บทที่ 420.2 เซียนกระบี่บนทะเลสาบ ดอกไม้บานบนทางเล็กริมคันนา

กระบี่จงมา! Sword of Coming

ชุยตงซานพลันนั่งลง ชายแขนเสื้อของเขาพลิกตลบ ไม่รู้ไปเสกเครื่องดนตรีมาจากไหน จากนั้นก็เริ่มตีเครื่องดนตรีพลางร้องเพลง

เป็นเพลงพื้นบ้านกินเต้าหู้เหม็นที่เฉินผิงอันกับเผยเฉียนดัดแปลงมาจากเพลงพื้นบ้านเพลงหนึ่งของเขตการปกครองหลงเฉวียน

ชุยตงซานร้องเพลงเสียงดัง “เสี่ยวเอ้อร์ของร้าน ข้าอ่านหนังสือมามาก รู้จักตัวอักษรมาก สะสมความรู้ไว้เต็มท้อง แต่เอามาขายได้ไม่กี่อีแปะ”

เผยเฉียนเก็บน้ำเต้าจิ๋วไปแล้ว นางยืดอกตั้ง เชิดศีรษะขึ้นสูง เดินวนรอบตัวชุยตงซาน “เต้าหู้เหม็นอร่อย ซื้อไม่ไหวหรือไร!”

“บนภูเขามีภูตผีปีศาจ ในแม่น้ำลำธารมีผีพราย ตกใจหันหน้ากลับไป ที่แท้ก็จากบ้านมาหลายปีแล้ว”

“ตกใจจนข้าต้องรีบกินเต้าหู้เหม็นระงับความตกใจ!”

“แม่นางน้อยจากบ้านไหน บนร่างหอมกลิ่นกล้วยไม้ เหตุใดร้องไห้จนหน้าลายพร้อย เจ้าว่าน่าสงสารหรือไม่?”

“กินเต้าหู้เหม็นเถอะ เต้าหู้เหม็นหอมเหมือนดอกกล้วยไม้!”

“ขอถามอาจารย์ว่าจะทำอย่างไร ว่าวกระดาษอันน้อยตากแดดห้อยอยู่บนกิ่งไม้”

“ปีนต้นไม้ปลดว่าวน้อยลงมา แล้วกลับบ้านไปกินเต้าหู้เหม็น!”

“เทพเซียนจุดธูปหน้าหลุมศพดุจเด็กหนุ่ม ลูกหลานในหลุมกลับกระดูกขาวมาร้อยปีแล้ว เจ้าว่าน่าหัวเราะหรือไม่?”

นี่เป็นท่อนที่ชุยตงซานพูดเหลวไหลเลื่อนเปื้อนไปเอง เผยเฉียนเลยอึ้งตะลึง แต่ก็ไม่มีเวลามามัวสนใจ รีบพูดคล้อยตามไปอย่างส่งเดช “เอ๊ะ? ใครกินเต้าหูเหม็นไปกันแน่?”

“เจ้าพูดเหตุผลของเจ้า ข้ามีหมัดของข้า ยุทธภพวุ่นวายสับสน บุญคุณความแค้นจะมีไปถึงเมื่อไหร่?”

ชุยตงซานยังคงเปลี่ยนบทเพลงไปอย่างมั่วซั่ว เผยเฉียนจึงแสร้งทำเป็นผีขี้เหล้าตัวน้อยอีกครั้ง เดินเอียงไปซ้ายทีขวาที “เต้าหู้เหม็นกินแกล้มเหล้า ข้าทั้งหิวทั้งกระหาย ยุทธภพไม่มีความหมายก็ไม่เป็นไร”

“คนบนโลกล้วนกล่าวว่าเทพเซียนดี ข้าว่าบนภูเขากลับไม่อิสระเสรี…”

เผยเฉียนหันหน้ามาถลึงตาใส่ชุยตงซานที่แต่งเพลงมั่วซั่วไม่จบไม่สิ้นสักที แล้วก็ร้องตอบไปมั่วๆ เช่นกัน “หากเจ้ายังทำอย่างนี้ ข้าคงกินเต้าหู้เหม็นท้องแตกตายพอดี!”

