ตอนที่ 8 โดย ProjectZyphon
โกยอนจูได้ยินเช่นนั้น จึงรีบปิดปากเงียบไปทันที แต่หล่อนก็ยังคงยืนอยู่กับที่ตามเดิม ผมจึงหยุดการเคลื่อนไหวในที่สุด
บังเกิดความเงียบ ไร้ซึ่งการสนทนาโต้ตอบซึ่งกันและกัน ผมหันหน้าไปมอง ทันใดนั้นจึงได้เห็นสมาชิกเผ่าที่กำลังส่งสายตามองมาทางนี้อยู่ไกลๆ ผมสบตากับพวกเขาอยู่ชั่วครู่หนึ่ง แล้วจึงปริปากพูดออกมาอย่างสุขุม
“ผู้เล่นโกยอนจู สงครามจบแล้วนะครับ”
“ค่ะ”
“ผมจะขอพูดอีกครั้ง สงครามมันจบสิ้นแล้วนะครับ และตอนนี้เราต้องกลับมาใช้ชีวิตประจำวันปกติให้ได้เหมือนเดิม แต่นั่นก็เป็นความคิดของผมน่ะครับ ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ดูเหมือนเราจะยิ่งยุ่ง และยุ่งมากขึ้นเรื่อยๆ นะครับ ยุ่งจนแทบไม่มีเวลาลืมตาอ้าปากได้เลยล่ะ รู้ใช่ไหมครับว่าทำไมถึงยุ่ง”
“เรื่องนั้น…”
โกยอนจูพูดออกมาไม่จบประโยค คงเป็นเพราะตั้งตัวไม่ทันกับคำถามที่ได้รับ
ผมยืนจัดการความคิดของตัวเองอยู่ชั่วขณะหนึ่ง แล้วจึงพูดต่อออกมาด้วยน้ำเสียงอันแสนแผ่วเบา
“ผมไม่อยากมานั่งคิดตื้นๆ หรอกนะครับ ว่าทำไมสงครามครั้งนี้มันถึงอุบัติขึ้นได้ ทำไมสงครามมันถึงเกิด แล้วต่อจากนี้จะเกิดผลกระทบอะไรต่อไป แต่มีสิ่งหนึ่งที่ผมสามารถยืนยันได้เลยก็คือ มันจะเริ่มเกิดความเปลี่ยนแปลงต่อไปเรื่อยๆ นับตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ไม่ว่าจะสเกลเล็กๆ อย่างทวีปเหนือ หรือจะสเกลใหญ่ๆ อย่างฮอลล์เพลน อย่างไรก็ต้องมีการเปลี่ยนแปลงแน่นอนครับ”
โกยอนจูยังคงทำสีหน้าใสซื่ออยู่เช่นเคย แต่กระนั้นมันก็เป็นเรื่องที่ไม่สามารถเข้าไปยุ่มย่ามจัดการอะไรได้ เพราะการที่รู้ว่าอนาคตข้างหน้าจะมีปิศาจเข้ามาเกี่ยวข้องกับการไม่รู้ถึงเรื่องราวเช่นนั้น มันมีความแตกต่างกันอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว
ผมคิดว่าสงสัยตัวเองคงจะต้องเปลี่ยนคำอธิบาย จึงค่อยๆ ใช้มือลูบลำคอตัวเองทีสองที
“พวกเราจำเป็นที่จะต้องก้าวเท้าไปพร้อมๆ กับการเปลี่ยนแปลงเหล่านั้นครับ ผู้เล่นโกยอนจู ไม่ทราบว่าคุณยังจำคำที่ผมพูดไว้เมื่อคราวอยู่มิวล์ได้ไหมครับ”
“…”
“ผมมีเป้าหมายหนึ่งอย่างถึงได้มาอยู่ ณ ที่แห่งนี้ นั่นแหละครับ ผมไม่ได้สร้างเผ่าเมอร์เซนต์นารี่ขึ้นมาเพื่อที่จะหวังให้อยู่ดี กินดี ใช้ชีวิตสบายๆ ที่ฮอลล์เพลนหรอกนะครับ”
โกยอนจูนิ่งเงียบ ไม่พูดจา หล่อนไม่ตอบอะไรใดๆ กลับมาเลย ดูเหมือนจะกำลังรอฟังคำพูดของผมเสียก่อน แล้วค่อยตัดสินใจพูดในภายหลัง
