ตอนที่ 768 อาจารย์ว่าไว้ โดย ProjectZyphon
“ศิษย์พี่เยวี่ย เหตุใดก่อนหน้านี้ท่านต้องเกรงใจเด็กหนุ่มนั่นขนาดนี้ด้วย”
ขณะเดียวกับที่พวกโม่เฟิงกำลังจิตใจว้าวุ่น เหล่าผู้สืบทอดสำนักยุทธ์พันเวทก็สับสนงงงวย ไม่เข้าใจการกระทำของเยวี่ยเจี้ยนหมิง
เยวี่ยเจี้ยนหมิงสองมือไพล่หลัง แขนเสื้อปลิวไปตามลม เท้าเหยียบอยู่บนรุ้งทอง ดูสง่างามอย่างบอกไม่ถูก
เมื่อได้ยินวาจา เขาก็ถอนใจเบาๆ อย่างจนใจอยู่บ้างแล้วกล่าวว่า “ข้าเคยบอกพวกเจ้าหลายครั้งแล้วว่าบนโลกนี้ผู้มีความสามารถปรากฏตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง เหล่าผู้กล้ามากมายราวดวงดารา ก็เหมือนเด็กหนุ่มที่มีนามว่าหลินสวินผู้นั้น เขาก็คือคนที่แข็งแกร่งอย่างยิ่งยวดคนหนึ่ง”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ ดวงตาของเขาก็ฉายแววประหลาด “พวกเจ้าก็รู้ว่าข้ามีพรสวรรค์ ‘วิญญาณอภิญญา’ มาแต่กำเนิด อีกทั้งวิชาที่ฝึกก็คือ ‘เคล็ดวิชาแสงปักษาทรงวิญญาณ’ คัมภีร์ลับโบราณของสำนักเรา วิชานี้เข้ากับพรสวรรค์ของข้า สามารถรับรู้สิ่งที่ผู้อื่นไม่อาจล่วงรู้ได้”
ทุกคนล้วนพยักหน้า พวกเขาย่อมรู้เรื่องนี้ดี
“และจากตัวหลินสวินคนนั้น ข้าก็เห็นศักยภาพน่าหวาดหวั่นกับพลังน่าตื่นตะลึงบางอย่าง แม้ไม่อาจมองทะลุถึงตื้นลึกหนาบางของเขาได้ แต่ที่สามารถแน่ใจได้ก็คือ ถ้าพูดถึงพลังการต่อสู้แล้ว แม้แต่ข้ายังไม่มั่นใจว่าจะเอาชนะเขาได้”
เมื่อเยวี่ยเจี้ยนหมิงพูดเช่นนี้ออกมา คนอื่นล้วนสั่นสะท้าน สูดลมหายใจเย็นไม่ว่างเว้น ในที่สุดก็รับรู้ว่าเหตุใดเขาถึงปฏิบัติต่อหลินสวินอย่างเกรงใจเช่นนั้น
ที่แท้เด็กหนุ่มคนนี้ก็เป็นตัวร้ายกาจที่ซ่อนคมในฝักผู้หนึ่ง!
ก็ไม่รู้ว่าเยวี่ยเจี้ยนหมิงนึกอะไรขึ้นมาได้ จึงเอ่ยทอดถอนใจว่า “นี่ก็เรียกว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือคนยังมียอดคน ดินแดนรกร้างโบราณแห่งนี้กว้างใหญ่ไพศาลเกินไป ครอบคลุมสี่แดนวิภูและแคว้นอีกนับหมื่น มีอัจฉริยะและผู้กล้าที่โดดเด่นสะดุดตา เรียกได้ว่าไร้เทียมทานมากมายนัก หากพวกเจ้าคิดว่าแคว้นวิญญาณอัคนีแคว้นเดียวแทนทั้งใต้หล้าแล้ว เช่นนั้นก็ไม่ต่างอะไรกับกบในกะลาจริงๆ”
ถ้าโม่เฟิงได้ยินการทอดถอนใจนี้ต้องรู้สึกเช่นเดียวกันแน่ เพราะก่อนหน้านี้เขาก็ทอดถอนใจว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้าเช่นกัน
“ศิษย์พี่ ขอพูดอะไรระคายหูท่านหน่อย แม้หลินสวินคนนั้นจะมีพลังต่อสู้โดดเด่นแล้วอย่างไรเล่า ที่นี่คือแคว้นวิญญาณอัคนี เป็นอาณาเขตของพวกเราสำนักยุทธ์พันเวท มีหรือจะยอมให้เขากำเริบเสิบสานเช่นนี้ได้”
หยางอวิ๋นตู้เอ่ยปาก แก้มเขาบวมแดงไม่หาย ยังคงเหลือรอยฝ่ามือ ในใจก็ไม่พอใจและหงุดหงิด
“ถ้าเจ้ายังพูดแบบนี้ ก็อย่ามาให้ข้าเห็นหน้าเสียเดี๋ยวนี้เลย”
ดวงตาเยวี่ยเจี้ยนหมิงกวาดมองหยางอวิ๋นตู้อย่างเย็นชาปราดหนึ่ง ทำให้ฝ่ายหลังสั่นระริกไปทั้งตัว สีหน้าเหยเก ไม่กล้าปริปากอีก
“ข้าเชิญเขาให้เข้าร่วมงานเทศกาลโคมกถามรรคที่กำลังจะเปิดฉากขึ้นบนเขาพยับครามอีกครึ่งปีต่อจากนี้ด้วยกัน ก่อนงานนี้ข้าหวังว่าพวกเจ้าจะเข้าใจ อย่างน้อยในแคว้นวิญญาณอัคนีแห่งนี้ สำนักยุทธ์พันเวทของพวกเรา ห้ามมีใครไปพุ่งเป้าโจมตีหลินสวินอีก!”
