บทที่ 807 หน้ากากสุกร!

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

“ผลึกสีชาดเช่นนั้นหรือ…” หวังเป่าเล่อเริ่มคิด ชายหนุ่มไม่แน่ใจนักว่าผลึกเหล่านี้คืออะไร แต่การที่มันถูกนำมาใช้เป็นสกุลเงินแปลว่าจะต้องหายากพอสมควร และทรัพยากรหายากที่ทุกคนยอมรับในมูลค่าก็ย่อมส่งผลอะไรบางอย่างกับระดับปราณเป็นแน่

ชายหนุ่มคาดเดาได้ถูกต้อง เพราะจากนั้นเซี่ยไห่หยางก็อธิบายเหตุผลว่าเหตุใดผลึกสีชาดจึงได้มีราคาแพงนัก ผลึกนี้เป็นวัตถุปริศนาที่สามารถเร่งความก้าวหน้าในการฝึกปราณของผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ได้ ต้นกำเนิดของผลึกนี้ลึกลับและไม่เป็นที่ล่วงรู้ มีเพียงตระกูลไม่รู้สิ้นเท่านั้นที่สามารถผลิตผลึกนี้ขึ้นมาได้ มีผลึกสีชาดจำนวนจำกัดที่ถูกหลอมขึ้นและใช้หมุนเวียนอยู่ในระบบดาวเคราะห์เต๋าไม่รู้สิ้น

เรียกได้ว่าตระกูลไม่รู้สิ้นได้ควบคุมระบบเศรษฐกิจของระบบดาวเคราะห์เต๋าไม่รู้สิ้นเอาไว้หมดแล้วก็ไม่ผิด

ไม่มีใครรู้วิธีการหลอมผลึกเหล่านี้ ต่อให้เป็นปรมาจารย์ด้านการหลอมก็ยังแยกส่วนและวิเคราะห์ผลึกไม่ได้

“แต่มีข่าวลือว่าผลึกเหล่านี้…มีส่วนเกี่ยวข้องกับสำนักแห่งความมืดที่สูญพันธุ์ไปแล้ว บางคนถึงกับเดาว่าผลึกเหล่านี้…หลอมขึ้นมาจากโลหิตเต๋าสวรรค์ของสำนักแห่งความมืด!

เซี่ยไห่หยางจ้องมองหวังเป่าเล่อด้วยสายตาพินิจพิเคราะห์ เขาไม่อ้อมค้อมแม้แต่น้อย แต่กลับเปิดเผยข้อมูลอย่างเต็มใจ ถ้อยคำที่เรียบง่ายเหล่านี้สะกิดใจหวังเป่าเล่ออย่างบอกไม่ถูก

ชายหนุ่มเองก็สงสัยเซี่ยไห่หยางเช่นกัน เขาสงสัยอยู่ตลอดว่าเหตุใดเซี่ยไห่หยางจึงปฏิบัติต่อเขาแตกต่างกับคนอื่นๆ หวังเป่าเล่อนึกย้อนไปถึงเมื่อตอนพบกันครั้งแรกสมัยอยู่สำนักศึกษาเต๋าสวรรค์ เซี่ยไห่หยางเป็นมิตรมากๆ ในตอนนั้น แต่ก็เป็นเพราะสัญชาติญาณความเป็นนักธุรกิจของเขาเอง ที่จะไม่ยอมเสียโอกาสทำการค้าไปเป็นอันขาด หลังจากนั้น หวังเป่าเล่อก็ไปอยู่บนดาวอังคารและได้ไปใช้ชีวิตอยู่ในสำนักวังเต๋าไพศาลบนกระบี่สำริดเขียวโบราณ เมื่อชายหนุ่มพบเซี่ยไห่หยางอีกครั้ง ก็พบว่าอีกฝ่ายนั้น…เปลี่ยนไปจากคนเดิมที่เคยเป็นเล็กน้อย