ผมใช้เวลาชั่วครู่หนึ่ง ในการเก็บเสียมให้เป็นระเบียบเรียบร้อย แล้วจึงพูดต่อมาว่า
“ผมอยากกลับบ้าน”
“…ค่ะ”
“ช่วงเวลาที่ผ่านมา ผมไม่ได้นั่งคิดเรื่องนี้อยู่แค่ครั้งสองครั้งหรอกนะครับ ผมอยากจะเห็นจุดจบของโลกที่ชื่อว่าฮอลล์เพลนแห่งนี้ และอยากกลับบ้านอยู่ตลอดเวลาครับ เพราะงั้นผมก็เลยพยายามอดทน อดกลั้น ข่มใจใช้ชีวิตแบบนี้ต่อไป และผมก็ไม่อยากกลับบ้านคนเดียวด้วย”
ไม่อย่างนั้น ผมคงได้กลับโลกตัวคนเดียว ตั้งแต่ได้รับซีโร่โค้ดมาแรกๆ แล้ว
“ถ้างั้น…”
“ผมอยากกลับบ้านพร้อมกับพี่ชาย สมาชิกเผ่า และคนอื่นๆ ที่ผมรู้จัก นั่นแหละครับคือเป้าหมายสุดท้ายที่คิมซูฮยอนคนนี้ ผู้เล่นคนหนึ่งที่ใช้ชีวิตอยู่ ณ ฮอลล์เพลนแห่งนี้ และในปัจจุบันนี้ กำลังพยายามทำให้สำเร็จอยู่ครับ”
ผมพูดในส่วนของตัวเองจบไปในระดับหนึ่งแล้ว จึงได้เริ่มจัดท่าทางของตัวเองใหม่อีกครั้ง ผมค่อยๆ เกลี่ยดินที่กระจัดกระจายไปเรื่อย พลางพูดออกมาอีกครั้งว่า
“เรื่องการจากไปของผู้เล่นชินซังยงน่ะ เป็นเรื่องที่น่าเศร้าและน่าเสียดายจริงๆ ครับ ผมเข้าใจว่าตอนนี้พวกเด็กๆ รู้สึกแบบไหนกันอยู่ เข้าใจและเห็นใจครับ”
“…”
“ไอ้เศร้าน่ะ มันก็เศร้าได้ จะร้องไห้ ก็ร้องไห้ได้อยู่แล้ว แต่จะให้มันมาฉุดรั้งการก้าวเดินหน้าต่อไปของพวกเราไม่ได้นะครับ”
ผมขุดดินลึกได้ประมาณหนึ่งแล้ว หลังจากนั้นจึงเริ่มขุดหลุมให้กว้างขึ้นอีก เพื่อที่จะได้พอดีกับขนาดของโลงศพ
“หากตอนนี้พวกเด็กๆ เข้าใจได้เสียทีว่าโลกใบนี้มันเป็นอย่างไรกันแน่ ก็คงจะดีไม่น้อยนะครับ ซึ่งถ้าจะให้เป็นเช่นนั้น เราก็ต้องปล่อยให้เขารู้สึกได้ด้วยตัวเองใช่ไหมล่ะครับ จะตามมาไหม หรือไม่ตัวเองจะถูกคัดออกหรือเปล่า สุดท้ายแล้ว ทางเลือกก็อยู่ที่พวกเขาอยู่ดีครับ”
“เพราะงั้น…ก็หมายความว่าซูฮยอนไม่ได้ละเลยหรือทิ้งเขา แต่อยากให้พวกเขารู้จักเอาชนะใจตัวเองสินะคะ”
เสียงของโกยอนจูที่ได้ยินเข้าหูมานั่น ฟังดูสดใสกว่าตอนแรกๆ ที่ได้ยินอยู่พอสมควร
ผมจัดการทิ้งเสียมไปอีกฝั่งหนึ่ง แล้วจึงค่อยยืด บิดเอวอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเงยหน้ามองท้องฟ้า พร้อมพูดออกมาว่า
“ครับ”
ดวงอาทิตย์ที่ตระหง่านอยู่กลางฟากฟ้ายังคงสาดส่องแสงแดดเจิดจ้าลงมาอยู่ดั่งเดิม ผมหลับตา พร้อมรับไออุ่นจากแสงแดดเหล่านั้น ก่อนที่จะเอื้อนเอ่ยประโยคต่อไป