เยวี่ยเจี้ยนหมิงสีหน้าเคร่งขรึม ดวงตาแผ่รังสีน่าหวาดหวั่นออกมากวาดมองทุกคน นี่เป็นการเตือนและแจ้งให้ระวังอย่างหนึ่ง
ทุกคนจิตใจสั่นระรัว ไม่อาจสงบใจได้อย่างยิ่ง
เทศกาลโคมกถามรรค!
นั่นเป็นถึงงานชุมนุมใหญอันเป็นที่จับตามองครั้งหนึ่งของแคว้นวิญญาณอัคนี!
คิดจะเข้าร่วมงานชุมนุมใหญ่ครั้งนี้ย่อมมีเงื่อนไขเข้มงวดถึงที่สุด อย่าว่าแต่ผู้ฝึกปราณทั่วไปเลย ขนาดอัจฉริยะที่ยังไม่เข้าขั้นบางคนยังไม่มีคุณสมบัติเข้าร่วมงานนี้ด้วยซ้ำ!
เดิมทีภายในสำนักยุทธ์พันเวท ศิษย์รุ่นเยาว์มากมายก็ล้วนวาดหวังว่าจะได้เข้าร่วมงานชุมนุมใหญ่นี้กับเยวี่ยเจี้ยนหมิง
แต่ดูตอนนี้ เห็นได้ชัดว่าเป็นไปไม่ได้แล้ว
เยวี่ยเจี้ยนหมิงเลือกเพื่อนร่วมทางเรียบร้อยแล้ว เป็นเด็กหนุ่มที่ขนาดที่มาที่ไปยังคลุมเครือผู้หนึ่ง!
ความจริงข้อนี้ทำให้ผู้สืบทอดสำนักพันเวทเหล่านั้นอดอิจฉาอย่างลับๆ ไม่ได้ ไม่มีทางคาดคิดได้ว่าเพิ่งเจอกันครั้งแรกเท่านั้น หลินสวินผู้นี้ก็ได้รับความสำคัญจากศิษย์พี่เยวี่ยปานนี้
เยวี่ยเจี้ยนหมิงไม่ได้อธิบายว่าแท้จริงแล้วหลินสวินยังไม่ได้ตอบรับว่าจะเข้าร่วมเทศกาลโคมกถามรรคหรือไม่
แต่นี่ก็ไม่สำคัญ
เยวี่ยเจี้ยนหมิงมั่นใจว่าหากเขาปรารถนาจะผงาดในมหาสงครามที่กำลังจะมาถึง เขาต้องไม่พลาดเทศกาลโคมกถามรรคแน่!
