ตอนที่ 319 ประลองฝีมือ (4)

หมอดูยอดอัจฉริยะ

ตอนที่ 319 ประลองฝีมือ (4) โดย Ink Stone_Fantasy

แม้จะกำลังตกตะลึงต่อพลังอันมหาศาลผิดมนุษย์ของคนที่ชื่อ ‘อาฮวา’ แต่เยี่ยเทียนก็ยังอดรู้สึกขบขัน กับเจ้าเหมาโถวไม่ได้ เพราะในกรงเล็บน้อยๆ ของมันนั้น ถึงกับถือเนื้องูจงอางอยู่ชิ้นหนึ่ง

“แกเป็นคนเลี้ยงมันรึ?”

เมื่อเห็นเหมาโถวกระโจนเข้าสู่อ้อมแขนของเยี่ยเทียน ร่างอันอ้วนท้วนของชาญ ทองทวนก็สั่นระริกขึ้นมา ด้วยความเดือดดาล ก็ไอ้เจ้าตัวจิ๋วนี่มันกินหนอนพิษที่เขาอุตส่าห์เลี้ยงไว้มาหลายปีไปจนหมดเกลี้ยงเลยน่ะสิ!

“ฉันเลี้ยงไว้เองแหละ ทำไมรึ?”

เยี่ยเทียนยิ้มพลางวางเหมาโถวไว้บนบ่า เจ้าตัวน้อยนี่ก็ยังไปยักคิ้วหลิ่วตาใส่งูจงอางตัวนั้น พลางโบกอุ้งเท้าน้อยๆ ของมันไปมา ท่าทางน้ำลายสออยากจะกินเจ้างูตัวนั้นสุดขีด

“ฉัน…ฉันจะทำให้แกต้องร้องโหยหวนไปเจ็ดวันเจ็ดคืนถึงจะตายได้!”

ชาญ ทองทวนนึกไม่ถึงเลยว่า เจ้าสัตว์ตัวนี้จะเป็นสัตว์เลี้ยงของเยี่ยเทียน อย่างนั้นเรื่องที่มันกินหนอนพิษของเขาไป ก็ต้องเป็นเพราะเยี่ยเทียนบอกให้ทำแน่แล้ว

เพลิงโทสะแผดเผาจนชาญ ทองทวนจนขาดสติ ทันใดนั้นเขาก็ท่องคาถาบางอย่างที่ยากจะจับใจความได้ออกมา แล้วสะบัดชายแขนเสื้อข้างขวา หมอกควันสีดำกลุ่มหนึ่งปกคลุมอยู่เบื้องหน้าร่างของเขา

“ไป!”

เมื่อชาญ ทองทวนชี้เป้าไปที่เยี่ยเทียน หมอกควันกลุ่มนั้นก็พุ่งตรงมาทางเยี่ยเทียนทันทีราวกับมีจิตวิญญาณ แล้วเยี่ยเทียนซึ่งอยู่ห่างจากชาญทองทวนไปเจ็ดแปดเมตรนั้น ก็สูดหายใจได้กลิ่นเหม็นขึ้นมาทันที

“ศิษย์น้องเยี่ย ระวังนะ นั่นมันมนตร์เหาะเหินในวิชาคุณไสย!”

เมื่อเห็นหมอกดำกลุ่มนี้ปรากฏขึ้น จั่วเจียจวิ้นก็เปลี่ยนสีหน้าไปทันที สมัยก่อนอาจารย์ของชาญ ทองทวน นายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ก็เคยอาศัยจังหวะยามตกกลางคืนปล่อยมนตร์เหาะเหินออกมาลอบทำร้ายเขาเช่นกัน

หลังจากถูกเล่นงานครั้งใหญ่ไปตอนนั้น จั่วเจียจวิ้นก็กลับไปฮ่องกง และพยายามค้นหารวบรวมข้อมูล เกี่ยวกับวิชาคุณไสยมาได้บ้าง แต่ผลกลับยิ่งทำให้เขาหวาดหวั่นต่อวิชาคุณไสยประเภทมนตร์เหาะเหินยิ่งขึ้นไปอีก