สิ่งที่เซี่ยไห่หยางพูดนั้น เหมือนเป็นการแสดงไพ่ในมือให้หวังเป่าเล่อได้เห็น ชายหนุ่มเข้าใจทันที เซี่ยไห่อย่างกำลังบอกเหตุผลที่เขาปฏิบัติกับหวังเป่าเล่อเป็นอย่างดีตลอดมา

ถึงกระนั้นหวังเป่าเล่อก็ยังเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ชายหนุ่มไม่ได้เสียเวลาไปกับการสงสัยว่าทำไมเซี่ยไห่หยางจึงรู้ว่าเขาเป็นบุตรแห่งความมืดมากนัก กลับกัน เขากลับแสร้งทำเป็นรู้ดีว่าเซี่ยไห่หยางล่วงรู้ความลับนี้มาโดยตลอด ซึ่งทำให้เซี่ยไห่หยางเกิดสงสัยขึ้นมาอีกคำรบ หลังจากที่ชั่งใจอยู่ชั่วครู่ เซี่ยไห่หยางก็สูดลมหายใจเข้าลึกก่อนจะยิ้มออกมาอย่างอ่อนใจ

“สหายเต๋า เรามาเลิกอ้อมค้อมกันเถิด ไม่สำคัญเลยว่าข้าจะเคยพบเจ้ามาก่อนหรือไม่ ข้าเป็นนักธุรกิจ เจ้าสบายใจได้ว่า เมื่อได้ทำธุรกิจกับข้าก็จะไม่ถูกเอารัดเอาเปรียบแน่นอน และข้าก็ไม่ทำร้ายคนอื่นด้วยเช่นกัน ทุกสิ่งที่ข้าทำเป็นธุรกิจเท่านั้น!

“ตัวอย่างเช่น การที่ข้าแนะนำภารกิจนี้ให้เจ้า ก็เพื่อให้เจ้ามีผลึกสีชาดมากพอจะใช้ซื้อวัตถุดิบตามรายการสินค้าของเจ้า ข้าก็จะไม่ปกปิดข้อมูลที่ว่าค่าแนะนำของข้าคือการได้รับร้อยละสิบของรางวัลที่เจ้าจะได้ แต่เจ้าก็ไม่ต้องควักเนื้อตนเองแต่อย่างใด ปรมาจารย์แห่งไฟจะเป็นคนชำระให้ข้าด้วยตัวเอง ข้าแนะนำผู้ฝึกตนเข้าร่วมภารกิจนี้ไปห้าคน ยังมีเวลาให้สมัครอีกสามวัน หลังจากนั้น พวกเขาก็จะเริ่มเคลื่อนย้ายบรรดาผู้เข้าร่วม

“ปรมาจารย์แห่งไฟคือผู้ฝึกตนทรงพลังที่ข้าเอ่ยถึงไปก่อนหน้านี้ ท่านผู้นั้นแข็งแกร่งยิ่งนัก ทรงพลังถึงขนาดมีระบบดาวเคราะห์เป็นของตนเอง ตระกูลไม่รู้สิ้นยังมองว่าเขาเป็นศัตรูตัวฉกาจด้วย แต่ราคาที่พวกเขาต้องจ่ายเพื่อจะกำจัดปรมาจารย์แห่งไฟนั้นแพงลิบ…ตระกูลไม่รู้สิ้นขณะนี้กำลังมีปัญหากันเองภายใน และไม่มีใครกล้าพอจะหันมารับศึกสองด้าน

“เรื่องนี้อาจจะมีอันตรายอยู่บ้าง แต่จากภารกิจที่ผ่านๆ มา พวกเรารู้ว่าปรมาจารย์แห่งไฟจะไม่ส่งพวกเจ้าไปตายแน่ ดาวเคราะห์ที่เขาเลือกสรรมาแล้วถูกปกครองโดยผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์เท่านั้น ศัตรูที่เจ้าต้องเผชิญหน้าด้วยย่อมอ่อนแอกว่านั้นแน่”

“อาจมีผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะปะปนอยู่บ้าง แต่เจ้าสามารถหลบหลีกพวกเขาได้หากระมัดระวังมากพอ” เซี่ยไห่หยางพูดพลางโบกมืออยู่ไปมา เขาไม่ได้ปิดบังข้อมูลใดๆ จากหวังเป่าเล่อแม้แต่น้อย นายน้อยแห่งร้านค้าหรูหราแห่งนี้เลิกพยายามทดสอบหวังเป่าเล่อหรือพยายามพิสูจน์ตัวตนที่แท้จริงของอีกฝ่ายอีกต่อไป หากบุรุษตรงหน้าคือหวังเป่าเล่อจริงแล้ว เซี่ยไห่หยางก็คงจะเล่าให้ฟังตามจริงอย่างนี้เช่นกัน มันเป็นวิธีเดียวที่จะพิสูจน์ความน่าเชื่อถือของอีกฝ่ายได้ อีกอย่างหนึ่ง เซี่ยไห่หยางก็เป็นผู้ที่เชื่อมั่นในการพูดความจริง ว่ามนุษย์ควรจะปฏิบัติตนเช่นนั้น

เขาจึงไม่เห็นว่ามีสิ่งใดจำเป็นที่จะต้องหลอกลวงบุรุษตรงหน้า แม้ว่าชายผู้นี้จะใช่หวังเป่าเล่อหรือไม่ก็ตามที หลังจากแบ่งปันข้อมูลเสร็จ เซี่ยไห่หยางก็หันหน้าไปหาหวังเป่าเล่อด้วยท่าทางพร้อมฟังคำตอบ

หวังเป่าเล่อจมดิ่งอยู่ในภวังค์ ชายหนุ่มไม่คิดจะตอบรับข้อเสนอนั้นทันที เขาถามรายละเอียดอีกเล็กน้อย ก่อนจะขอวิธีติดต่อเซี่ยไห่หยางไป หลังจากนั้น หวังเป่าเล่อก็เอ่ยคำลาแล้วจากมา โดยบอกเซี่ยไห่หยางว่าจะให้คำตอบในอีกสามวัน

เซี่ยไห่หยางมองหวังเป่าเล่อเดินจากไป ก่อนจะเดินกลับไปนั่งที่ พลางจ้องไปยังกระแสควันที่พวยพุ่งออกมาจากหม้อหลอมข้างกายด้วยสายตาครุ่นคิด ไม่ได้ตอบสนองต่อร่างที่จู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นมาเบื้องหลังของเขา

ผู้บุกรุกเป็นร่างเงาเลือนราง ใบหน้าไม่แจ่มชัด เขายืนเงียบนิ่ง หลังค้อมเล็กน้อยและมือประสานเป็นเชิงรอคำสั่ง

“ก็เอาเถอะ ทำไมข้าต้องใส่ใจด้วยว่าเคยพบเขามาก่อนหรือไม่ การมีมิตรสหายใหม่ๆ เป็นเรื่องดี เขาอาจกลายมาเป็นลูกค้าคนสำคัญที่ข้าต้องลงทุนด้วยชนิดหนักมือก็เป็นได้” เซี่ยไห่หยางกล่าว ก่อนจะหัวเราะแล้วหันไปหยิบคัมภีร์บนโต๊ะมาเปิดอ่าน

ร่างเลือนรางเอ่ยถามอย่างแผ่วเบา “นายน้อยขอรับ ให้เราลบอักขระที่แขกท่านนั้นทิ้งไว้บนกายของข้ารับใช้ออกหรือไม่ขอรับ”

“ไม่จำเป็นหรอก” เซี่ยไห่หยางพูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น สายตายังคงจับจ้องที่คัมภีร์

ขณะที่เซี่ยไห่หยางพูดเช่นนั้น ผงฝุ่นสีเทาชิ้นเล็กจ้อยที่ติดอยู่บนบ่าข้ารับใช้ที่เป็นคนต้อนรับหวังเป่าเล่อด้านล่างก็สั่นไหว