ดังนั้นงานชุมนุมใหญ่ครั้งนี้ ต่างจากแต่ก่อนมากจริงๆ
……
สายัณห์ตะวันรอน เทือกเขาสีเขียวครึ้มฉาบไปด้วยสีแดงงดงาม
“ที่แท้ศิษย์พี่เยวี่ยเจี้ยนหมิงไม่เพียงหล่อเหลา นิสัยก็ดีอีกต่างหาก เทียบกับรูปลักษณ์เปล่งประกายเจิดจรัสในข่าวลือแล้ว ข้าชอบเขาแบบเมื่อกี้นี้มากกว่า”
ระหว่างทางไปยังส่วนลึกของภูเขาโคม่วง ซย่าเสี่ยวฉงดูมีชีวิตชีวา พูดจาเจื้อยแจ้วไม่หยุดหย่อน บนใบหน้าเกลี้ยงเกลาจิ้มลิ้มเต็มไปด้วยความคลั่งไคล้เสียสติ
“อ๊ะ ข้าคิดออกแล้ว เขาก็เหมือน… เหมือนผลไม้สดใหม่เลิศรส พาให้คนอื่นห้ามใจไม่ไหวต้องกินให้หมด”
ซย่าเสี่ยวฉงถ้าไม่ประพันธ์บทกวีโลกตะลึงก็คงตายตาไม่หลับ การเปรียบเปรยเช่นนี้ทำให้หลินสวินผงะไป เท้าสะดุดแทบล้ม
เยวี่ยเจี้ยนหมิงหรือ
ผลไม้สดใหม่เลิศรสหรือ
นี่ถ้าอีกฝ่ายรู้เข้า เกรงว่าจะรู้สึกเหมือนสายฟ้าฟาดกลางหัวกระมัง
หลินสวินคิดถึงตรงนี้ จู่ๆ ก็สงสัย “เจ้าคิดว่า ข้าเทียบกับเยวี่ยเจี้ยนหมิงแล้วเป็นอย่างไร”
เขารู้สึกว่าความคิดความอ่านของนางใสซื่อบริสุทธิ์ไม่เหมือนกับคนอื่น จึงอยากฟังความคิดและความรู้สึกที่มีต่อตน
“ท่านหรือ”
ดวงตาโตเปล่งประกายของซย่าเสี่ยวฉงกะพริบ จากนั้นก็มุ่นคิ้วน่ารัก พูดอย่างอวดดีว่า “ที่อาจารย์ว่าไว้ถูกต้องดังคาด ผู้ชายอย่างพวกท่านชอบเปรียบเทียบสูงต่ำอยู่เสมอ ตื้นเขินถึงที่สุด น่าเบื่อชะมัด”
หลินสวินหน้าเจื่อน มุมปากกระตุกไม่หยุด เขาแน่ใจได้ในที่สุดว่าอาจารย์ของซย่าเสี่ยวฉงต้องเป็นผู้หญิงแน่ หาไม่แล้วจะพูดเช่นนี้ออกมาได้อย่างไร
โป๊ก!
เด็กหนุ่มยกมือขึ้นเขกหัวซย่าเสี่ยวฉง “รีบไปเตรียมตัวให้เรียบร้อย ถ้าทำการทดสอบนี้ให้เสร็จไม่ได้ มาดูกันว่าใครจะร้องไห้ตอนจบ!”
ซย่าเสี่ยวฉงแยกเขี้ยวแล้วเอ่ยอย่างขัดเคืองว่า “พี่หลินสวิน อาจารย์ข้ายังเคยพูดอีกว่า ตอนผู้ชายอับอายจนโกรธมีอยู่แค่สองอย่าง อย่างแรกคือถูกเปิดโปงเรื่องโกหก อย่างที่สองก็คือรู้สึกว่าตนไร้ความสามารถ สู้คนอื่นไม่ได้ ข้าว่าท่านต้องเข้าข่ายหลังแน่เลย”
หลินสวินโกรธจนแทบขาดใจตาย สีหน้าปนเปไปด้วยความรู้สึกต่างๆ เขาสันนิษฐานและสงสัยอย่างมุ่งร้ายว่าอาจารย์ของซย่าเสี่ยวฉงไม่เพียงเป็นผู้หญิง หนำซ้ำยังเป็นหญิงหม้ายระทมที่เคยถูกผู้ชายทำร้ายด้วย!
……
ยอดเขาอันตรายสูงลิ่ว ก้อนหินประหลาดเรียงราย
นี่เป็นยอดเขาเดี่ยวสูงชันยอดหนึ่งในส่วนลึกของภูเขาโคม่วง ที่ด้านล่างของยอดเขากองหินเกลื่อนกลาด หญ้าขึ้นรกชัฏ อินทรีปีกหิมะตัวแล้วตัวเล่าบินล่องอยู่ในอากาศ
พวกมันมีปีกแหลมคมสีขาวหิมะ เสียงร้องแหลมสามารถแทงทะลุหินผา อีกทั้งกงเล็บแหลมคมคู่หนึ่งสามารถฉีกทึ้งพยัคฆาทั้งเป็น!
และตอนนี้ นัยน์ตาสีทองเจิดจ้าของพวกมันจับจ้องสาวน้อยใสซื่อน่ารักคนหนึ่ง ลงมืออุกอาจ โจมตีรุนแรงโหดเหี้ยมที่สุด
ฉัวะๆๆ!
