ตอนที่ 57 - 1 บุรุษเป็นบ่อเกิดของหายนะ

เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 1]

ตอนนี้เบื้องหน้าจิ่งเหิงปัวคือความมืดมิดผืนหนึ่ง 

 

 

นางกำลังหดตัวอยู่ใต้ไม้กระดานผุพังแผ่นหนึ่งด้วยหน้าตามอมแมม 

 

 

เวทีสูงพังทลาย ไม้กระดานที่ถล่มลงมาแผ่นนั้นอยู่ใต้เท้านางพอดีทำให้นางร่วงหล่นในชั่วพริบตา โชคดีที่เบื้องล่างเวทีคือพื้นผิวดินจึงยังไม่ถึงขนาดได้รับบาดเจ็บ เพียงแต่เหมือนว่าจะเท้าแพลงอีกแล้ว 

 

 

ใต้เรือนร่างมีของแข็งสิ่งหนึ่งซึ่งผิวสัมผัสคุ้นเคย นางลูบคลำอยู่ชั่วครู่ สิ่งนั้นคือกระเป๋าอย่างที่คิดไว้ 

 

 

ตอนนี้ในมือนางยังคว้าตุ๊กตาบาร์บี้ฉบับร้อนแรงคู่นั้นอยู่ กุมไว้จนฝ่ามือนางมีเหงื่อซึมออกมาพลั่กๆ ทำอย่างไรดี ทำลายศพลบหลักฐาน จะทำลายอย่างไร ตอนนี้ไม่มีมีดไม่มีไฟ หรือว่าจะขุดหลุมฝังกลบเจ้าของสิ่งนี้ดีล่ะ 

 

 

ด้วยความจนปัญญาร้อยแปดพันเก้า นางจำใจเปิดกระเป๋าออกเตรียมนำของสิ่งนี้ซ่อนเข้าไปในนั้นก่อน หลังจากเข้าวังแล้วค่อยทำลายทิ้งทันที อย่างไรเสียหากเป็นเพียงตุ๊กตาท่วงท่ารักใคร่คู่หนึ่งคงไม่เป็นไร คู่สามีภรรยาชาวบ้านในสมัยโบราณมีของเหล่านี้เก็บไว้เป็นการส่วนตัวเหมือนกัน แต่ต้นแบบของตุ๊กตานี้คือตัวนางเอง ให้คนมองเห็นแล้วก่อเกิดความคิดเชื่อมโยงไม่ดีบางอย่างคงแย่แน่ 

 

 

ยังไม่ทันได้เปิดกระเป๋า เงาคนกะพริบวูบประชิดมาเบื้องหน้า จิ่งเหิงปัวตื่นตกใจจึงใช้สิ่งของในมือเป็นอาวุธจิ้มเข้าไปโดยสำนึก… 

 

 

“ตึ่ก” ตุ๊กตาผู้ชายจิ้มบนหน้าอกกงอิ้น เปล่งเสียงทึบเสียงหนึ่งออกมา… 

 

 

กงอิ้นที่เดิมทีมีสีหน้าเจือด้วยความกังวลเล็กน้อยถูกการจิ้มแผ่วเบาครั้งหนึ่งนี้พาให้สีหน้าเขียวคล้ำในพริบตา… 

 

 

แน่นอนว่าไม่ใช่ร่างกายได้รับบาดเจ็บ ส่วนที่บาดเจ็บคือวิญญาณต่างหาก… 

 

 

เขาแค่นเสียงเย็นชาเสียงหนึ่ง มือข้างหนึ่งแย่งชิงตุ๊กตาคู่นั้นมาอย่างรุนแรง มองตุ๊กตาผู้ชายที่อาภรณ์ไม่เรียบร้อยนั้นปราดเดียว สายตาประกายวูบด้วยแววตาแห่งความชิงชัง 

 

 

สิ่งเละเทะสะเปะสะปะใดกัน ดวงตากลับเป็นสีฟ้า ภูตผีปีศาจหรือ นางจะมีความชื่นชอบปกติสักหน่อยได้หรือไม่ 

 

 

ระหว่างนิ้วใช้แรงครั้งหนึ่ง จิ่งเหิงปัวเบิกตาโพลงมองดูตุ๊กตาผู้ชายที่โอบเอวของ “จิ่งเสี่ยวปัว” ไว้นั้นสูญสลายกลายเป็นเถ้าในพริบตา 

 

 

นางถอนหายใจเฮือกอย่างไม่รู้ว่าหลุดพ้นหรือเสียดาย 

 

 

นี่น่ะเป็นผลิตผลของเทคโนโลยียุคปัจจุบัน คือสิ่งของที่มีหนึ่งเดียวไม่มีสองในยุคสมัยนี้ของต้าฮวง ผลิตได้งดงามประณีตเสมือนจริงขนาดนี้ พอทำลายแบบนี้แล้วเสียดายนิดหน่อยแฮะ… 

 

 

การถอนใจของนางทำให้กงอิ้นกลัดกลุ้มอีกแล้วอย่างชัดเจน 

 

 

…ไม่นึกเลยว่ายังเสียดาย! 