หวังเป่าเล่อตบบ่าข้ารับใช้คนนั้นก่อนจะเดินจากไปพร้อมรอยยิ้มกว้าง ชายหนุ่มเดินจากร้านไปไกลแล้ว แต่เมื่อฝุ่นนั้นสั่นไหว เขาก็หยุดกะทันหัน ก่อนจะเร่งฝีเท้าขึ้นอีก กระแสพลังงานที่แผ่ออกมาจากกระบวนท่าสารัตถะเริ่มรวน ส่วนหนึ่งสลายไปกองอยู่ตรงเท้าของหวังเป่าเล่อ ก่อนจะแปรสภาพเป็นแมลงที่ไต่ยั้วเยี้ยกระจายอยู่เต็มพื้นก่อนจะเข้าไปหลบเร้นกายอยู่ในดิน

ชายหนุ่มเดินเข้าออกหลายร้าน เมื่อเขาเดินออกมาจากร้านหนึ่ง รูปกายภายนอกก็เปลี่ยนไปครั้งหนึ่ง หวังเป่าเล่อทิ้งร่องรอยของกระบวนท่าสารัตถะเอาไว้ในร้านเหล่านั้น รูปแบบพลังงานของเขาเปลี่ยนแปลงไปเพราะชายหนุ่มทิ้งส่วนหนึ่งของพลังงานเอาไว้ในตัวทุกคนที่เดินผ่าน

หวังเป่าเล่อเดินเข้าโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งในตลาดเมื่อแน่ใจว่าไม่มีใครตามมา ก่อนจะจ่ายเงินก้อนใหญ่เป็นค่าห้อง จากนั้นจึงนั่งลงในห้องอย่างเงียบงันพร้อมสีหน้าครุ่นคิด ชายหนุ่มกำลังไล่เรียงทุกสิ่งที่เซี่ยไห่หยางบอกมา

ดูเหมือนว่าเขาจะสัมผัสถึงเศษเสี้ยววิญญาณสารัตถะที่ข้าทิ้งเอาไว้แล้ว…ไม่เป็นไร หากสิ่งที่เขาพูดเป็นความจริง ข้าก็ควรจะหาทางเข้าร่วมภารกิจด้วย…ก็แค่สังหารผู้ฝึกตนเท่านั้น อันที่จริงแล้ว การฆ่าฟันนี่ละคือสิ่งที่ข้าต้องทำเพื่อพัฒนาระดับปราณและบรรลุจากขั้นจิตวิญญาณอมตะสู่ระดับดาวพระเคราะห์! ประกายเยือกเย็นสะท้อนวาบอยู่บนดวงตาของหวังเป่าเล่อ หลังจากนิ่งเงียบครุ่นคิดอยู่ครู่ใหญ่ ชายหนุ่มก็กวาดตาไปรอบห้องก่อนจะตัวสั่นเทิ้ม แล้วสลายกลายเป็นอากาศธาตุไป เขาใช้กระบวนท่าสารัตถะแปลงเป็นแมลงตัวจิ๋ว ก่อนจะหาช่องหน้าต่างที่เปิดอยู่แล้วบินออกไป

กระบวนท่าสารัตถะของหวังเป่าเล่อยังคงทำงานอยู่ขณะที่โบยบินจากมา กายรูปแมลงของเขาแยกออกเป็นแมลงจำนวนนับไม่ถ้วนกระจายไปทั่วตลาด เศษเสี้ยววิญญาณที่ชายหนุ่มทิ้งไว้ระหว่างทางไปโรงเตี๊ยมก็แปรสภาพกลายเป็นรูปร่างหน้าตาที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นแมลง มด หรือกระทั่งเศษฝุ่น พวกมันกลายมาเป็นหูให้เขา ต่างก็ได้ยินทุกสิ่งและเก็บข้อมูลทุกอย่างเอาไว้