วิธีการของหมอคุณไสยนั้น ส่วนมากมักจะใช้หนอนคุณไสยที่ตนเลี้ยงไว้และยาคุณไสย ที่ดองไว้ในการควบคุมหรือทำร้ายสังหารศัตรู

แต่หนอนพิษหรือยาคุณไสยนั้นจะต้องให้ ‘ตัวคุณไสย’ สัมผัสถูกเหยื่อทางกายภาพโดยตรง ซึ่งก็หมายความว่า ผู้ตกเป็นเหยื่อจะต้องเผลอกินหนอนพิษเข้าไป หรือไม่ก็ถูกหนอนพิษกัดถึงจะได้ผล

แต่มนตร์เหาะเหินนั้นไม่เหมือนกัน เพราะมนตร์เหาะเหินสามารถที่จะจู่โจมเหยื่อจากระยะไกลได้โดยตรง

ควันดำที่ออกมาจากแขนเสื้อของชาญทองทวนนั้น ที่จริงก็ทำขึ้นจากน้ำมันพรายผสมกับหนอนและสิ่งมีพิษต่างๆ นั่นเอง มันคือปราณชั่วร้ายและปราณมรณะชนิดหนึ่งที่เกิดจากสิ่งมีพิษสารพัดอย่างและน้ำมันพรายผสมกัน ปราณชั่วร้ายชนิดนี้จะเรียกว่าเป็น ‘คำสาป’ ที่น่ากลัวที่สุดและชั่วร้ายที่สุดในโลกเลยก็ว่าได้

มนตร์เหาะเหินนั้นสามารถควบคุมหนอนพิษให้เหาะไปจู่โจมผู้ถูกคุณไสยโดยใช้การส่งจิตเพ่งสมาธิและยันต์คาถาได้ แต่มีขีดจำกัดด้านระยะทางอยู่ในระดับหนึ่ง และไม่สามารถใช้วิชานี้ในสถานที่ที่แสงอาทิตย์ส่องถึงได้ จึงมักจะใช้ในยามโพล้เพล้หรือยามกลางคืน

แน่นอนว่า ในวิชาคุณไสยยังมีการเลี้ยงวิญญาณซึ่งน่ากลัวยิ่งกว่าอีก แต่วิชาคุณไสยประเภทนี้จะต้องเลี้ยงผีไว้ แล้วนำพลังพยาบาทและปราณพิฆาตมารวมกัน เพื่อใช้กระตุ้นมนตร์คาถาในวิชาคุณไสย ทำให้ผีตนนั้นดุร้าย ขึ้นมาอย่างไร้เทียมทาน

เพียงแต่การเลี้ยงวิญญาณนั้นนั้นแม้จะใช้กับคนธรรมดาได้ผลดีมาก แต่หากนำมาใช้กับเยี่ยเทียนและจั่วเจียจวิ้น ก็กลับจะไม่ได้ผลอะไรเลย เพราะเป็นคนในวงการศาสตร์ลี้ลับเหมือนๆ กัน ปราณพิฆาตจึงไม่มีประสิทธิภาพ ในการบั่นทอนต่อพวกเขามากนัก

“มนตร์เหาะเหิน? เฮอะ ศิษย์พี่ ดูวิชาอาคมของผมซะก่อน!”

เยี่ยเทียนหวั่นเกรงก็แต่เจ้า ‘คน’ ที่ชื่ออาฮวานั่นเท่านั้น ถ้าชาญ ทองทวนใช้วิชาคุณไสยมาจัดการกับเขาเสียงเอง กลับจะกลายเป็นถูกใจเยี่ยเทียนเสียอีก สาเหตุที่เขาไม่ด่วนใช้ค่ายกลเก้าตำหนักพิฆาตนั้น ก็เพราะว่าเยี่ยเทียนอยากจะขอชม ยอดศาสตร์มืดจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นี้ดูสักครั้ง!