“เพราะ…ตอนนี้เราไม่มีเวลาให้คอยท่าต่อไปจริงๆ แล้วครับ”
เมื่อพ้นออกมาจากวาร์ปเกตได้สำเร็จ ภาพทิวทัศน์ของเมืองอันแสนคุ้นตาจึงได้ปรากฏอยู่ตรงเบื้องหน้าผม
“ถึงบาร์บาร่าแล้วเหรอคะ”
แน่นอนว่ามีโกยอนจูติดตามมาด้วย ผมพยักหน้าให้กับคำพูดของหล่อน ก่อนที่จะเงยหน้ามองบนท้องฟ้า
เย็นแล้วสินะ เกือบจะค่ำแล้วด้วย
หลังจากผมทานอาหารกลางวันเสร็จ ก็ได้นอนกลางวัน แล้วจึงค่อยออกเดินทางมาหลังจากนั้น ซึ่งไม่รู้ว่าอาจเป็นเพราะสาเหตุเหล่านั้นหรือไม่ จึงทำให้ดวงอาทิตย์เริ่มค่อยๆ เคลื่อนตัวข้ามมายังทิศตะวันตก เตรียมพร้อมที่จะลาลับโลกไป จึงทำให้สีส้มเริ่มแต่งแต้มท้องฟ้าสีคราม อันเป็นสัญญาณแห่งอาทิตย์ยามอัสดง
“ซูฮยอน ตอนนี้ยังจะคิดกลับไปอยู่อีกเหรอคะ การประชุมก็เลื่อนออกไปแล้วนี่ พรุ่งนี้ตอนเช้าค่อยมาใหม่ก็ได้นี่คะ”
“อืม”
คำพูดที่ฟังดูมีเหตุผลของหล่อน ทำเอาผมเกิดอาการคิดหนักไปชั่วครู่หนึ่ง
สงครามก็จบไปแล้ว ช่วงระยะเวลาสามวันก็ได้ผ่านเลยไปแล้วเช่นเดียวกัน
บริเวณประตูฝั่งตะวันตก เป็นบริเวณที่ได้รับผลกระทบสาหัสมากที่สุดในสงครามคราวนี้ แต่แล้วเขากลับขาดการจัดระเบียบสมรภูมิรบไปเสียอย่างนั้น ทั้งที่ได้รับวันเวลาในการพักฟื้นถึงสามวัน โดยได้ยกเรื่องการซ่อมบำรุงมาเป็นข้ออ้าง และได้ตัดสินใจว่าจะมารวมตัวกันที่บาร์บาร่า เพื่อหารือกันต่อไปในวันที่สี่
ซึ่งวันนี้ก็คือวันที่สี่แล้ว
แต่แล้วการประชุมที่จะต้องมีขึ้นในเช้าวันนี้ กลับโดนเลื่อนไปเป็นช่วงเย็นเสียแทน ทั้งนี้ก็ด้วยเหตุผลเรื่องการจัดระเบียบสมรภูมิรบ ดังนั้น ผมจึงเริ่มออกเดินทางอีกครั้ง เมื่อถึงเวลาช่วงเย็นที่เราจะต้องเข้าประชุม แต่แล้วพอผมได้เดินทางมาถึงวาร์ปเกตแล้วนั่นเอง จู่ๆ ก็ได้รับการติดต่อเข้ามาว่า การประชุมได้ถูกเลื่อนไปเป็นเช้าวันพรุ่งนี้เสียแทน
คำแก้ตัวที่ว่าต้องจัดระเบียบเรื่องสมรภูมิรบน่ะ ถือว่าเป็นคำแก้ตัวที่ดีเลยล่ะ แต่ในท้ายที่สุดแล้ว มันก็กำลังหมายความว่า การเตรียมการยังไม่ดีพร้อมสักเท่าใดนัก
อย่างไรก็ตาม จริงๆ แล้ววันนี้ยังถือเป็นอีกหนึ่งวันที่เราสามารถพักผ่อน ก่อนเริ่มทำงานได้ แต่กระนั้นผมก็ไม่ยอมหยุดเดิน และเลือกที่จะมาบาร์บาร่าในวันนี้เสียเลย
จำนวนสมาชิกในเผ่าของผมมีน้อย ดังนั้นเราจึงไม่ได้ใช้เวลาในบำรุงรักษาอุปกรณ์มากอะไรขนาดนั้น และพวกเรายังได้พักผ่อนอย่างเต็มที่แล้วด้วย