ยามอินทรีปีกหิมะบินทะยานไป ปีกทั้งสองรวบเข้าราวดาบ ร่างกายดุจรุ้งเทพสีขาวหิมะสายแล้วสายเล่า ว่องไวและดุดัน ตีหินผาจนแหลก ฉีกห้วงอากาศ พลังร้ายกาจพวยพุ่งทะลุเมฆา
เด็กสาวหลบหนีอย่างทุลักทุเล ร้องไห้โฮ ถูกรายล้อมไปด้วยภยันตราย
“พี่หลินสวิน ท่านกำลังเอาคืนข้านี่!”
เด็กสาวย่อมเป็นซย่าเสี่ยวฉง
นางกราดเกรี้ยวนัก เพราะเอ่ยถึงคำพูดบางคำที่อาจารย์เคยกล่าวไว้ ก็ถูกหลินสวินพามายังพื้นที่นี้แล้วทิ้งนางไว้คนเดียวไม่เหลียวแล บอกว่าการทดสอบของนางเริ่มต้นแล้ว…
“อาจารย์ว่าไว้ไม่ผิด ผู้ชายเมื่ออายจนโกรธก็จะเปลี่ยนเป็นคนใจคับแคบนิสัยเสีย พอเอาคืนขึ้นมาร้ายกาจกว่าผู้หญิงอีก!”
ซย่าเสี่ยวฉงหลบการโจมตีไปพลางร้องเอะอะโวยวายไปด้วย เสียงใสกังวานดังก้องพื้นที่นี้
บนจุดสูงสุดของยอดเขาที่ไกลออกไป หลินสวินซึ่งกำลังร่ำสุราอยู่แทบสำลักออกมา เขาถูกคนอื่นต่อว่าเช่นนี้เป็นครั้งแรก
“เด็กบ้านี่ ทำไมจู่ๆ ก็เปลี่ยนเป็นโมโหเสียแล้วล่ะ”
หลินสวินพูดไม่ออก คิดว่าเหตุแห่งเคราะห์ก็คืออาจารย์ของซย่าเสี่ยวฉงอย่างแน่นอน!
เด็กสาวที่ใสซื่อบริสุทธิ์คนหนึ่งอย่างซย่าเสี่ยวฉง กลับถูกอาจารย์ของนางยัดเยียดวาจาชังมนุษย์ ขบถตำราเย้ยวิถีและเคียดแค้นบุรุษเช่นนี้ ช่างเป็นบาปเสียจริงเชียว!
เขาคิดว่าต้องเปลี่ยนความคิดของนาง ดังนั้นจึงตัดสินใจสังเกตการณ์ไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยว ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น
เดิมทีซย่าเสี่ยวฉงก็พูดเองว่านางอยากทำการทดสอบนี้ให้สำเร็จด้วยตัวเอง ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นทำตามที่นางต้องการก็ดีแล้ว
ประจวบเหมาะกับสามารถถือโอกาสนี้ทำให้นางได้ตื่นรู้เสียหน่อยว่า เมื่อเทียบกับตนแล้วเจ้าผลไม้สดน่าลิ้มลองนั่นต่างหากที่ดูได้อย่างเดียวแต่ไร้ประโยชน์!
