย่างดี แต่ในฐานะแม่ทัพใหญ่ย่อมคาดหวังให้กองทัพที่ตนกำกับดูแลสามารถสู้รบได้อย่างเป็นเลิศ

“แล้วบัดนี้น้องห้าที่อยู่ในกองทัพทหารดาบเทวะของเจ้าเป็นเยี่ยงไรบ้าง ? ”

“เดิมทีหยูเวิ่นเต้าเป็นผู้มีฝีมือดีอยู่แล้ว ข้ามิได้เห็นเเก่ความสัมพันธ์ของข้ากับเขาแล้วให้การช่วยเหลือหรอก เขาฝึกฝนได้อย่างยอดเยี่ยม และทุกวันนี้เขาได้รับการแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้ากองเรียบร้อยแล้ว”

หยูเวิ่นเทียนเมื่อได้ยินดังนั้นก็ตกอยู่ในความเงียบไปครู่ใหญ่ จากนั้นไม่นานก็ได้ถอนหายใจยาว ออกมาหนึ่งครา “หากเป็นตัวข้าเองก็ย่อมยินยอมที่จะได้รับการฝึกฝน… ช่างเถิด มาดื่มกัน ! ”

ทั้งสี่ร่วมดื่มด้วยกัน หยูเวิ่นเทียนมองไปยังสีฉวินเหมย “เจ้ายังมิปล่อยวางสินะ”

สีฉวินเหมยเปิดฝาขวดสุราออกแล้วรินให้ทั้งสามคน เขายิ้มเจื่อนออกมา “ในเมื่ออาศัยอยู่ในเมืองจินหลิงมาตั้งหลายปี เดิมทีคิดว่าต่อให้ต้องอำลาตำแหน่งก็ควรไปอย่างเฉิดฉาย แต่มิคาดคิดเลยว่าจะเกิดเรื่องนี้เข้าจนได้…ท่านคิดว่าข้าควรปล่อยวางเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

หยูเวิ่นเทียนเผยรอยยิ้มออกมา “เจ้ายังมองมิออกสินะ ฟ้าหลังฝนย่อมสดใสกว่าเสมอ เก้าอี้ประจำตำแหน่งเสนาบดีกรมราชทัณฑ์ที่เจ้าครอบครองมาราวสิบปี หากจะก้าวสูงไปอีกขั้นก็คงเป็นตำแหน่งผู้ช่วยอัครมหาเสนาบดี ข้าคิดว่าออกมาเสียตั้งแต่ตอนนี้ยังดีกว่ายุ่งวุ่นวายอยู่ในศาลประจำราชสำนักไปชั่วชีวิต บางทีเจ้าอาจจะได้ค้นพบคุณค่าที่แท้จริงของตนเองเฉกเช่นข้าในตอนนี้”

หยูเวิ่นเทียนดื่มเพื่อแสดงความเคารพต่อสีฉวินเหมยหนึ่งจอก “ข้ารู้สึกว่าหลังจากที่ได้ออกมาจากลูกกรงนั้น ชีวิตของข้าในแต่ละวันล้วนมีความสุขมากยิ่งนัก ต่อให้แรกเริ่มจะถูกชาวอี๋รุกรานเข้ามาถึงกำแพงเมืองหลานหลิงแล้วก็ตาม แต่ข้าก็ยังนอนหลับสบายเพราะรู้ว่าสิ่งนี้ต่างหากคือเรื่องจริง”

สีฉวินเหมยรู้สึกประหลาดใจและย่อมเข้าใจหยูเวิ่นเทียนเป็นอย่างดี องค์ชายใหญ่พระองค์นี้กับองค์ชายสี่ เดิมทีเคยต่อสู้กันอย่างลับ ๆ เพื่อแย่งชิงตำแหน่งองค์รัชทายาทมานานหลายปี และตนยังเคยถูกหยูเวิ่นเทียนคะยั้นคะยอให้เข้าร่วมอีกต่างหาก แต่หลังจากเหตุการณ์ที่สุสานจักรพรรดิพระองค์ก็ถูกฝ่าบาทส่งไปยังชายแดนตะวันออกทันที

แต่ทว่าก็ยังมีชีวิตอยู่จนถึงทุกวันนี้ !

ในสายตาของเสนาบดีชั้นผู้ใหญ่ประจำราชสำนักแล้ว นี่ถือว่าเป็นหายนะอันใหญ่หลวง !