ชุยตงซานไม่ทำให้เผยเฉียนลำบากใจอีก เขาลุกขึ้นยืน ถามว่า “กินเต้าหู้เหม็นไปแล้ว ดื่มเหล้าไปแล้ว แล้วเซียนกระบี่ล่ะ?”

เผยเฉียนเองก็ทำหน้างงงัน ถามย้อนกลับว่า “ใช่สิ เหล้ามีแล้ว แล้วเซียนกระบี่อยู่ไหน?”

คนทั้งสองมองไปทางหอสูงแล้วตะโกนขึ้นพร้อมกัน “ลองตะโกนเรียกดูสิ?”

หลี่เป่าผิงสูดลมหายใจเขาลึกหนึ่งครั้ง ก่อนจะตะโกนเสียงดัง “อาจารย์อาน้อย!”

ชุยตงซานดีดนิ้วหนึ่งที พวกหลี่ไหวพากันปรากฏตัว

ทุกคนล้วนมองไปทางยอดเขาของภูเขาตงหัว

หลี่เป่าผิงเองก็หันหน้ามองตามไป

เงาร่างสีขาวหิมะพลันพุ่งวูบมาจากบนยอดเขา

พลิ้วกายลงบนทะเลสาบด้วยพลังอำนาจน่าเกรงขาม

ชุดคลุมอาคมจินหลี่โบกสะบัดไม่หยุด ประหนึ่งมีเซียนชุดขาวมายืนอยู่บนพื้นผิวกระจก

เฉินผิงอันไม่ได้สะพายเจี้ยนเซียนไว้บนไหล่ แค่ห้อยน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ไว้ตรงเอว

พอเฉินผิงอันยื่นมือออกมา

ชุยตงซานก็หยิบกระบี่ยาวเล่มหนึ่งออกมาจากวัตถุจื่อชื่อ ประกบสองนิ้วปาดหนึ่งครั้ง เลียนแบบคำพูดติดปากของหลี่เป่าผิง “เจ้าไปได้!”

กระบี่ยาวหลุดออกจากฝัก แหวกอากาศเป็นเส้นยาว

เฉินผิงอันยื่นมือมากุม วาดปลายกระบี่เป็นวงโค้ง ถือกระบี่ไพล่ไว้ด้านหลัง สองนิ้วประกบกันไว้เบื้องหน้าทำมุทราคาถากระบี่ คลี่ยิ้มพูดด้วยเสียงทรงพลัง “คนบนโลกล้วนกล่าวว่าผู้ที่สะสมหิมะเป็นธัญญาหาร กลึงอิฐเป็นกระจกคือคนปัญญาอ่อน (เพราะการเอาหิมะเป็นธัญญาหาร กลึงอิฐเป็นกระจกเป็นเรื่องที่ไม่มีทางทำได้ หิมะไม่อาจกินต่างอาหาร เอาหินมาส่องก็มองไม่เห็นตัวเอง เป็นเรื่องที่เสียเวลาเปล่า) แต่ข้าจะทวนกระแสขึ้นไปชนกำแพงทิศใต้ดูสักครั้ง! (เปรียบเปรยถึงคนที่ดึงดันจะทำตามความคิดของตัวเอง) ดื่มเหล้าในยุทธภพจนหมดสิ้น รู้หลักการเหตุผลบนโลก ข้ามีหนึ่งกระบี่ก็ใช้กระบี่ ยิ่งออกกระบี่ยิ่งรวดเร็ว สักวันหนึ่งเมื่อส่งกระบี่ออกไป มันจะกลายเป็นกระบี่มีชีวิตที่สง่างามเป็นอันดับหนึ่งของใต้หล้า…”