เมื่อเห็นว่าหมอกดำใกล้จะพัดมาถึงตัวแล้ว สองมือของเยี่ยเทียนก็จับนิ้วร่ายอาคมอย่างต่อเนื่อง มือขวาเป็นหยาง มือซ้ายเป็นหยิน วาดออกไปกลางอากาศอย่างว่องไว

“หกเพลิงสี่ลักษณ์ เหล่าพลังหยางแห่งสวรรค์ จงแผดเผา!”

ทันใดนั้นเยี่ยเทียนก็เปล่งเสียงตวาดออกไป แล้วกระแสปราณหยินและหยางก็ถักสานกันขึ้นมาเบื้องหน้า จนถึงขั้นเกิดเปลวเพลิงขึ้นมากลางอากาศ และปกคลุมหมอกดำกลุ่มนั้นไว้ภายใน

อาคมที่เยี่ยเทียนใช้อยู่นี้ ถ้าไปปรากฏแก่สายตาของผู้คนในสมัยโบราณ ก็คงจะถูกเรียกว่าเป็นปาฏิหาริย์แน่นอน ในคัมภีร์เต๋ากล่าวไว้ว่า พลังปราณแห่งไฟหยาง สิ่งอันเป็นหยางบริสุทธิ์ และเพลิงสมาธิวิเศษซึ่งประกอบรวมด้วยแก่นสาร พลังปราณ และดวงจิตนั้น หากจุดขึ้นมาแล้ว จักสามารถแผดเผาได้ทุกสรรพสิ่ง

เยี่ยเทียนเชื่อมโยงปราณหยางเข้าด้วยกัน แล้วใช้ปราณหยินจุดชนวนขึ้นมา อีกทั้งออกซิเจนในอากาศ ยังเป็นเชื้อเพลิงอย่างดี เปลวเพลิงที่เกิดขึ้นจากความว่างเปล่านี้จึงลุกโชนอย่างรุนแรง ชาญ ทองทวนยังไม่ทันได้ สั่งให้หมอกดำกลุ่มนั้นถอยกลับไป มันก็ถูกเปลวเพลิงปกคลุมไว้หมดแล้ว

ที่เยี่ยเทียนปล่อยออกมานี้แม้จะไม่ใช่เพลิงสมาธิของไท่ซั่งเหล่าจวิน แต่เปลวเพลิงที่ใช้วิชาอาคมก่อขึ้นมาชนิดนี้ ก็มีอุณหภูมิที่สูงอย่างยิ่ง

อีกทั้งไฟธาตุหยางเดิมทีก็เป็นดาวข่มของสรรพสิ่งที่เป็นธาตุหยินร้ายอยู่แล้ว จริงอยู่ที่มนตร์เหาะเหินของชาญ ทองทวนนั้นเป็นการรวมตัวกันของปราณชั่วร้ายและปราณมรณะอันน่ากลัวอย่างยิ่ง แต่ก็ยังคงถูกเปลวเพลิง กลุ่มนี้เผาไหม้จนเกิดเสียงดังฉู่ฉี่ และขนาดก็หดเล็กลงเรื่อยๆ

เมื่อเห็นเยี่ยเทียนใช้วิชานี้ ชาญ ทองทวนที่ตอนแรกมีท่าทางกระหยิ่มใจอยู่นั้น ก็กระโดดพรวดขึ้นมาทันที แล้วชี้นิ้วตะโกนใส่เยี่ยเทียนว่า “วิชาอาคม วิชาอาคมของแดนจีน แก…แกเป็นคนในวงการศาสตร์ลี้ลับของยุทธภพงั้นเรอะ?”

“แกก็รู้จักศาสตร์ลี้ลับของยุทธภพเหมือนกันรึ?” เยี่ยเทียนยิ้มยิงฟัน “แล้วบรรพบุรุษแกเคยบอกแกรึเปล่าล่ะ ว่าห้ามมากร่างในถิ่นประเทศจีนนี่?”