 

 

“สิ่งนี้คือสิ่งใดกันแน่…” วาจาของเขายังไม่ทันได้ถามออกมา พลันมีแสงรุ่งโรจน์กะพริบวูบบนศีรษะ สาดแสงเข้าไปในนัยน์ตาของจิ่งเหิงปัว 

 

 

“ราชินีต่ำทรามไร้ศีลธรรม…รับมีดของข้าไปเสีย!” 

 

 

เสียงตะโกนเสียดหู ในขณะเดียวกันนั้นเองเสียงคำรามดุเดือดสายหนึ่งสะบั้นลงมาตรงศีรษะ! 

 

 

พอจิ่งเหิงปัวเงยหน้าขึ้นก็มองเห็นแสงมีดประหนึ่งแม่น้ำสายยาวห้อยกลับหัว! 

 

 

จากนั้นเรือนร่างของนางแหงนขึ้น ถูกกงอิ้นผลักเข้าสู่ความมืดมิดกะทันหัน 

 

 

“ซ่อนให้ดี!” เขาเอ่ยอย่างเรียบง่าย สายตาเฉียดผ่านกระเป๋าของนาง หงายมือคว้ามีดสะบัดการบุกโจมตีของอีกฝ่ายออกไป 

 

 

จิ่งเหิงปัวแบะปากขึ้น ได้แต่หลบซ่อนปิดกระเป๋าอยู่ในความมืดมิด นางรู้ว่า “ซ่อนให้ดี” มีความหมายสองขั้น ขั้นแรกคือให้นางซ่อนตนเองให้ดี อีกขั้นหนึ่งคือให้นางรีบเร่งซ่อนสิ่งของในกระเป๋าที่ไม่ควรมีให้ดี 

 

 

นางปิดฝากระเป๋าลงมาหนึ่งครั้งอย่างรุนแรง 

 

 

มือข้างหนึ่งยื่นเข้ามาทันที ค้ำยันฝากระเป๋าที่ร่วงลงมาเอาไว้ 

 

 

“ผู้ใด” จิ่งเหิงปัวตกใจยกเท้าถีบทันที ฟันเลื่อยบนรองเท้าปล่อยออกมาดังฉึกเสียงหนึ่ง จู่โจมช่วงเอวอีกฝ่ายโดยตรง 

 

 

“เฮ้ พระกฤษฎีของพระองค์” อีกฝ่ายเตือนนางถึงเอวของนางอย่างเยือกเย็น 

 

 

จิ่งเหิงปัวรู้สึกเย็นวาบบนเอวเช่นกัน ตอนนี้ถึงนึกขึ้นมาได้ว่ารอยขาดยังไม่ได้ซ่อมแซม พอยกขารอยขาดยิ่งมากขึ้นจึงรีบเร่งวางขาลงมา 

 

 

ลำแสงบางเบาเหนือศีรษะสาดส่องลงมา เหยียลี่ว์ฉียืนอยู่กลางความลางเรือนพร่ามัว มุมปากเผยรอยยิ้มครุ่นคิดสายหนึ่ง กำลังจ้องมองช่วงเอวสีขาวผืนนั้นของนางอย่างไม่เกรงใจเลยแม้แต่น้อย 

 

 

จิ่งเหิงปัวถลึงตาใส่เขาแวบหนึ่ง ร่นถอยก้าวหนึ่งอย่างระแวดระวัง ลากกระเป๋ามาบดบังตนเองแล้วคว้าผ้าคลุมผืนหนึ่งออกมาจากในกระเป๋ารีบเร่งสวมใส่ 

 

 

นางระแวงว่าเขาจะลงมือทุกขณะ โชคดีที่เหยียลี่ว์ฉีเหมือนจะไม่ได้มีเจตนาเลวร้าย มุมปากเผยรอยยิ้มแฝงความนัยลึกลับผืนหนึ่ง เอ่ยโดยพลันว่า “วันนี้พระองค์ทรงงดงามยิ่งนัก” 

 

 