แล้วเฉินผิงอันก็เริ่มกระโดดไปบนผิวน้ำเหมือนกบ เดินอยู่บนผิวของทะเลสาบอย่างสง่างาม กระบี่ที่ถืออยู่ในมือพลิกหมุนกวัดแกว่งได้สมปรารถนา ประหนึ่งสายลมที่พัดโชยใบไม้ให้ร่วงหล่น เรือนกายของเขาเบี่ยงไปทางขวาเล็กน้อย เท้าซ้ายก็เยื้องไปด้านหน้าอย่างแผ่วเบา มือขวาที่กำกระบี่หมุนไปตามตัว ตวัดไปทางขวาแล้วดึงกลับหลัง ตามองกระบี่ตาม แล้วทันใดนั้นเขาก็งอขาข้างขวาเป็นท่าคันธนู (หนึ่งในห้าท่าพื้นฐานของการฝึกวรยุทธ์ เท้าหนึ่งก้าวไปข้างหน้า งอเท้า เท้าหลังเหยียดตรง) กระบี่ตวัดขึ้นด้านบน ตามองปลายกระบี่ “เซียนชักกระบี่ออกจากชายแขนเสื้อ วาดกระบี่เป็นวงโค้งเดินตามไป ดวงตามองปลายกระบี่ เหนือปลายกระบี่มีแผ่นดิน”

เฉินผิงอันก้าวยาวๆ เดินไป กระบี่ก็เคลื่อนตามตัวไปด้วย ปณิธานกระบี่ทอดยาวเป็นสาย มีทั้งช้ามีทั้งเร็ว แล้วจู่ๆ ก็พลันหยุดชะงัก สะบัดข้อมือตวัดปลายกระบี่ขึ้นด้านบน ปลายกระบี่พ่นประกายแสงดุจงูเหลือมสีขาวแลบลิ้น หลังจากนั้นกระบี่ยาวก็หลุดออกจากมือ แต่กลับบินโฉบวนรอบกายเฉินผิงอันประหนึ่งนกน้อยอิงแอบคน เฉินผิงอันใช้จิงชี่เสินและการเดินนิ่งหกเก้าที่ปณิธานหมัดผสานรวมกันอย่างเป็นธรรมชาติเดินขึ้นหน้า กระบี่บินเดี๋ยวเคลื่อนเดี๋ยวหยุดตามไป หลังจากเฉินผิงอันปล่อยหมัดสุดท้ายของท่าเดินหนึ่งก็ต่อยหนักๆ ลงบนด้ามกระบี่พอดี กระบี่บินบินวนเป็นวงกลมอยู่เบื้องหน้าเฉินผิงอัน แสงกระบี่ไหลเวียนไม่หยุดนิ่งประหนึ่งแสงจันทร์ที่สาดส่องลงบนทะเลสาบ เฉินผิงอันยื่นแขนออกไป สองนิ้วปาดไปบนด้ามกระบี่บินอย่างแม่นยำ โบกชายแขนเสื้อไปด้านหลัง กระบี่บินก็บินออกไปไกลสิบกว่าจั้ง จากนั้นเฉินผิงอันก็เดินหน้าต่อไปช้าๆ กระบี่บินเริ่มวาดวงกลมวงแล้ววงเล่า จากเล็กไปใหญ่ สาดส่องให้ทะเลสาบทั้งผืนเกิดประกายแสงเรืองรอง ปราณกระบี่แผ่อบอวลน่าเกรงขาม

“เดินทางยามค่ำคืนเยือนจวนเทพวารี ยามกลางวันเยี่ยมเยือนศาลเทพอภิบาลเมือง เรือน้อยลอยลำในร่องเจียวหลง เซียนสะพายกระบี่ดุจตั้งขบวนรบ…คนทั้งโลกต่างพากันพูดว่าเหตุผลไร้ประโยชน์ที่สุด แต่ข้ากลับกล่าวว่าในตำราย่อมมีปณิธานของเซียนกระบี่ แต่ละตัวอักษรมีแสงกระบี่ อีกทั้งยังจะสอนให้อริยะปราชญ์ต้องมองปราณกระบี่ของข้าที่ทะยานท่วมเทียมฟ้า!”

