บทที่ 564 เป็นไปไม่ได

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

เปรี้ยง!

นี่คือการเผชิญหน้าของผู้แข็งแกร่งอย่างแท้จริง

นี่คือการปะทะกันของสุดยอดกระบวนท่าวิชาต่อสู้

ในจังหวะที่ทั้งสองฝ่ายผละแยกออกจากกันนั้น มวลพลังลมปราณจำนวนมหาศาลก็แผ่กระจายไปรอบเวที

เกิดเป็นคลื่นพลังทำลายล้าง

พื้นเวทีเกิดรอยแตกร้าว มวลอากาศปั่นป่วน พื้นดินสั่นสะเทือนราวกับเกิดเหตุแผ่นดินไหว

เป็นแผ่นดินไหวที่พร้อมจะทำลายโลกได้ทั้งใบ

พลังลมปราณสีดำทมิฬกระจัดกระจาย

ใบมีดจากปีกกระบี่จำนวนนับไม่ถ้วนกระเด็นไปรอบทิศทาง

พลังแห่งการทำลายล้างกวาดผ่านไปทั่วบริเวณ โดยที่มีจุดศูนย์กลางของการปล่อยพลังอยู่บนเวทีประลอง

หลังจากนั้นไม่กี่อึดใจ…

ครืน!

ม่านพลังที่กั้นอาณาเขตเวทีประลองอยู่โดยรอบไม่สามารถทนทานพลังการทำลายล้างได้อีกต่อไป เกิดรอยแตกร้าวขึ้นบนม่านพลัง แล้วกระแสลมปราณก็รั่วไหลออกมาจากรอยแตกร้าวเหล่านั้น

คลื่นพลังพวยพุ่ง

รัศมีแห่งการทำลายล้างกระจัดกระจายไปรอบทิศทางคุกคามผู้คนอย่างน่าประหวั่นพรั่นพรึง

“ท่าไม่ดีแล้วสิ…”

ไม่ว่าจะเป็นหลิงไท่ซวี ฉู่เหิน พานเว่ยหมิน หลิวฉีไห่หรือไต้จือฉุน ต่างก็มีสีหน้าที่เปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิง

เมื่อเห็นว่าสถานการณ์เริ่มผิดปกติ บรรดาผู้ฝึกยุทธ์ที่เป็นตัวแทนของชาวเมืองก็ขยับออกมาข้างหน้าและระเบิดพลังลมปราณของตนเองออกมาเป็นกำแพงป้องกันคนบริสุทธิ์ที่ยืนอยู่ด้านหลัง เมื่อพวกเขาร่วมแรงร่วมใจกันต้านทานคลื่นพลังแห่งการทำลายล้างเหล่านั้น ผู้คนจำนวนมากจึงรอดพ้นจากอาการบาดเจ็บได้อย่างเฉียดฉิว

แต่นักรบชาวทะเลจำนวนมากไม่ได้โชคดีเช่นนั้น

พวกมันไม่ได้เตรียมตัวล่วงหน้า พวกมันไม่คิดเลยว่าม่านพลังที่พวกของตนเองสร้างจะเกิดรอยแตกร้าวขึ้นมาได้

ชุดเกราะที่เหล่านายทหารชาวทะเลสวมใส่แตกกระจายเป็นฝุ่นผง

บางตัวโชคร้ายหน่อยที่ยืนอยู่แถวหน้าสุด จึงโดนคลื่นพลังกระแทกอย่างรุนแรง ร่างกายแตกสลายกลายเป็นม่านหมอกเลือด อวัยวะโปรยปรายลงมาจากอากาศ เสมือนสายฝนแห่งความสยองขวัญ

เจ้าชายอวี้ชินหวังผุดลุกขึ้นยืนอีกครั้งพร้อมกับเบิกตาโต

ชายชราและหญิงสาวที่อยู่ในเกี้ยวทองคำก็ลุกขึ้นยืนแล้วเช่นกัน

นักรบชาวทะเลจำนวนไม่น้อยมีสีหน้าเปลี่ยนแปลงไป

หลังจากนั้นอึดใจใหญ่

คลื่นพลังแห่งการทำลายล้างบนเวทีประลองก็จางหาย

แสงสว่างริบหรี่ลง

ยังคงมีร่างคนสองคนยืนอยู่บนเวทีประลอง

ติ๋ง! ติ๋ง! ติ๋ง!

ใบกระบี่แตกหักร่วงลงไปอยู่บนพื้นเวที พร้อมกับหยดเลือดสีแดงสด

บริเวณหัวไหล่ขวาของหลินเป่ยเฉินปรากฏบาดแผลฉกรรจ์จากของมีคมบางชนิด ลากเป็นทางยาวมาเกือบจรดข้อศอก โลหิตไหลทะลักออกมาปานน้ำพุ… ด้ามจับของกระบี่จันทราพิฆาตยังคงอยู่ในมือเขา แต่ใบกระบี่ของมันได้หักครึ่งลงเสียแล้ว

กระบี่ถูกทำลายลงแล้ว

ตัวคนก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสแล้ว

หลินเป่ยเฉินพ่ายแพ้แล้วหรือไม่?