รวมทั้งตัวของสีฉวินเหมยเองด้วย ก่อนหน้านี้เขารู้สึกกังวลเป็นอย่างมากว่าหยูเวิ่นเทียนจะฉวยโอกาสตอนมีกองทัพอยู่ในมือบุกยึดและช่วงชิงอำนวจแห่งองค์ฮ่องเต้ไป

แต่เมื่อได้ยินคำเอ่ยที่องค์ชายเอ่ยออกมาแล้วนั้น สีฉวินเหมยจึงตระหนักได้ทันทีว่าตนคิดมากจนเกินไป องค์ชายใหญ่ผู้นี้ได้ปล่อยวางความคิดที่จะช่วงชิงอำนาจไปหมดสิ้นแล้ว

เช่นนั้นอาจจะกล่าวได้ว่าองค์ชายได้แหกกรงที่คอยกักขังจนหลุดพ้นและตอนนี้ก็ได้มีชีวิตใหม่แล้ว

ส่วนตัวเขาเองยังติดอยู่ในกรงจวบจนทุกวันนี้และยังมิอาจหลุดพ้นออกไปได้

หนิงหยู่ชุนรินสุราให้ทั้งสองโดยมิได้เอ่ยโน้มน้าวสีฉวินเหมย แต่กลับเอ่ยถึงฉินโม่เหวินขึ้นมาแทน

“เกิดเหตุร้ายขึ้นในครอบครัวของฉินโม่เหวิน เขาส่งจดหมายมาให้ข้า เดิมทีข้าคิดว่าเขาจะบ่นถึงความทุกข์ยากให้ข้าฟังเสียอีก แต่ปรากฏว่ามิได้กล่าวถึงเรื่องนั้นแม้แต่ตัวอักษรเดียว

สิ่งที่เขากล่าวถึงในจดหมายคือเขตกวนซีเต้า ทุกวันนี้จังหวัดเฟิงโจวและจังหวัดหยินโจวของกวนซีเต้าได้ถูกทำให้เป็นเขตทดลองการปฏิรูป เขาจัดการดึงดูดการลงทุนทุกประเภทอย่างเป็นระบบระเบียบแต่ผลลัพธ์กลับมิได้ดีเด่นอันใดมากนัก เพราะเขาสามารถดึงดูดให้บรรดาพ่อค้าเข้ามาได้เพียงแค่ 10 รายเท่านั้นเอง

ในจดหมายฉบับนี้ เขาได้กล่าวอย่างเปี่ยมล้นไปด้วยความหวัง เขาเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่ากวนซีเต้าจะดีขึ้นเรื่อย ๆ เชื่อมั่นว่าหากให้เวลาเขา 5 ปี เขาย่อมสามารถพลิกโฉมเขตกวนซีเต้าลำดับที่สองนับจากท้ายสุดให้ขยับขึ้นไปครองหกอันดับแรกได้อย่างแน่นอน”

หนิงหยู่ชุนเอ่ยไปพลางจ้องมองฟู่เสี่ยวกวนไปพลาง “ฉินโม่เหวินกล่าวว่า…ความหัวรั้นของเขาได้รับการสั่งสอนมาจากท่านฉินปิ่งจงตั้งแต่ยังเยาว์ และนอกจากนั้นเขายังได้รับอิทธิพลมาจากเจ้าอย่างมากล้นโดยเฉพาะประโยคที่ว่า แม้จะเผชิญต่อความยากลำบากแต่เชื่อเถิดว่าต้องมีสักวันที่จะประสบความสำเร็จ นี่เป็นแรงผลักดันที่ทำให้เขาก้าวไปข้างหน้าได้”

“เขายังกล่าวไว้อีกว่า ‘ข้ามิเชื่อหรอกว่าจะมิสามารถเอาชนะฟู่เสี่ยวกวนได้’ ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า ! ”

หนิงหยู่ชุนหัวเราะเสียงดังลั่นแล้วยกจอกสุราให้กับฟู่เสี่ยวกวน “ติ้งอันป๋อ เมื่อฉินโม่เหวินและเจ้าได้พบกันเมื่อใดก็ขอให้ประชันกันด้วยสองสิ่งนี้ สิ่งแรกคือแข่งว่าผู้ใดคอแข็งกว่ากัน สิ่งที่สองคือแข่งเรื่องผลงานการบริหารบ้านเมือง เรื่องผลงานนั้นข้ามิรู้หรอกแต่เรื่องคอแข็งนั้น เจ้าแตกต่างกับฉินโม่เหวินราวฟ้ากับเหว มาเถิด… มาชนเพื่อฝึกวิชากันสักจอก ! ”

ฟู่เสี่ยวกวนได้แต่ยิ้มแล้วส่ายศีรษะจากนั้นจึงยกจอกสุราขึ้นมาชน เขาเข้าใจในสิ่งที่ฉินโม่เหวินกล่าวมาเป็นอย่างดี