หลี่เป่าผิงตบมือรัวๆ เสียงดัง ใบหน้าแดงก่ำ

เฉินผิงอันปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลงมาแล้วขว้างไปอย่างไม่ใส่ใจ ยื่นมือบังคับให้กระบี่มาอยู่ในมือ ส่งกระบี่ออกไป ปลายกระบี่ก็รับน้ำเต้าบรรจุเหล้าไว้ได้พอดี

เขาตวัดกวัดแกว่งกระบี่ได้ตามใจปรารถนายิ่งกว่ายามที่เผยเฉียนร่ายวิชากระบี่มารคลั่งเสียอีก

แต่ไม่ว่าจะออกกระบี่อย่างไร น้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ที่ปลายกระบี่ก็ยังคงตั้งนิ่งไม่ขยับ

เฉินผิงอันไม่รู้ว่าชุยตงซานถอนบ่อสายฟ้าที่ปราณกระบี่สีทองสร้างขึ้นออกไปนานแล้ว

แม้คนนอกจะไม่ได้ยินเสียงจากแถบนี้ แต่คนมากมายในสำนักศึกษากลับเห็นท่าบังคับกระบี่ร่ายรำของเขา

……

คนกลุ่มหนึ่งยืนอยู่ตรงหน้าประตูสำนักศึกษา

เฉินผิงอันสะพายกระบี่ยาวเจี้ยนเซียนและหีบไม้ไผ่ใบใหญ่ไว้บนหลังเรียบร้อยแล้ว

เผยเฉียนสะพายห่อสัมภาระ มือถือไม้เท้าเดินป่า ตรงเอวห้อยเตาเจี้ยนชว่อ (ดาบและกระบี่สลับกัน)

จูเหลี่ยนยืนอยู่ข้างกายสือโหรว

หลี่ไหวซุบซิบอยู่กับเผยเฉียน นัดหมายกันไว้เรียบร้อยแล้วว่าวันหน้าจะต้องออกไปท่องยุทธภพด้วยกัน จากนั้นก็หันมาพูดกับเฉินผิงอันเบาๆ “ไปถึงเขตการปกครองหลงเฉวียนแล้วอย่าลืมช่วยไปดูบ้านของข้าให้บ้างล่ะ”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “ไม่มีปัญหา”

จากนั้นก็พูดกับพวกหลี่เป่าผิง หลินโส่วอีและหลี่ไหวว่า “พวกเจ้าไปเรียนกันเถอะ ไม่ต้องไปส่งแล้ว ตอนนี้ก็เสียเวลามาไม่น้อยแล้ว เดี๋ยวภายภาคหน้าพวกอาจารย์จะไม่อยากเห็นหน้าข้าอีก”

หลี่เป่าผิงไม่ได้ยืนกรานว่าจะไปส่งอาจารย์อาน้อยถึงประตูใหญ่ของเมืองหลวงต้าสุย นางพยักหน้ารับ “อาจารย์อาน้อย เดินทางระวังด้วย”

เฉินผิงอันลูบศีรษะของนาง “อาจารย์อาน้อยยังต้องให้เจ้าบอกด้วยหรือ”

หลี่เป่าผิงยิ้มกว้าง

เฉินผิงอันประสานมือคารวะบอกลาเหมาเสี่ยวตง

เหมาเสี่ยวตงผงกศีรษะรับ ลูบหนวดยิ้มพูดว่า “วันหน้าก็มาบ่อยๆ”

สุดท้ายชุยตงซานบอกว่าจะเดินไปส่งอาจารย์ที่สุดถนนป๋ายเหมา

เผยเฉียนแอบกระซิบกระซาบอยู่กับพี่หญิงเป่าผิง สองศีรษะสุมเข้าด้วยกัน สุดท้ายเผยเฉียนยิ้มหน้าบาน เยี่ยมไปเลย ได้ตำแหน่งเจ้าประมุขน้อยมาครองแล้ว!

