ตอนที่ 322 ตื่นขึ้นมาก็ได้เห็นฉากรักหวานเชื่อม

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

ภายในเรือนมีแต่หมอกสีแดงแน่นขนัด ซึ่งเกิดจากจิตวิญญาณคับแค้นรวมตัวกัน

 

 

พวกมันกำลังกรีดร้องอย่างเกรี้ยวกราด พอพึ่งจะบุกเข้ามาได้ก็พบว่าบนพื้นปรากฏแสงสว่างเรืองรองขึ้นมา

 

 

พอลำแสงนั้นสาดกระจายออกไป ก็สาดส่องลงไปบนกลุ่มหมอกสีแดงเหล่านั้น

 

 

ท่ามกลางลำแสงสว่างนั้น คือแผ่นยันต์สีเหลืองมากมาย

 

 

แผ่นยันต์สีเหลืองทองกลายเป็นลำแสงวงแหวน รายล้อมกลุ่มหมอกสีแดงเอาไว้ตรงกลาง

 

 

เพียงแค่ครู่เดียว เงาสีแดงนั้นก็ถูกยันต์สีเหลืองบีบเค้นจนสลายกลายเป็นขี้เถ้า เมื่อสายลมพัดโชยมาก็ร่วงหล่นลงไปกลายเป็นเถ้าธุลีสีแดง

 

 

ชือหลีรีบรุดเหาะลงมาจากต้นไม้อย่างรวดเร็วนางยืนอยู่ที่ข้างประตูห้องของตู๋กูซิงหลัน

 

 

“ความยุ่งยากมาเยือนแล้ว” นางเคาะประตูห้องเบาๆ “ฮ่องเต้แห่งต้าโจว ท่านเสร็จกิจแล้วหรือยัง?”

 

 

ตู๋กูซิงหลันอยากจะหาอะไรมาอุดปากของชือหลีเสียจริง คำบางคำใช้ออกไปมั่วๆ ไม่ได้นะ

 

 

งูตัวนี้คือฆ้องปากแตกจริงๆ

 

 

จีเฉวียนขยับตัวลุกขึ้นช้าๆ ชำเลืองมองผ่านด้านหลังของตู๋กูซิงหลันออกไปด้านนอก

 

 

ที่ด้านนอกนั้น แผ่นยันต์สีแหลืองเหล่านั้นบีบทำลายหมอกสีแดงจนกลายเป็นผุยผง

 

 

“ยังไม่เสร็จ” ครู่หนึ่ง จีเฉวียนถึงได้เอ่ยพระโอษฐ์ขึ้นมา พลางก้มพระพักตร์มองดูหญิงสาวในอ้อมพระพาหา “ยังต้องทำอีกหลายวัน”

 

 

ชือหลีตกตะลึงไปแล้ว ฮ่องเต้ผู้นั้นมิใช่คนหรืออย่างไร?

 

 

ถูกสูบหลายวันติดกัน? เขายังฝืนทนได้อีกหรือ?

 

 

ตู๋กูซิงหลัน “……”

 

 

“ฝ่าบาท ในสถานการณ์เช่นนี้ พวกเราจริงจังกันหน่อยได้หรือไม่เพคะ?” นางเงยหน้าขึ้นช้าๆ อย่างไรเสียก็กำลังจะต้องเผชิญหน้ากับหนึ่งในสิบยมราชเชียวนะ

 

 

“เราไม่จริงจังในที่ใด?” จีเฉวียนถามอย่างใส่พระทัย “เป็นเพราะว่าเราเข้าใจเรื่องการเอาจริงเอาจังผิดไปหรือไม่?”

 

 

หากให้เขาไม่ต้องจริงจังเลยเถิดได้ขึ้นมา เกรงว่าป่านี้นางคง…

 

 

พอคิดถึงตรงนี้จีเฉวียนก็อดไม่ได้ที่จะ ก้มพระพักตร์ลงพระสรวลออกคำหนึ่ง น้ำเสียงนั้นถึงกับทำให้ตู๋กูซิงหลันต้องขนลุกกราวไปทั้งตัว

 

 

เพียงแค่เลิกพระขนงแย้มพระสรวลบางๆ รอยยิ้มสังหารนั้นก็แย้มพรายออกมา

 

 

ทำเอานางถึงกับเกือบจะลืมเลือนอันตรายที่รออยู่ด้านนอกไปชั่วขณะ

 