เจ้าหมอนี่ดูมากประสบการณ์ดี อีกทั้งมิยอมเขียนจดหมายมาถึงข้าโดยตรง แต่ทว่ากลับเขียนถึงหนิงหยู่ชุนเพื่อใช้ให้หนิงหยู่ชุนแสดงความขอบคุณที่เจ้าหมอนั่นมีต่อข้า

จอกนี้เขาจำเป็นต้องดื่มเพื่อแสดงความนับถือต่อฉินโม่เหวิน

ต่อมาฟู่เสี่ยวกวนก็ได้เปลี่ยนหัวข้อสนทนา

“การรวบรวมเงินลงทุนของบริษัทเต้าเฉียวได้เสร็จสิ้นไปเนิ่นนานแล้ว ธนาคารซื่อทงสาขาเมืองว่อเฟิงก็ได้เปิดทำการเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ส่วนเรื่องก่อสร้างถนนในว่อเฟิงเต้านี้เป็นเรื่องใหญ่อีกเรื่องหนึ่ง…”

ฟู่เสี่ยวกวนทำท่าทางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นจึงคว้าแผนที่ในอกเสื้อออกมากางไว้บนโต๊ะ “จากเมืองว่อเฟิงจนถึงอำเภอหลานหลิง ถนนสาธารณะมีความยาวกว่า 870 ลี้ เยี่ยงไรก็ต้องคำนึงถึงจังหวัดฉีโจวและจังหวัดชิงโจวอีกด้วย เจ้าลองดูเถิด”

มือของเขาวางทาบอยู่บนแผนที่ “ที่ราบว่อเฟิงมีลักษณะภูมิประเทศเป็นที่ราบจึงทำให้ตัดถนนได้ง่าย แต่เมื่อออกจากเขตที่ราบว่อเฟิงก็จำต้องข้ามภูเขาจินหยางเพื่อไปยังเมืองจินหยางซึ่งเป็นเมืองหลักของจังหวัดฉีโจว ถนนต้องตัดผ่านภูเขาลูกนี้…จำต้องทุ่มเทในการตัดถนน และเส้นทางสัญจรบนภูเขาที่มีอยู่แล้วต้องปรับปรุงให้กว้างกว่าเดิมอย่างน้อย 1 จั้ง

เมื่อออกมาจากเขตของภูเขาจินหยางได้ก็ดีขึ้นหน่อย ตั้งแต่เมืองจินหยางจนถึงเมืองฉีหยุนซึ่งเป็นที่ตั้งของที่ทำการจังหวัดไปจนถึงเมืองต้าชิวแล้วจากเมืองต้าชิวไปจนถึงเมืองฮั่วหลานที่ตั้งของที่ทำการจังหวัดชิงโจว ถนนเส้นนี้ล้วนเป็นที่ราบทั้งสิ้น”

ฟู่เสี่ยวกวนนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเงยหน้าขึ้นมองหนิงหยู่ชุน “ดังนั้นแล้วสามจังหวัดต้องลงมือทำโดยพร้อมเพรียงกัน เจ้าต้องรับผิดชอบเส้นทางจากเมืองว่อเฟิงออกไปยังภูเขาจินหยาง นี่เป็นเพียงการเริ่มต้นตัดถนนเท่านั้น รอให้ถนนสายหลักตัดจนเสร็จลุล่วงเสียก่อน แล้วค่อยตัดถนนเส้นรองของทุกอำเภอในแต่ละจังหวัดตามระดับการค้าของท้องที่นั้น ๆ ”

“เมื่อถนนเส้นหลักและเส้นรองเชื่อมต่อกันเสร็จสิ้นเมื่อใด การสัญจรไปมาย่อมมิใช่เรื่องยากอีกต่อไป”

“อย่างน้อยคาดว่าจะใช้เวลานานถึง 5 ปี ! ”

ประโยคสุดท้ายของฟู่เสี่ยวกวนมีความหมายที่ลึกซึ้ง หนิงหยู่ชุนเข้าใจในสิ่งที่ฟู่เสี่ยวกวนสื่อถึงได้เป็นอย่างดี เขาจึงพยักหน้าตอบรับอย่างหนักแน่น

หยูเวิ่นเทียนเหลือบมองฟูเสี่ยวกวนด้วยสายตาประหลาดใจ แต่ทว่าก็มิได้เอ่ยถามอันใดออกมา เขาเพียงแค่นั่งดื่มสุราเงียบ ๆ อยู่อย่างนั้น