เยี่ยเทียนเคยได้ยินอาจารย์เล่าว่า ในช่วงสมัยเปลี่ยนผ่านราชวงศ์อันยาวนานนั้น วงการศาสตร์ลี้ลับในประเทศ เคยได้ต่อสู้กับสำนักวิชาอาคมจากประเทศอื่นๆ อยู่บ่อยครั้ง และก็มีหลายครั้งที่แทบจะกวาดล้างศิษย์ในสำนักนั้นๆ ไปจนหมดสำนักเลยทีเดียว

ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกวิชาคุณไสยทางเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือพวกที่มีเวทมนตร์ดำทางทวีปยุโรป ก็มีน้อยนักที่จะกล้ามาเหิมเกริมถึงในแผ่นดินจีน

ในช่วงสงครามอันโหดร้ายสมัยทศวรรษที่ 40 นั้น การต่อสู้โรมรันในวงการศาสตร์ลี้ลับก็ได้ดำเนินไปอย่างลับๆ เช่นกัน แม้ว่าพวกผู้รู้ศาสตร์ลี้ลับจากประเทศหมู่เกาะแห่งนั้นจะพ่ายแพ้ไปอย่างยับเยิน แต่วงการศาสตร์ลี้ลับ ในแดนจีนเอง ก็เสียพลังไปเช่นกัน

จนกระทั่งเมื่อถึงช่วงสถาปนาประเทศ รัฐได้จัดรวมปรากฏการณ์ทุกอย่างที่ไม่อาจอธิบายได้ ด้วยวิทยาศาสตร์ให้เป็นเรื่องศักดินางมงายทั้งหมด และดำเนินการกวาดล้าง คนในวงการนี้จึงยิ่งเหลือที่ยืนน้อยลงไปอีก ส่งผลให้วิทยาการต่างๆ สูญหายไปมากมาย และไม่อาจฟื้นฟูกลับมาได้อีกเลย

แต่เมื่อเกิดการประดิษฐ์อาวุธปืนขึ้นมา วงการวิชาอาคมในต่างประเทศก็ต้องประสบกับ ความเสี่ยงที่วิชาจะสูญสิ้นไปเช่นกัน ดังนั้นในหลายสิบปีที่ผ่านมานี้จึงไม่มีหมอคุณไสยบุกเข้ามาในเขตประเทศจีน วงการศาสตร์ลี้ลับที่นี่จึงอยู่อย่างสงบสุขมาได้เป็นระยะเวลาหนึ่งแล้ว

การกระทำของชาญ ทองทวนในตอนนี้ ถ้าไปอยู่ในสมัยก่อนสถาปนาประเทศละก็ จะต้องเป็นการจุดชนวน ความขัดแย้งขึ้นมาอย่างแน่นอน วงการวิชาอาคมของทั้งสองประเทศอาจจะสู้รบกันไม่เลิกราเลยก็เป็นได้

“วิชาอาคมของพวกแกน่ะ มันก็สวะทั้งนั้นแหละ!แก…ฉัน ฉันจะฆ่าแก!”

ชาญ ทองทวนเพิ่งจะด่าออกไปได้ประโยคเดียว ก็ได้สติกลับมาแล้ว เพราะเขาตระหนักว่า มนตร์เหาะเหินของตัวเองถึงกับถูกเปลวเพลิงนั้นแผดเผาไปจนหมดสิ้นภายในเวลาเพียงสิบกว่าวินาทีเท่านั้นเอง

“อาฮวา ฆ่ามันซะ ฆ่ามันทั้งสองคนเลย!”