“แน่นอนอยู่แล้ว” คางของจิ่งเหิงปัวเชิดขึ้นมา ไม่ผ่อนคลายความระแวดระวังเช่นเคย กล่าวว่า “เจ้าเข้ามาทำอะไร” 

 

 

เหยียลี่ว์ฉียิ้มจนลมเคลื่อนเมฆคลาย เอ่ยว่า “สามเรื่อง” 

 

 

“อืม” 

 

 

“หนึ่ง กระหม่อมอยากชื่นชมพระองค์ต่อหน้าพระพักตร์” เขาเอ่ยอย่างชื่นชมว่า “วันนี้พระองค์เลิศล้ำแท้จริงยิ่งนัก” 

 

 

“ประสาท” จิ่งเหิงปัววิพากษ์วิจารณ์ ไม่เชื่อแม้แต่คำเดียว 

 

 

“จริงนะ นี่คือเรื่องที่สำคัญที่สุด” เหยียลี่ว์ฉีดูท่าทางจริงจังยวดยิ่ง 

 

 

“เรื่องที่สอง” จิ่งเหิงปัวรำคาญ ฟังความเคลื่อนไหวเหนือศีรษะ เสียงสายลมเสียงผู้คนเสียงวิวาท ข้างนอกเละเทะกลายเป็นโจ๊กหม้อหนึ่งเช่นกัน แต่ว่าไม่ได้ยินเสียงกงอิ้น 

 

 

“เมื่อครู่มีผู้แอบอ้างนามของกระหม่อมสังหารพระองค์ หวังจะกระตุ้นมวลชนกับผู้สนับสนุนพระองค์ให้โกรธแค้นกระหม่อม” เหยียลี่ว์ฉีเอ่ยอย่างสบายอกสบายใจว่า “ฉะนั้นกระหม่อมจำเป็นต้องปรากฏกายที่ข้างกายพระองค์ ปกป้องพระองค์ พิสูจน์ความบริสุทธิ์ของกระหม่อม” 

 

 

จิ่งเหิงปัวพ่นลมออกจมูก กล่าวว่า “ความบริสุทธิ์หรือ สิ่งสูงส่งเช่นนี้เจ้ามีหรือ” 

 

 

“ประเดี๋ยวอาจจะมีก็ได้” เหยียลี่ว์ฉียิ้มแย้ม รอยยิ้มในลำแสงมัวสลัวแลดูลึกลับยั่วยวน เอ่ยว่า “เรื่องที่สามสำคัญยิ่งนักเช่นกัน” 

 

 

“อืมอื้ม” จิ่งเหิงปัวใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ตั้งใจฟังความเคลื่อนไหวภายนอก เอ๊ะ ทำไมไม่มีเสียงของกงอิ้นล่ะ 

 

 

ทว่าเหยียลี่ว์ฉีไม่เอ่ยวาจาอีกแล้ว นิ้วมือขยับแผ่วเบาคล้ายกำลังคำนวณเวลา หางตาพลันเอนเอียงไปทางข้างบนหลุมพังทลายของเวที จากนั้นเบนกลับมาอีกครั้ง 

 

 

“ไยจึงไม่เอ่ยต่อแล้ว” จิ่งเหิงปัวสังเกตเห็นความเงียบฉับพลันนี้ช้าไปครึ่งจังหวะ กล่าวเร่งเร้าเขา 

 

 

“โอ้” เหยียลี่ว์ฉีเข้าใกล้นางอย่างแผ่วเบา ร้อง “ชู่” เสียงหนึ่ง ยิ้มแย้มพลางเอ่ยอย่างเอียงอายเล็กน้อยว่า “คือเช่นนี้นะ…เดิมทีตามแผนการของกระหม่อมพิธีเฉลิมฉลองรับขบวนเสด็จในวันนี้จะจบลงในหนึ่งเค่อก่อน หลังจากเสร็จสิ้นพิธีการ ราชินีเสด็จไปก่อน จากนั้นตระกูลผู้ดีบรรดาศักดิ์สูงและผู้นำหกแคว้นแปดชนเผ่าทั้งหมดจะเดินเรียงแถวแถวยาวเหยียดผ่านเบื้องหน้าเวทีไป อืม…คำนวณตามชั่วยาม ยามนั้นคือยามที่กงอิ้นพาผู้คนรวมทั้งเผ่าจั๋นอวี่เดินผ่านเบื้องหน้าเวทีพอดี ฉะนั้นกระหม่อมจึงให้คนฝังดินระเบิดเล็กน้อยไว้ใต้เวทีเนิ่นนานแล้ว ออกคำสั่งทหารกล้าตายว่าจะต้องจุดระเบิดตามกำหนดไม่ว่าเกิดเรื่องใดขึ้นก็ตาม โอ้ คล้ายจะระเบิดช่วงเวลานี้แล…” 