แต่ผมสงสัยจริงๆ สงสัยมากกว่าเรื่องใดๆ ถึงจะพูดอีกกี่ครั้ง ต่อกี่ครั้ง ก็ไม่ได้หมายความว่าสงครามจะยุติลงด้วยดีแต่อย่างใด ผมสงสัยกระบวนการจัดการหลังสงคราม สงสัยว่าเผ่าสิงโตทองเป็นเช่นไรแล้วบ้าง สงสัยว่าในสงครามครั้งนี้มีผู้เล่นที่มีชื่อโด่งดังเสียชีวิตลงไปบ้างหรือไม่ สงสัยเรื่องระดับความเสียหายที่ได้จากสงครามคราวนี้อีกด้วย
แต่ก็นะ เหตุผลจริงๆ ของผมก็คือตัวเองไม่มีอะไรให้ทำนี่แหละ
แม้ผู้คนส่วนใหญ่ต่างรับทราบกันหมดแล้วว่าจะมีการประชุมในวันพรุ่งนี้ แต่ถึงอย่างนั้นการที่ผมก้าวเท้านำคนอื่นออกมาก่อนหนึ่งก้าว ก็ไม่ใช่เรื่องผิดร้ายแรงอะไร
“ซูฮยอน? จะทำอย่างไรต่อคะ”
ผมค่อยๆ กวาดมองบริเวณวาร์ปเกตอย่างช้าๆ และจึงตัดสินใจได้ในที่สุด การเดินทางออกมาก่อนเช่นนี้ ถือว่าเป็นการเสียเวลาโดยใช่เหตุก็จริง แต่ผมก็คิดขึ้นมาได้ว่า อย่างน้อยก็ยังมีเวลาให้ได้เดินสำรวจอยู่ประมาณหนึ่งเลยทีเดียว
“โกยอนจูจะกลับไปก่อนก็ได้นะครับ”
“…”
“วันนี้ผมว่าจะอยู่ที่บาร์บาร่านี่แหละครับ พอประชุมพรุ่งนี้เสร็จ เดี๋ยวผมก็เดินทางกลับไปอยู่ดีครับ”
“…เฮ้อ ห้ามอะไรไม่ได้จริงๆ เลยเชียว”
ความหมายที่แฝงอยู่ในการถอนหายใจเมื่อครู่นี้ของหล่อน คืออะไรกันแน่
และแล้วผมก็ได้รู้คำตอบที่แท้จริงทันทีในเวลาต่อมา
เมื่อผมก้าวพ้นออกมาจากวาร์ปเกตได้สำเร็จ ทันใดนั้นก็รู้สึกได้ถึงใครบางคนที่กำลังวิ่งไล่ตามหลังผมอยู่
จะกลับไปจริงๆ ก็ไม่เห็นเป็นไรเลยนี่
ความจริงแล้ว ผมปฏิเสธสมาชิกเผ่าคนอื่นๆ ที่ขอร่วมเดินทางในครั้งนี้ไปทั้งหมดเลย เพราะฉะนั้นต่อให้ผมอยู่ที่บาร์บาร่าคนเดียวก็ไม่เห็นจะเป็นอะไร ที่ผมมาที่นี่คนเดียวในตอนนี้ก็เพราะเข้ามาสอดส่องการฟื้นฟูสภาวะหลังสงคราม ส่วนเรื่องประชุมน่ะ ผมเข้าร่วมคนเดียวก็ได้ไม่เสียหายอะไร
แต่ดูเหมือนโกยอนจูจะไม่คิดเช่นนั้น
“ซูฮยอน~ ไปด้วยสิ~”
หลังจากนั้น ผมก็รู้สึกได้ว่าแขนของเจ้าหล่อนได้เข้ามาคล้องแขนผมไว้อย่างระมัดระวัง ส่วนตัวผมนั้นกลับเกิดความรู้สึกแปลกๆ เสียอย่างนั้น
พวกเราสองคนเดินทอดน่องสบายใจ ช่างไม่เหมาะสมกับบรรยากาศที่เป็นอยู่ในขณะนี้เลยแม้แต่นิดเดียว ผมเดินย่ำเท้าไปเรื่อยๆ พลางใช้สายตากวาดมองทั่วอาณาบริเวณ
จากที่เคยได้ยินมานั้น ว่ากันว่าเหล่าผู้เล่นที่เดิมทีอาศัยอยู่ในเมืองตะวันตก บัดนี้ได้ถูกพามาอยู่ที่บาร์บาร่าแทน ซึ่งไม่รู้ว่าอาจเป็นเพราะสาเหตุนี้หรือไม่ จึงทำให้ถนนหนทางในเมืองนี้ต่างแออัดไปด้วยผู้คน ทั้งๆ ที่เวลานี้เป็นยามกลางค่ำกลางคืนแท้ๆ