เมื่อคิดเช่นนี้เขาพลันรู้สึกพึงพอใจ ปลอดโปร่ง และได้รับความเป็นธรรม เพียงแต่ไม่นานเขาก็รู้สึกแปลกชอบกล ตนเป็นอะไรกันนี่ จะไปถือสาความคิดของเด็กน้อยคนหนึ่งทำไม หรือว่าตนจะอายจนโกรธอย่างที่นางว่าไว้จริงๆ
ไม่น่านะ…
แต่ก่อนข้าไม่ได้ใจแคบนิสัยเสียสักหน่อย…
หลินสวินตกอยู่ในภวังค์อย่างลึกล้ำ
แต่ที่เบื้องล่างของยอดเขาอันตราย ซย่าเสี่ยวฉงไม่อาจวอกแวกมาบ่นได้อีกแล้ว นางถูกอินทรีปีกหิมะล้อมโจมตี สถานการณ์ย่ำแย่และอันตราย ต้องจดจ่อสมาธิทั้งหมดมาต้านทาน
ไม่กี่ชั่วยามผ่านไป
อินทรีปีกหิมะสิบกว่าตัวถูกซย่าเสี่ยวฉงสังหาร ที่เหลือบางตัวก็ท่าทางยับเยิน ตกใจจนตีปีกหนีไปแล้ว
คราบเลือดกระเซ็นไปทั่วพื้นดิน กลิ่นคาวเลือดเตะจมูก
หลังจากซย่าเสี่ยวฉงใช้มุกควบรวมจิตดึงเอาจิตวิญญาณของอินทรีปีกหิมะที่ตนต้องการมาแล้ว ก็นั่งลงไปกับพื้นอย่างหมดรูป หอบหายใจเฮือกใหญ่ ท่าทางเหน็ดเหนื่อยหมดแรง
แต่ปากนางก็ยังคงบ่นพึมพำ “เอาคืน นี่ก็คือการเอาคืนของผู้ชาย เหมือนที่ท่านอาจารย์ว่าไว้จริงๆ ผู้ชายไม่มีดีสักคน เมื่ออายจนโกรธแล้ว ขนาดคนอย่างพี่หลินสวินยังบ้าบอเสียสติ ไม่อยากจะคิดเลยจริงๆ ว่าถ้าตอนนั้นข้าบอกว่าเขาไม่หล่อเท่าศิษย์พี่เยวี่ยเจี้ยนหมิง เขาจะเป็นอย่างไรบ้าง…”
เมื่อพูดจบนางก็ยังสั่นสะท้านด้วยความตระหนก ท่าทางตกใจนัก เหมือนในสมองจินตนาการภาพที่โหดเหี้ยมเลวร้ายถึงที่สุดของหลินสวิน
ไกลออกไปหลินสวินเห็นภาพทั้งหมดนี้ สีหน้าพลันแปรเปลี่ยนไปด้วยความรู้สึกหลากหลายอย่างประหลาด
“เอ๊ะ พี่หลินสวินมาตั้งแต่เมื่อไร”
ซย่าเสี่ยวฉงเงยหน้าขึ้นก็เห็นใบหน้าบูดเบี้ยวมืดทะมึนราวก้นหม้อของหลินสวิน
“ถ้าข้าไม่มาก็ไม่รู้ว่าเจ้าวางตำแหน่งข้าอย่างไรน่ะสิ!” หลินสวินพูดอย่างโมโห “พักพอแล้วกระมัง เช่นนั้นก็เปลี่ยนที่ทำการทดสอบต่อ!”
ซย่าเสี่ยวฉงพลันร้องโอดครวญ สองมือกอดขาหลินสวินไว้ น้ำตารื้นขึ้นที่ดวงตา พูดอย่างน่าสงสารนักว่า “พี่หลินสวิน เสี่ยวฉงผิดไปแล้ว ท่านยกโทษให้ข้าเถอะ เสี่ยวฉงไม่กล้าแล้ว”
หลินสวินเห็นว่านางหนูนี่ยอมแพ้แล้วก็พอจะระบายอารมณ์แค้นออกมาได้บ้าง แต่ปากกลับพูดเสียงแข็งว่า “อ๋อ เจ้าผิดไปแล้วหรือ ผิดตรงไหนล่ะ พูดให้ข้าฟังหน่อยสิ”
ดวงตาโตเปล่งประกายของซย่าเสี่ยวฉงน้ำตาคลอเบ้า “เสี่ยวฉงผิดที่ไม่ควรพูดความจริง อาจารย์เคยว่าไว้ ผู้ชายล้วนจอมปลอม ชอบฟังคำโกหกของหญิงไม่ได้ความ…”
พูดถึงตรงนี้นางพลันนิ่วหน้า หยุดร้องไห้แล้วเอ่ยอย่างสงสัยว่า “ไม่ใช่สิ ถ้าเป็นอย่างนี้เสี่ยวฉงก็ไม่ใช่กลายเป็นหญิงไม่ได้ความหรอกหรือ ไม่ได้ ข้าไม่อาจรับความผิดได้แล้ว อาจารย์เคยว่าไว้ หญิงที่ดีจะไม่ยอมรับผิด ที่ผิดก็คือโลกนี้กับผู้ชายในโลกนี้ต่างหาก!”
“…”
มุมปากของหลินสวินกระตุกครู่หนึ่ง ร่างกายชาหนึบ รู้สึกว่าตัวเขาแย่แล้ว
ก็ในตอนนี้เอง เสียงตะคอกที่เต็มไปด้วยความดูถูกเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น “ถุย! เป็นถึงชายอกสามศอก กลับรังแกแม่นางน้อยอ่อนแอคนหนึ่ง หน้าไม่อายเลยสักนิด! ตั้งแต่ข้าฝึกปราณมา ไม่เคยเห็นคนไร้ยางอายอย่างเจ้ามาก่อน!”
——