เมื่อรู้แล้วว่าเยี่ยเทียนเป็นคนในวงการศาสตร์ลี้ลับ ชาญทองทวนก็นึกแค้นซ่งเสี่ยวหลงเป็นที่สุด ถึงปากจะทำเป็นคุยโว ที่จริงในใจกลับรู้สึกหวาดหวั่นต่อวิชาอาคมของเยี่ยเทียนเป็นที่สุด

สมัยที่ชาญ ทองทวนยังเป็นเด็ก มีอยู่ครั้งหนึ่งอาจารย์ผู้ที่เขาเคารพเทิดทูนดั่งพระเจ้า ต้องหนีกลับประเทศไทยด้วยร่างกายที่บาดเจ็บอย่างหนัก ต้องใช้เวลาเยียวยาไปเกือบสามปี ร่างกายถึงจะฟื้นฟูกลับมาได้

ชาญ ทองทวนได้รู้จากปากอาจารย์ในตอนนั้นเองว่า ท่านได้รับบาดเจ็บจากค่ายกลในศาสตร์ลับของประเทศจีน และเตือนชาญ ทองทวนไว้ว่า อย่าได้เข้าสู่ประเทศจีน หลายสิบปีที่ผ่านมานี้ ชาญ ทองทวนก็ไม่กล้าขัดคำตักเตือน ของอาจารย์ข้อนี้เลยสักครั้ง

แต่แม้จะรู้สถานะของเยี่ยเทียนแล้ว และมนตร์เหาะเหินก็ถูกทำลายไป แต่ชาญ ทองทวนก็ไม่ได้รู้สึกหวาดกลัว เท่าไรนัก เพราะเขายังมีไพ่ใบสุดท้ายอยู่ นั่นก็คือ ‘อาฮวา’!

ชายวัยกลางคนที่ติดตามชาญทองทวนมาตลอดจากประเทศไทยเหมือนเป็นเงาตามตัวนั้น ถ้าจะว่ากันจริงๆ ก็ไม่ถือว่าเป็นคนแล้ว

ในวิชาคุณไสย คนประเภทนี้เรียกว่า ‘ผีลูกผสม’ เป็นวิชาอาคมขั้นสูงสุดในวิชาคุณไสย ถึงในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะมีหมอคุณไสยอยู่มากมายเหลือคณานับ แต่ผู้ที่เคยได้ยินชื่อ ‘ผีลูกผสม’ นี้มาก่อน จะต้องมีอยู่ไม่เกินสามคนแน่นอน

วิธีสร้าง ‘ผีลูกผสม’ ในวิชาคุณไสยนั้น มีเงื่อนไขที่ทำได้ยากอย่างยิ่ง จะต้องเสาะหาคนที่มี คุณสมบัติทางกายผ่านเกณฑ์ แล้วจัดการสังหารในฉับพลันขณะที่ไม่มีการป้องกันตัว โดยไม่อาจใช้อาวุธปืนในสมัยปัจจุบันได้ และยังต้องทำลายเฉพาะที่ระบบประสาทส่วนกลางในสมองของคนผู้นั้นอีกด้วย

หลังจากสังหารคนผู้นั้นแล้ว หมอคุณไสยก็จะใช้คาถาอาคมปลุกเสกเป็นเวลาเจ็ดสิบเก้าวัน จากนั้นก็จะสร้างตัวประหลาดที่ไม่ใช่ทั้งคนและผีนี้ออกมาได้แล้ว เพราะมันไม่ใช่ทั้งคนและก็ไม่ใช่ซอมบี้ จึงถูกเรียกว่า ‘ผีลูกผสม’!

แม้ว่าวิธีการสร้างผีลูกผสมจะขาดการสืบทอดในประเทศไทยมานานแล้ว ในช่วงหนึ่งร้อยปีที่ผ่านมานี้ ก็ไม่เคยได้ยินว่ามีใครสร้างออกมาได้สำเร็จ

เมื่อสิบปีก่อนด้วยเหตุบังเอิญครั้งหนึ่ง นายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์จึงไปได้วิธีทำศาสตร์มืดนี้มา หลังจากผ่านการเตรียมการอย่างยากเข็ญไปห้าปี คนที่เสียชีวิตด้วยน้ำมือเขามีไม่ต่ำกว่าร้อยคน ในที่สุดนายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ก็สร้าง ‘ผีลูกผสม’ ออกมาได้