ยังไม่พ่ายแพ้

เพราะว่า…

ในทางกลับกัน

แม่ทัพฉลามอู๋หยากำลังยืนโงนเงนอยู่บนเวที

แขนขวาของมันถูกตัดขาดเสมอไหล่ ร่างกายย้อมไปด้วยโลหิตสีดำ ใบหน้าบิดเบี้ยวแสดงความเจ็บปวดและตกตะลึง ดวงตาปรากฏความพิศวงและตื่นกลัวเล็กน้อย มันกำลังจ้องมองมาที่หลินเป่ยเฉินเขม็ง…

พิจารณาจากอาการบาดเจ็บแล้ว ตัวมันเองได้รับบาดเจ็บสาหัสมากกว่าหลินเป่ยเฉิน…

อย่างน้อยแขนก็ขาดไปหนึ่งข้าง

มีแต่ต้องเลื่อนระดับพลังขึ้นไปอยู่ในขั้นเซียนได้สำเร็จเท่านั้น ถึงจะสามารถงอกแขนขากลับออกมาใหม่ได้อีกครั้ง

เมื่อเห็นสภาพของคู่ต่อสู้ทั้งสองฝ่ายเต็มๆ ตา บรรดาผู้คนที่อยู่โดยรอบเวทีประลองก็ต้องส่งเสียงอุทานออกมาด้วยความไม่อยากเชื่อ

โดยเฉพาะชาวเผ่าทะเล ไม่ว่าจะเป็นนายทหารตัวเล็กตัวน้อยหรือว่าขุนพลผู้ยิ่งใหญ่ หัวใจของพวกมันเจ็บปวดไม่ต่างจากถูกค้อนทุบตี ไม่มีใครอยากเชื่อในสิ่งที่สายตาของตนเองกำลังพบเห็น

สำหรับพวกมันแล้ว แม่ทัพฉลามอู๋หยาและเพลงหมัดหลับใหลชั่วนิรันดร์ คือการจับคู่ที่ยอดเยี่ยมไร้เทียมทาน

สำหรับพวกมันแล้ว ไม่เคยมีใครสามารถเอาชนะแม่ทัพแห่งหน่วยรบคลื่นทมิฬได้มาก่อน…

แต่ทว่า…

บัดนี้ ท่านแม่ทัพพ่ายแพ้แล้วหรือ?

พวกมันต่างก็เกิดความรู้สึกเหมือนโลกกำลังจะถล่มลงมา

ทางด้านฝ่ายชาวเมืองหยุนเมิ่งซึ่งในขณะนี้มารวมตัวกันเกินหมื่นคนแล้ว พวกเขาระบายลมหายใจออกมาด้วยความโล่งอก เมื่อสักครู่นี้ หลายคนลุ้นระทึกแทบลืมหายใจ พอสายตาได้พบเห็นว่าหลินเป่ยเฉินยังคงยืนอยู่ในสภาพครบสามสิบสอง ทุกคนก็อดส่งเสียงโห่ร้องออกมาด้วยความดีใจไม่ได้

แต่ในเวลาเดียวกันนั้น น้ำตาของพวกเขาก็ไหลริน

เพราะว่าเด็กหนุ่มได้รับบาดเจ็บ

บาดแผลฉกรรจ์บนไหล่ขวาแทบจะทำให้แขนของหลินเป่ยเฉินขาดออกมาแล้ว…

ไม่ทราบเลยว่าเด็กหนุ่มจะเจ็บปวดขนาดไหน?

โดยเฉพาะบรรดาชาวเมืองที่เป็นคนแก่และสตรีจำนวนมาก ทุกคนล้วนรู้สึกสงสารเด็กหนุ่มผู้ยืนหยัดอยู่บนเวทีประลองหมดหัวใจ เพราะพวกเขาทราบดีว่าหลินเป่ยเฉินขึ้นไปยืนอยู่บนนั้น ก็เพื่อปกป้องชาวเมืองให้มีชีวิตที่ดีกว่าเดิม

บนเวทีประลอง

“ตกลงแล้ว… เจ้าเป็นใครกันแน่?” แม่ทัพฉลามอู๋หยาถามออกมาด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง

“ข้าก็เป็นแค่ชาวจีนธรรมดาคนหนึ่ง เอ๊ย เป็นแค่ชาวเมืองหยุนเมิ่งผู้รักในความยุติธรรมคนหนึ่งเท่านั้น”

บัดนี้ หลินเป่ยเฉินมีจิตใจที่สงบเยือกเย็นมากพอที่จะพูดจายั่วยวนกวนประสาทฝ่ายตรงข้ามได้แล้ว