 

ที่นอกเรือน ฉู่เจียงนั่งอยู่ภายในเกี้ยวสีแดงเลือด

 

 

เกี้ยวหลังนั้นลอยอยู่กลางท้องฟ้า ปรากฏตัวขึ้นมาท่ามกลางหมู่เมฆ เมื่อสายลมพัดโชย ปัดเป่าผ้าม่านออกไป ก็เปิดเผยให้เห็นดวงตาสีมรกตคู่นั้น

 

 

ชายเสื้อสีแดงโบกปลิวไปมาท่ามกลางสายลม เส้นผมสีเงินยวงลอยพลิ้วออกมานอกตัวเกี้ยว เกี่ยวกระหวัดเข้ากับผ้าคาดผมสีแดงเส้นนั้น

 

 

ดวงตาสีเขียวมรกตจับจ้องลงไปที่เรือนหลังนั้น พอเห็นว่าวิญญาณแค้นที่อยู่ใต้การควบคุมของตนเองถูกยันต์สีเหลืองบีบเค้นจนกลายเป็นเถ้าธุลี ดวงตาของเขาก็วาวโรจน์ขึ้นมา

 

 

ท่ามกลางความมืดมิดที่ไม่มีแสงสว่างใดๆ เขาได้แต่อาศัยสัมผัสของลมหายใจเพื่อตามหาคน

 

 

ในร่างของเหลียงเซิงเซิงมีไอหยินของเขาอยู่ เพียงครู่เดียวเขาก็รู้สึกได้ถึงไอหยินกลุ่มนั้น จนสามารถคาดเดาตำแหน่งของตู๋กูซิงหลันได้

 

 

เดิมทีตู๋กูซิงหลันเองก็อยู่ในห้องติดกันกับเหลียงเซิงเซิง คนทั้งสองอยู่ใกล้กันมาก ประกอบกับการรบกวนจากยันต์สีเหลือง ทำให้ฉู่เจียงไม่อาจระบุถึงตำแหน่งที่แม่นยำ

 

 

เขาหรี่ตาลง ชายแขนเสื้อกวาดโบกเบาๆ ก็มองผ่านหน้าต่างเข้าไปเห็นหนึ่งชายหนึ่งหญิงอยู่ด้วยกันบนเตียง

 

 

เส้นผมสยายลงมา เสื้อผ้าไม่เรียบร้อย

 

 

สีหน้าของฉู่เจียงเปลี่ยนไปในทันที บนร่างของเขาปรากฏไอสังหารกำจายออกมา

 

 

หมอกสีแดงบนร่างยิ่งทียิ่งเข้มข้น เขาทะยานลงมาจากเกี้ยวในก้าวเดียว

 

 

เงาร่างที่ทะยานลงมาทอทาบลงไปบนผ้าม่านเรือนชั้นนอก หมอกสีแดงฉีกทำลายอาคมป้องกันทิ้งไปทันที สองมือของเขาไพล่ไปด้านหลัง เพียงพริบตาเดียวก็เหาะลงมาจากท้องฟ้าเข้าไปในห้องเล็กๆ ของตู๋กูซิงหลัน

 

 

ชือหลีที่เป็นถึงเทพธิดาสายน้ำ กลับเผ่นไปแอบเสียแล้ว

 

 

ที่จริงนางก็อยากจะดูให้รู้เหมือนกันว่าโอรสสวรรค์ต้าโจวนั้นคือใครกันแน่

 

 

ตอนที่อยู่ลี่โจวเขาใช้ดาบเดียวสังหารน้องสาวของนาง ตอนอยู่ในสระสวรรค์ของแคว้นเซอปี่ซือก็บุกเข้าไปในโลงทองแดงทั้งที่บาดเจ็บด้วยตัวคนเดียว แม้เผชิญหน้ากับยมราชสีหน้าก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง

 

 

ที่ย่ำแย่ไปกว่านั้นก็คือ นางเป็นถึงเทพธิดาแห่งสายน้ำแท้ๆ แต่กลับมองฐานะของเขาไม่ออก

 

 

ถึงตอนนี้ใครจะบอกว่านาง ‘ดูอยู่ข้างๆ โดยไม่ช่วยเหลือ’ ก็ช่างเถอะ อย่างน้อยๆ ก็จะได้เห็นว่าโอรสสวรรค์แคว้นโจวผู้นี้ยังมีความสามารถใดอีกบ้าง