 

 

“หา” หลายคำสุดท้ายแว่วเข้าหูของจิ่งเหิงปัวในที่สุด ศีรษะนางที่ชะเง้อมองข้างนอกโดยตลอดหันขวับกลับมา กล่าวว่า “เจ้าล้อเล่นกระมัง…” 

 

 

สีหน้าบนใบหน้าของเหยียลี่ว์ฉีทำให้คำกล่าวของนางจุกอยู่ในคอหอย พริบตาต่อมานางกรีดร้องเสียงหนึ่งหิ้วกระเป๋าขึ้นมาวิ่งไปข้างนอกทันที 

 

 

ภายใต้ความตื่นตกใจ นางหลงลืมกระทั่งว่าตนเองเคลื่อนย้ายหายตัวได้ 

 

 

นางชนเข้ากับหน้าอกของคนผู้หนึ่งดังพลั่กเสียงหนึ่ง กลิ่นอายคุ้นเคยเล็กน้อยเลือนราง นางไม่ทันได้จำแนกว่านั่นคือใคร ยัดกระเป๋าเข้าไปในอ้อมแขนเขา ร้องเสียงดังว่า “มีดินระเบิด หนีเร็ว!” 

 

 

คนผู้นั้นกลับจ้องมองสิ่งของที่ร่วงออกมาจากในกระเป๋าที่ไม่ทันได้ปิดให้ดีของนาง ดวงตาสองข้างเปล่งประกาย เอ่ยว่า “ว้าว! สิ่งใดกัน! น่าสนุก!” 

 

 

จิ่งเหิงปัวที่กำลังเตรียมหายตัวเกือบจะกระอักเลือดอึกหนึ่งออกมา…สุภาพบุรุษน้ำยาทาเล็บ! ไม่นึกเลยว่าบนโลกนี้ยังผู้ชายที่ไม่เข้าท่ายิ่งกว่านางเสียอีก! 

 

 

จิ่งเหิงปัวได้แต่บิดหูของเขาตระเตรียมรีบเร่งหายตัวออกไปด้วยกัน เรือนร่างยังไม่ทันได้ขยับเขยื้อน เส้นไหมสีขาวสายหนึ่งลอยมาสะบัดมือของนางและสะบัดมือที่ตระเตรียมโอบเอวนางไว้ของสุภาพบุรุษน้ำยาทาเล็บทันที ไหมขาวสะบัดฟึ่บฟั่บกระหวัดเอวของนางไว้ แรงลากระลอกหนึ่งถาโถมมา นางถูกลากออกไปกะหันทัน จากนั้นไหมขาวคลายออกอีกครั้งปล่อยนางให้ลอยขึ้น โจมตีสะท้อนกลับกลางหน้าอกของสุภาพบุรุษน้ำยาทาเล็บ ผลักสุภาพบุรุษน้ำยาทาเล็บไปทางเหยียลี่ว์ฉีที่ตามติดพุ่งออกมา 

 

 

ท่วงท่ามากมายสำเร็จในรวดเดียว ในขณะนั้น จิ่งเหิงปัวหนีออกมา อีชีชนกับเหยียลี่ว์ฉี เหยียลี่ว์ฉีถูกชนจนต้องร่นถอยไปประชิดใกล้ศูนย์กลางของระเบิด 

 

 

ผู้ที่ปรากฏกายขึ้นโดยพลันนี้ควบคุมเวลาไว้ได้แม่นยำยิ่งนัก อัศจรรย์จนล้ำเลิศยวดยิ่ง คล้ายดั่งว่ารอคอยครู่หนึ่งนี้มาโดยตลอด 

 

 

คนผู้นี้ย่อมเป็นกงอิ้น 

 

 

อีชีชนกับร่างของเหยียลี่ว์ฉีดังพลั่กเสียงหนึ่ง ตะโกนร้อง “บุรุษเฮงซวย!” รีบเร่งคลานขึ้นมา สีหน้าเปลี่ยนไปโดยพลัน ย่นจมูกไปมา ร้องว่า “ดินระเบิด!” 