มีเพียงหวังเป่าเล่อ ผู้ที่ถือครองกระบวนท่าสารัตถะเท่านั้น จึงจะสามารถเก็บข้อมูลด้วยวิธีเช่นนี้ได้ และถือว่าได้ผลไม่น้อยทีเดียว ภายในสามวัน หลังจากการคัดกรองข้อมูลที่ไม่สำคัญออก ชายหนุ่มก็เก็บข้อมูลเรื่องปรมาจารย์แห่งไฟมาได้ไม่น้อย ข้อมูลที่เก็บมาได้ยืนยันว่าคำพูดของเซี่ยไห่หยางเป็นความจริง

หลังจากที่วิเคราะห์ข้อมูลแล้ว หวังเป่าเล่อก็ตามเก็บเศษเสี้ยววิญญาณสารัตถะที่ปล่อยออกไป พอเกือบสิ้นวันที่สาม ชายหนุ่มก็หยิบแผ่นหยกขึ้นมาก่อนจะส่งข้อความเสียงไปยังเซี่ยไห่หยาง

“สหายเต๋าไห่หยาง ข้าจะขอรับภารกิจ!”

เซี่ยไห่หยางที่เฝ้ารอข่าวจากหวังเป่าเล่ออยู่ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาเมื่อได้ยิน ชายหนุ่มเชื่อมั่นในสัญชาติญาณของตน แม้ว่าบุรุษผู้นั้นจะไม่ใช่หวังเป่าเล่อ สัญชาติญาณก็บอกเซี่ยไห่หยางว่า…เขาจะกลายมาเป็นลูกข้าคนสำคัญในไม่ช้า

เซี่ยไห่หยางรีบแสดงความตื่นเต้นยินดีอย่างที่สุดทันทีที่ได้รับข่าวจากหวังเป่าเล่อ ก่อนจะจัดแจงสมัครเข้าร่วมภารกิจให้ในทันที เขารีบไปจัดการให้ทันเส้นตาย เพื่อให้แน่ใจว่าหวังเป่าเล่อจะไม่พลาดโอกาสครั้งนี้

“เป่าเล่อ เจ้าโชคดีนัก ข้าส่งใบสมัครทันเวลาพอดิบพอดี ภารกิจของเจ้าจะเริ่มในอีกสองชั่วโมง!”

“ให้ข้าไปที่ใดกันเล่า” หวังเป่าเล่อถาม

“เจ้าไม่ต้องไปที่ไหนเลย เจ้าจะรู้ทุกสิ่งในเวลาสองชั่วโมงจากนี้ ข้าจะบอกอะไรเจ้าไว้อย่างหนึ่ง…แทบจะไม่มีสิ่งใด…ที่ปรมาจารย์แห่งไฟทำไม่ได้! เขาแทบจะสมบูรณ์แบบเลยละ จริงๆ นะ!” เซี่ยไห่หยางพูด ก่อนจะตัดสายไปด้วยคำพูดกำกวมสองประโยคนั้น

หวังเป่าเล่อเลิกคิ้ว สายตาครุ่นคิด แต่ชายหนุ่มไม่มีเวลาคิดนานนัก สองชั่วโมงถัดมา สัมผัสสวรรค์ของเขาก็สั่นไหวอย่างรุนแรง จากนั้นภายในชั่วพริบตา เส้นรยางค์สีฟ้าก็ปรากฏขึ้นจากอากาศก่อนจะมาก่อตัวตรงหน้าหวังเป่าเล่ออย่างเงียบงัน มันถักทอเข้าด้วยกันและแปรสภาพเป็น…หน้ากากสุกรหน้าตาน่าเกลียดน่าชังชิ้นหนึ่ง!

“ภารกิจจะเริ่มขึ้นเมื่อเจ้าสวมหน้ากาก” น้ำเสียงเยือกเย็น ไร้ความรู้สึกของชายชราดังออกมาจากหน้ากากเมื่อมันประกอบร่างเสร็จเรียบร้อย ถ้อยคำเหล่านั้นสะท้อนก้องไปมาอยู่ภายในสัมผัสสวรรค์ของหวังเป่าเล่อ…และกึกก้องอยู่ในใจร่างจริงของชายหนุ่มที่กำลังนอนหลับใหลอยู่ในโลงศพบนดาวเอกดวงเนตรสวรรค์!

……………………………