 

 

เพราะตอนนี้เขาคงต้องเผชิญกับตัวร้ายเสียแล้ว

 

 

เมียเมียมองดูชือหลีที่วิ่งหนีไปแอบด้วยความไม่เข้าใจ แต่ไม่รู้ว่าในสมองของมันเกิดคิดอะไรขึ้นมา ถึงกับติดตามนางไปด้วย

 

 

…………………………………………

 

 

 

 

สายตาของฉู่เจียงจับจ้องไปที่หนึ่งชายหนึ่งหญิง เขายิ้มเย็นชาออกมา “เหยื่อของข้า เจ้ากล้าแตะต้อง?”

 

 

“หืม? นางในดวงใจของเรากลายเป็นเหยื่อของเจ้าตั้งแต่เมื่อใด?” จีเฉวียนประทับนั่งอยู่ข้างเตียงอย่างทรนงองอาจ พระเกศาสยายลงมาถูกลมโชยจนปลิวไสว

 

 

เส้นพระเกศาปลิวอยู่บนใบหน้าของตู๋กูซิงหลัน ทำเอานางรู้สึกคันยุบยิบไปหมด

 

 

ในตอนนั้นเอง วิญญาณทมิฬที่ ‘ตาย’ ไปนานก็ถูกปลุกขึ้นมา

 

 

ก่อนหน้านี้มันถูกแรงบีบอัดภายในช่องว่างแห่งมิติเวลาทำร้ายจนรับบาดเจ็บหนัก จนสลบไสลไม่ได้สติมาโดยตลอด ตอนนี้จึงสะลึมสะลืออยู่ในอ้อมแขนของตู๋กูซิงหลัน

 

 

หากมิใช่เพราะว่ามีไอหยินเข้มข้นที่อัดแน่นอยู่ภายในห้องจนแทบทะลุขึ้นฟ้า เกรงว่ามันก็คงยังจะสลบไสลต่อไป

 

 

ตอนนี้พอลืมตาขึ้นมาก็ได้ยินคำว่านางในดวงใจอะไรนั่น ทำเอาวิญญาณทมิฬเองก็ตกตะลึงจนแข็งค้างไปแล้ว

 

 

พอมันมองเห็นเงาหลังของฮ่องเต้สุนัข ก็เกือบจะสลบลงไปอีกครั้ง

 

 

สถานการณ์ตรงหน้าเกิดอะไรขึ้นกัน

 

 

ฮ่องเต้นั่นทำไมถึงได้ไล่ตามมาได้เร็วถึงเพียงนี้?

 

 

ตื่นขึ้นมาก็ต้องมาเจอฉากรักหวานเชื่อม ดีที่ไหนกัน?

 

 

ขนาดซื่อมั่วก็ยังไม่เคยทำอะไรถึงขั้นนี้มาก่อนเลย!

 

 

พอมันหันมามองดูตู๋กูซิงหลัน ก็เห็นว่าเสื้อผ้าของนางหลุดรุ่ย!

 

 

เพราะฉะนั้นตอนที่มันหลับไหลไป เกิดอะไรขึ้นกันแน่?

 

 

แต่ไม่ว่าอะไรจะเกิดก็เกิดขึ้นไปแล้ว ตอนนี้วิญญาณทมิฬได้แต่เขียนคำอาลัยถึงซื่อมั่วด้วยความเจ็บปวดใจ

 

 

ผักกาดขาวน้อยๆ ที่ตนเองบำรุงเลี้ยงดูขึ้นมาโดยตลอด อยู่ๆ ก็มาถูกหมูงาบไปกินเสียแล้ว?

 

 

ที่ด้านนอกเรือน ฉู่เจียงเองก็ถูกคำว่านางในดวงใจกระแทกจนหัวเราะเย็นออกมา

 

 

ดวงตาทั้งคู่ของเขาจับจ้องเข้าไปในห้อง ในมือปรากฏแส้สีแดงเส้นหนึ่ง ทันทีที่แส้สีแดงตวัดออกไปก็รวดเร็วประหนึ่งเป็นสายฟ้าสีแดงฟาดออกมา

 

 

เพียงครั้งเดียวบานประตูก็ทลายลงจนกระเด็นออกไป

 

 

สิ้นเสียงโครมครามนั้น ก็ได้ยินเสียงของฉู่เจียงเอ่ยออกมาว่า “ข้าอยู่มาตั้งนานหลายปี ยังไม่เคยพบเห็นผู้ที่ยโสโอหังเช่นนี้มาก่อน เจ้ารู้หรือไม่ว่ากำลังแย่งชิงสตรีกับผู้ใด?”