เฉินผิงอันกับชุยตงซานเดินช้าๆ นำไปด้านหน้าสุด จนกระทั่งเดินออกจากถนนป๋ายเหมาที่เลี้ยวเข้าสู่ถนนใหญ่ สุดท้ายเมื่อไปถึงสุดปลายถนนป๋ายเหมา ชุยตงซานก็หยุดเดิน เอ่ยเนิบช้าว่า “อาจารย์ ข้าไม่รู้สึกว่าวิถีทางโลกในทุกวันนี้เลวร้ายยิ่งกว่าในอดีต ผู้ฝึกตนบนภูเขามีมากขึ้นทุกที คนล่างภูเขาที่อยู่ดีกินดี อันที่จริงกลับมีมากยิ่งกว่า ท่านรู้สึกว่าอย่างไร?”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “น่าจะเป็นเช่นนี้”

ชุยตงซานเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า พึมพำเบาๆ ว่า “แต่จะปฏิเสธไม่ได้ว่า ขุนเขาที่สูงพ้นผืนดินจนคล้ายกระบี่หลายเล่ม ยอดเขาที่ชี้ตรงไปยังม่านฟ้าเหล่านั้น ทุกๆ ระยะหนึ่งร้อยหรือหนึ่งพันปี จำนวนที่พวกมันจะปรากฏตัว แท้จริงแล้วกลับน้อยลงทุกที ดังนั้นข้าหวังว่าการพบพรากและความสุขความทุกข์ทั้งหมดของพวกเรา จะไม่เปลี่ยนไปเป็นเหมือนไก่ที่จิกอาหารอยู่นอกเล้า ไม่กลายเป็นเสียงจิ๊บๆ จั๊บๆ ในรังนกกระจอก ไม่อ้างว้างเดียวดายดุจจักจั่นบนกิ่งไม้ในหน้าหนาว”

ชุยตงซานชี้นิ้วไปที่จุดสูง “ในท้องนภาที่สูงขึ้นไป ถึงอย่างไรก็ต้องมีเสียงนกกระเรียนร้องให้ได้ยินสักครั้งสองครั้ง แม้จะอยู่ห่างจากพื้นดินไปไกล แต่ก็ยังทำให้คนสัมผัสได้ถึงความเศร้าอาดูร เงยหน้ามองเห็นแล้ว ได้ยินแล้ว ก็ยากจะทำให้คนลืมเลือนได้”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เจ้าคิดได้แบบนี้ ข้ารู้สึกว่าดีมาก”

เฉินผิงอันลังเลอยู่ชั่วขณะก็กล่าวว่า “อาจารย์เล่าเรียนมาน้อย ความรู้ตื้นเขิน ตอนนี้ยังไม่อาจให้คำตอบแก่เจ้าได้ แต่ข้าจะคิดให้มากๆ ต่อให้สุดท้ายแล้วก็ยังให้คำตอบไม่ได้ ก็จะบอกเจ้าว่าอาจารย์คิดแล้วก็ยังไม่เข้าใจ ศิษย์ทำให้อาจารย์ลำบากใจซะแล้ว ถึงเวลานั้นศิษย์อย่าได้หัวเราะเยาะอาจารย์”

นี่คงเป็นครั้งแรกในชีวิตที่เฉินผิงอันยอมรับว่าตัวเองคืออาจารย์ของชุยตงซาน

ชุยตงซานคลี่ยิ้มเจิดจ้า พลันโค้งตัวลงต่ำ พอยืดตัวขึ้นแล้วก็กล่าวเบาๆ ว่า “ต้นข้าวที่บ้านเกิดออกรวง ดอกไม้บานบนทางเล็กริมคันนา อาจารย์ค่อยๆ เดินทางกลับไปได้แล้ว”

เฉินผิงอันกล่าวอย่างระอาใจ “นี่เข้าฤดูใบไม้ร่วงแล้ว”

ชุยตงซานส่ายหน้าอย่างแรง “หวังว่าในใจของอาจารย์ สี่ฤดูกาลดุจวสันตฤดู”

—–