แต่ถ้าจะว่ากันโดยเคร่งครัด ‘ผีลูกผสม’ ที่นายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์สร้างขึ้นมานี้ก็ยังถือว่าเป็นผลงานที่ล้มเหลวอยู่ เพราะผีลูกผสมที่แท้จริงนั้นไม่เพียงแต่มีพลังมหาศาลเท่านั้น แต่สติปัญญายังต้องเหมือนกับคนทั่วไปอีกด้วย ไม่ใช่เบลอๆ เอ๋อๆ แบบนี้

ผีลูกผสมตนนี้แม้จะมีร่างกายแข็งแกร่งและมีพลังมหาศาล แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่นายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ต้องการ ดังนั้นหลังจากที่เขาถ่ายทอดวิธีควบคุมผีลูกผสมให้แก่ลูกศิษย์แล้ว ตนเองก็ไปเตรียมการที่จะสร้างผีลูกผสมที่แท้จริงขึ้นมาใหม่

แน่นอนว่า ในความคิดของชาญ ทองทวนนั้น ร่างกายที่คงกระพันต่อทั้งมีดและปืน และเปี่ยมด้วยปราณพิฆาตนี้ ไม่จำเป็นต้องกลัววิชาอาคมของเยี่ยเทียนเลย อาศัยแค่ร่างกายอันแข็งแกร่งก็สามารถสังหารทั้งสองคนได้แล้ว

“โฮก..แฮ่!”

เมื่อได้ยินคำสั่งของชาญ ทองทวน อาฮวาผู้ไม่ใช่คนไม่ใช่ผีก็เปล่งเสียงที่ฟังไม่ได้ศัพท์ออกมา แล้วโถมเข้าไปหาเยี่ยเทียนและจั่วเจียจวิ้น

ขณะนั้นเยี่ยเทียนและจั่วเจียจวิ้นกำลังหลบอยู่หลังโซฟาในห้องรับแขก เจ้าอาฮวานี่มันไม่รู้จักเดินอ้อม โซฟาหนังแท้ที่ขวางอยู่ข้างหน้ามันตัวนั้น จึงถูกยกขึ้นมาแล้วใช้สองมือฉีกทึ้งไปเสียเลย

“เวรเอ๊ย นี่มันตัวประหลาดอะไรกันแน่วะ?”

เมื่อเห็นการกระทำของอาฮวา เยี่ยเทียนก็ใจหายวาบ รีบถอยหลังไปก้าวหนึ่ง แล้วอาศัยจังหวะ ที่ยังมีโซฟาขวางทางอยู่นั้น ขยับมือร่ายอาคม ปากก็ตะโกนว่า “เก้าราศีโคจร ก่อเกิดเวียนวน งามเลิศเจิดจรัส จิตเดิมแยกสลาย เก้าตำหนักแปดทิศ แหฟ้าตาข่ายดิน จงกางออก!”

พอเยี่ยเทียนตวาดออกไป ง้าวที่เดิมทีตั้งตรงอยู่กลางห้องรับแขกนั้นก็ส่งเสียงดังแหลมขึ้นมา แล้วกระแสพลังหยินพิฆาตอันโหมกระหน่ำก็พุ่งขึ้นสู่ฟ้า ค่ายกลเก้าตำหนักพิฆาตเริ่มทำงานแล้ว และปกคลุมบ้านทั้งหลังไว้ราวกับตาข่ายยักษ์

ในห้องรับแขกที่ตอนแรกมีดวงไฟสว่างไสวอยู่หลายดวงนั้น เพียงชั่วพริบตาก็เกิดสายลมเย็นเยียบพัดหอบเป็นระลอก ส่วนชาญ ทองทวนซึ่งกำลังยืนอยู่ตรงประตูที่เชื่อมกับห้องโถงใหญ่ก็เห็นว่าเบื้องหน้ามืดทะมึนไปหมด มองไม่เห็นแล้วว่าเยี่ยเทียนและจั่วเจียจวิ้นอยู่ตรงไหน

……