โชคดีที่เขามีปฏิกิริยารวดเร็ว จึงสามารถปรับเปลี่ยนคำพูดได้ทันเวลา

แต่คำพูดที่ไม่ได้ตั้งใจของหลินเป่ยเฉินนั้น กลับทำให้ชาวเมืองน้ำตาไหลรินด้วยความซาบซึ้งใจมากยิ่งกว่าเดิม

ใช่แล้ว หลินเป่ยเฉินเป็นบุคคลที่รักความยุติธรรมจริงๆ

ต่อให้ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เด็กหนุ่มจะไม่ได้แสดงออกเช่นนั้นเลยก็ตาม

ก่อนหน้านี้ ด้วยความที่มีพฤติกรรมชั่วร้ายชอบข่มเหงรังแกผู้อื่น ทุกคนจึงมักจะสาปแช่งให้หลินเป่ยเฉินถูกฟ้าผ่าตายทุกครั้งที่มีฝนตก

ก่อนหน้านี้ ชาวเมืองต่างก็มองหลินเป่ยเฉินเป็นเพียงลูกขุนนางที่ถูกเลี้ยงดูมาอย่างตามใจมากเกินไป

แต่บัดนี้ เห็นได้ชัดว่าเด็กหนุ่มเติบโตขึ้นแล้ว

เขามีความรับผิดชอบและรู้จักหน้าที่ของตนเอง

บัดนี้ หลินเป่ยเฉินกลายเป็นความภาคภูมิใจของชาวเมืองหยุนเมิ่ง

“เป็นเพราะร่างกายของเจ้ามีพลังศักดิ์สิทธิ์คอยคุ้มครอง มิเช่นนั้นแล้ว เจ้าไม่มีทางต้านทานการโจมตีของข้าได้เด็ดขาด…”

สุดท้าย แม่ทัพฉลามอู๋หยาก็ระงับความแตกตื่นของตนเองได้สำเร็จ

มันพูดออกมาด้วยน้ำเสียงพิศวงงงงวย “”ยิ่งไปกว่านั้น เจ้ายังรอดชีวิตจากกระบวนท่าเพลงหมัดเกล็ดทมิฬได้สำเร็จ… หรือว่าเจ้ามีวิญญาณของเทพีกระบี่สถิตอยู่ในร่างกาย? ไม่ใช่ เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด ที่นี่เป็นอาณาเขตของเทพเจ้าแห่งท้องทะเล ไม่ว่าเป็นพลังของเทพีกระบี่หรือเทพเจ้าองค์ใดก็ตาม ต่างก็ไม่สามารถถ่ายทอดผ่านเข้ามาได้แน่นอน… แล้วเจ้าสามารถทำได้อย่างไร?”

เมื่อสักครู่ ตอนที่รู้ตัวว่าตนเองกำลังจะพ่ายแพ้ให้แก่คมกระบี่จันทราพิฆาตในมือหลินเป่ยเฉิน แม่ทัพฉลามอู๋หยาก็ได้รวบรวมพลังใช้ออกมาด้วยกระบวนท่าเพลงหมัดเกล็ดทมิฬอีกครั้ง เพื่อต่อต้านพลังทำลายล้างจากกระบวนท่าโจมตีของเด็กหนุ่ม

หากไม่ทำเช่นนั้น ป่านนี้ตัวมันคงต้องตกตายภายใต้น้ำมือของหลินเป่ยเฉินเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

แต่สิ่งที่น่าตกตะลึงมากที่สุดก็คือ พลังเกล็ดทมิฬที่มันดีดออกไปจากผิวหนัง ซึ่งปกติสามารถคุกคามผู้ที่มีพลังระดับเซียนให้อยู่ในสภาพปางตายได้ไร้ปัญหา กลับโจมตีหลินเป่ยเฉินได้เพียงบาดแผลบนหัวไหล่เท่านั้นเอง

นี่คือสิ่งที่น่าเหลือเชื่อมากเกินไป

นี่คือสิ่งที่เป็นไปไม่ได้

เว้นแต่ว่าหลินเป่ยเฉินจะมีพลังเหนือธรรมชาติคอยคุ้มครอง

มิฉะนั้นแล้ว หลินเป่ยเฉินจะต้องกลับกลายเป็นเพียงกองเลือดกองหนึ่ง

แม่ทัพฉลามอู๋หยาทั้งตกตะลึงทั้งโกรธแค้น เพราะมันกำลังจะพ่ายแพ้ให้แก่ผู้ชนะที่มันไม่เข้าใจกลยุทธ์

ดังนั้น มันจึงต้องถามออกมาแล้ว

ถ้าอ่าน “เซียนกระบี่มาแล้ว” ถึงบทนี้แล้วยังไม่จุใจ งั้นไปอ่านกันต่อได้ที่เว็บ Enjoybook.co เพราะที่นั่นลงนำไปแล้วกว่า 30 ตอน !! อ่านก่อนใครได้ที่เว็บเอนจอย