 

 

“เราก็อยู่มานานจนป่านนี้แล้ว ก็ไม่เคยเห็นคนบ้าเช่นกัน” จีเฉวียนสงบนิ่งดุจขุนเขา เพียงแต่ใช้พระองค์เองกำบังตู๋กูซิงหลันเอาไว้อย่างเต็มที่เท่านั้น

 

 

เพราะแบบนี้ถึงได้ไม่อาจวางใจให้นางไปอยู่ภายนอกได้แม้แต่นาทีเดียว

 

 

ดูสิ แค่ช่วงเวลาหนึ่งเดือนสั้นๆ ก็ไม่รู้ว่ามีตัวอะไรมาตามติดพันซิงซิงของเขาอีกแล้ว

 

 

เจ้านี่มาได้จังหวะเวลาพอดี หากว่าคืนนี้เกิดลุกเป็นไฟจะได้เป็นการเชือดไก่ให้ลิงดูไปเสียเลย

 

 

นับจากวันนี้ไป หากว่ามีหน้าไหนยังกล้ามาติดพันนางอีกละก็ ต้องประหารทิ้งไปเสียให้หมด

 

 

ฮ่องเต้ทรงซุกซ่อนความคิดทั้งหมดเอาไว้ในพระทัย กับซิงซิงเพียงแสดงแต่ด้านที่อ่อนโยนเท่านั้น ด้านที่โหดเ**้ยมของพระองค์ย่อมต้องใช้จัดการกับพวกดอกท้อที่มายุ่มย่ามทั้งหลาย

 

 

อืม เช่นนี้แหละดีแล้ว

 

 

“เรา?” ถึงตอนนี้ฉู่เจียงถึงค่อยคิดถึงคำที่ได้ยินอย่างละเอียด เรียกตนเองว่าเรา ในใต้หล้านี้จะมีสักกี่คน?

 

 

เขาหรี่ตาลง แส้สีแดงในมือกำแน่นขึ้น “ที่แท้ เจ้าคงจะเป็นฮ่องเต้สุนัขที่บังคับให้นางแต่งงานด้วยสินะ?”

 

 

แน่แล้ว…..ต้าจี้ซือไม่ได้โกหกเขา ฮ่องเต้ผู้นี้เสด็จมาด้วยตนเองจริงๆ พอมาถึงก็คิดช่วงชิงนาง

 

 

แค่ออกราชโองการแต่งตั้งยังไม่พอ ตอนนี้กลับมาเพื่อจัดการกับนางถึงขั้นนี้

 

 

ทีเขาอุตส่าห์รอมานานหลายปียังไม่ทันได้ลงมือเลย!

 

 

ฮ่องเต้สุนัข…….สมควรตาย

 

 

ในสมองของวิญญาณทมิฬมีแต่คำถาม

 

 

“หลันหลัน นี่เจ้าไปหว่านเสน่ห์ไปทั่วอีกแล้วหรือ? แม่เจ้าโว้ย รอบนี้ถึงกับเป็นยมราชเลยหรือ? เจ้าจะตกใครขึ้นมาทั้งทีก็เอาตัวใหญ่ขนาดนี้เลยรึ?” วิญญาณทมิฬตื่นตะลึงจนถามออกมาติดๆ กันถึงสามคำถาม ในใจของมันคิดถึงซื่อมั่วด้วยความเจ็บปวด

 

 

มีลูกศิษย์ที่ทั้งงดงามเกินไปทั้งยังดึงดูดผู้คน แค่กวักมือออกไปก็ตกได้ตัวสำคัญขึ้นมา แบบนี้ยังจะยังไงไหว

 

 

ในสมองของตู๋กูซิงหลันที่อยู่ด้าน

 

 

 

 

——

 

 

ไรท์: ไฮ้ย่ะ สงสัยต้องเปิดโต๊ะให้เสียแล้ว งานใหญ่จะมา มุมดำมุมแดง ลงลำไหนว่ามาเลย

 

 

ตอนต่อไป “เทพเซียนตีกัน”