 

 

สีหน้าเขาเปลี่ยนไปยิ่งยวดแลมิได้สนใจเหยียลี่ว์ฉีแล้ว หันกายวิ่งหนีโดยพลัน 

 

 

เงาขาวของกงอิ้นกะพริบวูบ ไหมขาวในมือโจมตีช่วงเอวเขาหวังโจมตีเขากลับไปอีกครั้ง อีชีร้องตะโกนว่า “ไอ้เลว! ทำร้ายข้า!” เรือนร่างหมุนคว้างกลางอากาศด้วยท่าทางแปลกประหลาดครั้งหนึ่ง หลุดพ้นจากการโจมตีของกงอิ้น กะพริบกายหนีไป 

 

 

กงอิ้นไม่เสียเวลาตามไปโจมตีเขาอีกแล้ว เส้นไหมในมือสะบัดครั้งหนึ่ง ขัดขวางเหยียลี่ว์ฉีที่จะวิ่งออกมาไว้อีกครั้ง 

 

 

ยามนี้เขาอยู่เหนือเวทีที่ชำรุด เหยียลี่ว์ฉีอยู่ใต้เวทีที่ชำรุด ขวางกั้นด้วยแสงเงามัวสลัวและไหมขาวปานทางช้างเผือกเส้นหนึ่ง จ้องมองกันและกันอยู่ห่างไกล 

 

 

สีหน้าของเหยียลี่ว์ฉีเยือกเย็นลงมาในที่สุด เอ่ยว่า “เจ้าทายถูกอีกแล้วสินะ” 

 

 

หากกงอิ้นไม่รู้ว่าใต้เวทีนี้มีดินปืน จะกุมโอกาสไว้อย่างบังเอิญขนาดนี้ได้อย่างไร ยามนี้ปรากฏกายช่วยให้จิ่งเหิงปัวหนีไป จะขัดขวางเขาเอาไว้ได้อย่างไร 

 

 

เหยียลี่ว์ฉีแค้นเคืองเล็กน้อยในใจ เขาพบว่าทุกครั้งล้วนเป็นเช่นนี้ แผนการที่ไร้ซึ่งข้อบกพร่องกว่านี้ ยามอยู่เบื้องหน้ากงอิ้นต่างไร้หนทางปิดบังอำพราง เขาคล้ายมีดวงตาปานผลึกธารคู่หนึ่งหรือดวงใจที่ทะลุทะลวง สาดส่องมองเห็นแผนการในที่ลับได้ทั้งสิ้น 

 

 

สิ่งนี้คล้ายว่าไม่ใช่ด้วยเพราะสติปัญญาเพียงสิ่งเดียว ทว่าคล้ายเป็นความสามารถมหัศจรรย์บางสิ่ง… 

 

 

กงอิ้นมองดูเขาอย่างเยือกเย็นเฉยชาเช่นเคย มุมปากวาดรัศมีโค้งเสียดสีผืนหนึ่ง 

 

 

“ข้าพลันค้นพบเรื่องหนึ่งเช่นกัน” เขาเอ่ย สีหน้าชิงชังอย่างไม่อำพราง 

 

 

“โอ้” เหยียลี่ว์ฉียิ้มแย้มเพียงน้อย 

 

 

“เจ้าเอง…เอาใจใส่นางยิ่งนัก” เสียงวาจาของกงอิ้นหนาวเหน็บ ตวาดแผ่วเบาเสียงหนึ่งโดยพลันว่า “เช่นนั้นจงหยุดอยู่ตรงนี้เถิด!” 

 

 

ไหมขาวในมือเขาสะบัดครั้งหนึ่งกลายเป็นหิมะโปรยปรายนับมิถ้วนโดยพลัน หิมะเยือกแข็งกลายเป็นผลึกน้ำแข็งอย่างรวดเร็ว ผลึกน้ำแข็งแผ่นใหญ่เยือกแข็งอย่างรวดเร็ว ทอดยาวโดยไร้สรรพเสียงประหนึ่งเขตแดนสีขาว 

 

 

“ปัญญาหิมะ…” วาจาประโยคหนึ่งของเหยียลี่ว์ฉียังไม่ทันได้เอ่ยจบ ผลึกน้ำแข็งเยือกแข็งอย่างรวดเร็วปกคลุมทุกสิ่งปานสายฟ้าแลบ แช่เขาไว้กลางน้ำแข็งแล้ว 

 

 

ประกายไฟบางแห่งกะพริบฟึ่บฟั่บขึ้นมาแล้ว ทหารกล้าตายดำเนินภารกิจอย่างรอบคอบรัดกุมตามที่ได้นัดหมายไว้ 

 

 

ในหลุมเวทีทั้งแห่งกลายเป็นโลกเคลือบหิมะน้ำแข็งในพริบตา เหยียลี่ว์ฉีถูกแช่แข็งเอาไว้เคลื่อนไหวไม่ได้ 

 

 

ไร้หนทางรอดชีวิต